You Are What You Read/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 30 กันยายน2551
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 28, 2008 11:18 pm
โลกในมุมมองของ Value Investor
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพและโภชนาการมักจะพูดว่า You are what you eat ความหมายก็คือ สุขภาพของคุณจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณกิน นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสุขภาพ แต่ในด้านของความคิดหรือสมองของเรานั้น ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ การอ่าน เพราะการอ่านเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดเนื่องจากมันทำได้รวดเร็วเท่ากับความเร็วของแสง ความรู้และความคิดมหาศาลบางทีสามารถบรรจุลงในหนังสือเพียงเล่มเดียว การค้นคว้าหรือประสบการณ์ของคนทั้งชีวิตสามารถเรียนรู้ได้โดยการอ่านหนังสือที่เขาเขียนเพียงเล่มเดียวหรือไม่กี่เล่ม ดังนั้น ถ้าจะให้ สุขภาพทางใจ หรือสมองของเราดีเยี่ยมและแข็งแกร่งพร้อมที่จะเป็นนักลงทุนชั้นนำ เราจำเป็นต้องอ่านและอ่านมาก ๆ อย่าลืมว่าการลงทุนนั้นคือ การ รบทางด้านจิตใจ ถ้าจะพูดให้เท่เป็นภาษาอังกฤษก็คือ Investment is the battle of the mind คนที่สมองและจิตใจเหนือกว่าคือผู้ชนะ
Value Investor ควรอ่านอะไร? คำถามนี้เป็นเรื่องที่ตอบได้ยากและเซียนแต่ละคนก็น่าจะอ่านหนังสือที่แตกต่างกันและต่างก็ประสบความสำเร็จได้ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวที่นักลงทุนอาจนำไปพิจารณาและปรับเข้ากับรสนิยมและความถนัดของตัวเอง อย่างไรก็ตาม มีหนังสือหรือเอกสารบางอย่างที่ผมคิดว่านักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องอ่านเพราะมันเกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรง
สำหรับ Value Investor มือใหม่นั้น หนังสือกลุ่มแรกที่ต้องอ่านก็คือหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Value Investment นี่คือหนังสือที่พูดถึงแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือแบบอิงปัจจัยพื้นฐาน หนังสือเหล่านี้จะพูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้นโดยเน้นไปที่การดูตัวบริษัทที่เราจะลงทุนเป็นหลักแม้ว่าราคาหุ้นก็เป็นสิ่งสำคัญแต่เขาก็จะพูดถึงไม่มาก การอ้างอิงถึงบุคคลที่เป็นตัวอย่างของนักลงทุนก็จะเป็นเซียนที่ยึดแนวทางการลงทุนแบบ Value Investment เช่น เบน เกรแฮม วอเร็น บัฟเฟตต์ ปีเตอร์ ลินช์ จอห์น เนฟ และ เซอร์จอห์น เทมเปิลตัน เหล่านี้เป็นต้น การอ่านหนังสือเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นก้าวแรกที่จะช่วยปรับความคิดของเราเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น มันจะช่วงแยกแยะความแตกต่างระหว่างการ เล่นหุ้น กับการ ลงทุน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการที่เราจะเข้าสู่การซื้อขายหุ้นในตลาด ถ้าเราเดินทางผิด เข้าตลาดเพื่อมา เล่นหุ้น อนาคตเราอาจจะมืดมน แต่ถ้าเราเดินทางถูก เข้าตลาดเพื่อมา ลงทุน ความสำเร็จก็อาจไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
การเป็นนักลงทุนนั้น จำเป็นต้องรอบรู้เกี่ยวกับธุรกิจและความเป็นไปของเศรษฐกิจที่บริษัทต่าง ๆ ต้องเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น คนที่จะเป็น Value Investor จะต้องอ่านหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจรายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ นั่นหมายความว่าคนที่อ่านแต่หนังสือพิมพ์ มวลชน จะต้องหันมาหัดอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจเป็นประจำแทน ส่วนหนังสือพิมพ์มวลชนนั้นจะกลายเป็นหนังสือพิมพ์ ฉบับรอง ข้อที่ควรคำนึงถึงเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ก็คือ ข้อมูลในหนังสือพิมพ์นั้นมักเป็นข้อมูลหยาบ ๆ ที่มักจะไม่เที่ยงตรงพอที่จะใช้ในการลงทุนได้ ดังนั้น เมื่อเราพบอะไรที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์ เราจะต้องไป เจาะลึก อีกทีหนึ่งจากข้อมูลที่ละเอียดและเป็นทางการกว่า คติของผมก็คือ ห้ามวิเคราะห์หุ้นจากหนังสือพิมพ์ รวมถึง ห้ามใช้ตารางข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นรายวันเช่นค่า PE จากหนังสือพิมพ์ด้วย
นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องอ่านข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนด้วยเพื่อหาหุ้นที่จะลงทุน ข้อมูลเหล่านี้หลัก ๆ จะหาอ่านได้จากเวบไซ้ต์ของตลาดหลักทรัพย์ set.or.th และของ กลต. ข้อมูลการวิเคราะห์หุ้นของโบรกเกอร์ นอกจากนั้นอาจจะหาอ่านได้จากเวบไซ้ต์ของ thaivi.com ซึ่งเป็นแหล่งรวมของ Value Investor ไทยที่น่าจะใหญ่ที่สุด สิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักก็คือ เวลาอ่าน เราอ่านเฉพาะข้อมูล อย่าไปรับความเห็นมาโดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน อย่าลืมว่าผู้ที่ให้ข้อมูลนั้น ส่วนใหญ่มีความขัดแย้งของผลประโยชน์ นั่นคือ เขาอยากให้เราซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้น
หนังสือชุดต่อมาที่ผมคิดว่าควรจะอ่านอย่างยิ่งก็คือ หนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์การแข่งขันทางธุรกิจที่จะทำให้เราเข้าใจว่าบริษัทแบบไหนจะชนะหรือแพ้ในการแข่งขันเพราะอะไร นี่คือหนังสือแนวการตลาดระดับยุทธศาสตร์ไม่ใช่ระดับปฏิบัติการ ดังนั้น โดยทั่วไป ถ้าเราเห็นว่าหนังสือนั้นเล่มโตเกินไปหรืออ่านแล้วมีรายละเอียดมาก มันก็มักจะไม่ใช่หนังสือที่เราต้องการ คนที่เขียนเรื่องนี้ได้ดีมากคนหนึ่งก็คือ แจ็ค เทร้า และ ฟิลิป คอตเลอร์ ปรมาจารย์ทางด้านการตลาดและกลยุทธ์การแข่งขัน
หนังสือที่ควรอ่านเพราะมันช่วยเสริมความคิดและความมั่นใจของเราก็คือหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ธุรกิจ และตลาดหุ้น ประวัติศาสตร์นั้นน่าสนใจเพราะมันมักจะ ซ้ำรอย ซึ่งถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ซ้ำรอยตรง ๆ แต่มันก็เป็นร่องรอยที่ทำให้เราสามารถทำนายหรือคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงได้ ประวัติศาสตร์ยังสอนให้เราระมัดระวังตัวมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้เราสามารถเอาตัวรอดได้ในยามคับขัน
ผมชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ ๆ ที่ท้าทายความเชื่อเก่า ๆ โดยเฉพาะทฤษฎีเกี่ยวกับชีวิตและพฤติกรรมของมนุษย์ นี่คือเรื่องของจิตวิทยาต่าง ๆ ที่คนทั่วไปอ่านได้ง่ายเข้าใจง่ายไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาของนักจิตวิทยาที่รักษาคนป่วย เรื่องของพฤติกรรมมนุษย์นั้นสำคัญเพราะมันเป็นสิ่งที่กำหนดการกระทำของคนทั้งในเรื่องของการเป็นผู้บริโภคซึ่งจะกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนและการเป็นนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นในตลาดด้วย
นอกจากเรื่องหนัก ๆ ทั้งหลายดังกล่าว ผมยังสนใจดูหรืออ่านเรื่องของดารา หนุ่มสาวสังคมแบบห่าง ๆ ด้วย ผมคิดว่าคนเหล่านี้คือผู้ที่กำหนดทิศทางของสังคมไม่น้อย เช่นเดียวกัน ผมคิดว่าข่าวการเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญที่กระทบกับการลงทุนและชีวิตของเรา ดังนั้น ผมจึงติดตามเรื่องของการเมือง แต่ก็เช่นกัน ผมมองภาพใหญ่ คือตราบที่การเมืองยังอยู่ในระบอบประชาธิปไตยและใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบตลาด พูดง่าย ๆ ยังเป็นระบอบทุนนิยมที่เปิดกว้าง ผมคิดว่านั่นก็เพียงพอสำหรับการทำงานของตลาดและหุ้นต่าง ๆ ที่เราลงทุน
มองจากการอ่านทั้งหมดที่ผมทำ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การอ่านเป็นสิ่งที่ผมใช้เวลามากที่สุด เรียกได้เลยว่าการอ่านคือ อาชีพ หรืออาจจะเรียกว่าเป็น ชีวิต และถ้าเราอ่านไม่ถูกเรื่อง เราก็คงเสียเวลาและประสบความสำเร็จได้ยาก ถ้าเราอ่านถูกเรื่องและอ่านหนังสือที่ดีและอ่านมาก ความสำเร็จก็น่าจะตามมา คำที่ผมอยากจะสรุปสำหรับบทความนี้ก็คือ You Are What You Read คุณอ่านอะไร คุณก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นต้องอ่านหนังสือที่ดีมีประโยชน์สำหรับการลงทุนและต้องอ่านให้มาก
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพและโภชนาการมักจะพูดว่า You are what you eat ความหมายก็คือ สุขภาพของคุณจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณกิน นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อสุขภาพ แต่ในด้านของความคิดหรือสมองของเรานั้น ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ การอ่าน เพราะการอ่านเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดเนื่องจากมันทำได้รวดเร็วเท่ากับความเร็วของแสง ความรู้และความคิดมหาศาลบางทีสามารถบรรจุลงในหนังสือเพียงเล่มเดียว การค้นคว้าหรือประสบการณ์ของคนทั้งชีวิตสามารถเรียนรู้ได้โดยการอ่านหนังสือที่เขาเขียนเพียงเล่มเดียวหรือไม่กี่เล่ม ดังนั้น ถ้าจะให้ สุขภาพทางใจ หรือสมองของเราดีเยี่ยมและแข็งแกร่งพร้อมที่จะเป็นนักลงทุนชั้นนำ เราจำเป็นต้องอ่านและอ่านมาก ๆ อย่าลืมว่าการลงทุนนั้นคือ การ รบทางด้านจิตใจ ถ้าจะพูดให้เท่เป็นภาษาอังกฤษก็คือ Investment is the battle of the mind คนที่สมองและจิตใจเหนือกว่าคือผู้ชนะ
Value Investor ควรอ่านอะไร? คำถามนี้เป็นเรื่องที่ตอบได้ยากและเซียนแต่ละคนก็น่าจะอ่านหนังสือที่แตกต่างกันและต่างก็ประสบความสำเร็จได้ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวที่นักลงทุนอาจนำไปพิจารณาและปรับเข้ากับรสนิยมและความถนัดของตัวเอง อย่างไรก็ตาม มีหนังสือหรือเอกสารบางอย่างที่ผมคิดว่านักลงทุนทุกคนจำเป็นต้องอ่านเพราะมันเกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรง
สำหรับ Value Investor มือใหม่นั้น หนังสือกลุ่มแรกที่ต้องอ่านก็คือหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Value Investment นี่คือหนังสือที่พูดถึงแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือแบบอิงปัจจัยพื้นฐาน หนังสือเหล่านี้จะพูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้นโดยเน้นไปที่การดูตัวบริษัทที่เราจะลงทุนเป็นหลักแม้ว่าราคาหุ้นก็เป็นสิ่งสำคัญแต่เขาก็จะพูดถึงไม่มาก การอ้างอิงถึงบุคคลที่เป็นตัวอย่างของนักลงทุนก็จะเป็นเซียนที่ยึดแนวทางการลงทุนแบบ Value Investment เช่น เบน เกรแฮม วอเร็น บัฟเฟตต์ ปีเตอร์ ลินช์ จอห์น เนฟ และ เซอร์จอห์น เทมเปิลตัน เหล่านี้เป็นต้น การอ่านหนังสือเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นก้าวแรกที่จะช่วยปรับความคิดของเราเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น มันจะช่วงแยกแยะความแตกต่างระหว่างการ เล่นหุ้น กับการ ลงทุน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการที่เราจะเข้าสู่การซื้อขายหุ้นในตลาด ถ้าเราเดินทางผิด เข้าตลาดเพื่อมา เล่นหุ้น อนาคตเราอาจจะมืดมน แต่ถ้าเราเดินทางถูก เข้าตลาดเพื่อมา ลงทุน ความสำเร็จก็อาจไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
การเป็นนักลงทุนนั้น จำเป็นต้องรอบรู้เกี่ยวกับธุรกิจและความเป็นไปของเศรษฐกิจที่บริษัทต่าง ๆ ต้องเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น คนที่จะเป็น Value Investor จะต้องอ่านหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจรายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ นั่นหมายความว่าคนที่อ่านแต่หนังสือพิมพ์ มวลชน จะต้องหันมาหัดอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจเป็นประจำแทน ส่วนหนังสือพิมพ์มวลชนนั้นจะกลายเป็นหนังสือพิมพ์ ฉบับรอง ข้อที่ควรคำนึงถึงเวลาอ่านหนังสือพิมพ์ก็คือ ข้อมูลในหนังสือพิมพ์นั้นมักเป็นข้อมูลหยาบ ๆ ที่มักจะไม่เที่ยงตรงพอที่จะใช้ในการลงทุนได้ ดังนั้น เมื่อเราพบอะไรที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์ เราจะต้องไป เจาะลึก อีกทีหนึ่งจากข้อมูลที่ละเอียดและเป็นทางการกว่า คติของผมก็คือ ห้ามวิเคราะห์หุ้นจากหนังสือพิมพ์ รวมถึง ห้ามใช้ตารางข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นรายวันเช่นค่า PE จากหนังสือพิมพ์ด้วย
นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องอ่านข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนด้วยเพื่อหาหุ้นที่จะลงทุน ข้อมูลเหล่านี้หลัก ๆ จะหาอ่านได้จากเวบไซ้ต์ของตลาดหลักทรัพย์ set.or.th และของ กลต. ข้อมูลการวิเคราะห์หุ้นของโบรกเกอร์ นอกจากนั้นอาจจะหาอ่านได้จากเวบไซ้ต์ของ thaivi.com ซึ่งเป็นแหล่งรวมของ Value Investor ไทยที่น่าจะใหญ่ที่สุด สิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักก็คือ เวลาอ่าน เราอ่านเฉพาะข้อมูล อย่าไปรับความเห็นมาโดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน อย่าลืมว่าผู้ที่ให้ข้อมูลนั้น ส่วนใหญ่มีความขัดแย้งของผลประโยชน์ นั่นคือ เขาอยากให้เราซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้น
หนังสือชุดต่อมาที่ผมคิดว่าควรจะอ่านอย่างยิ่งก็คือ หนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์การแข่งขันทางธุรกิจที่จะทำให้เราเข้าใจว่าบริษัทแบบไหนจะชนะหรือแพ้ในการแข่งขันเพราะอะไร นี่คือหนังสือแนวการตลาดระดับยุทธศาสตร์ไม่ใช่ระดับปฏิบัติการ ดังนั้น โดยทั่วไป ถ้าเราเห็นว่าหนังสือนั้นเล่มโตเกินไปหรืออ่านแล้วมีรายละเอียดมาก มันก็มักจะไม่ใช่หนังสือที่เราต้องการ คนที่เขียนเรื่องนี้ได้ดีมากคนหนึ่งก็คือ แจ็ค เทร้า และ ฟิลิป คอตเลอร์ ปรมาจารย์ทางด้านการตลาดและกลยุทธ์การแข่งขัน
หนังสือที่ควรอ่านเพราะมันช่วยเสริมความคิดและความมั่นใจของเราก็คือหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ธุรกิจ และตลาดหุ้น ประวัติศาสตร์นั้นน่าสนใจเพราะมันมักจะ ซ้ำรอย ซึ่งถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ซ้ำรอยตรง ๆ แต่มันก็เป็นร่องรอยที่ทำให้เราสามารถทำนายหรือคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงได้ ประวัติศาสตร์ยังสอนให้เราระมัดระวังตัวมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้เราสามารถเอาตัวรอดได้ในยามคับขัน
ผมชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ ๆ ที่ท้าทายความเชื่อเก่า ๆ โดยเฉพาะทฤษฎีเกี่ยวกับชีวิตและพฤติกรรมของมนุษย์ นี่คือเรื่องของจิตวิทยาต่าง ๆ ที่คนทั่วไปอ่านได้ง่ายเข้าใจง่ายไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาของนักจิตวิทยาที่รักษาคนป่วย เรื่องของพฤติกรรมมนุษย์นั้นสำคัญเพราะมันเป็นสิ่งที่กำหนดการกระทำของคนทั้งในเรื่องของการเป็นผู้บริโภคซึ่งจะกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนและการเป็นนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นในตลาดด้วย
นอกจากเรื่องหนัก ๆ ทั้งหลายดังกล่าว ผมยังสนใจดูหรืออ่านเรื่องของดารา หนุ่มสาวสังคมแบบห่าง ๆ ด้วย ผมคิดว่าคนเหล่านี้คือผู้ที่กำหนดทิศทางของสังคมไม่น้อย เช่นเดียวกัน ผมคิดว่าข่าวการเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญที่กระทบกับการลงทุนและชีวิตของเรา ดังนั้น ผมจึงติดตามเรื่องของการเมือง แต่ก็เช่นกัน ผมมองภาพใหญ่ คือตราบที่การเมืองยังอยู่ในระบอบประชาธิปไตยและใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบตลาด พูดง่าย ๆ ยังเป็นระบอบทุนนิยมที่เปิดกว้าง ผมคิดว่านั่นก็เพียงพอสำหรับการทำงานของตลาดและหุ้นต่าง ๆ ที่เราลงทุน
มองจากการอ่านทั้งหมดที่ผมทำ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การอ่านเป็นสิ่งที่ผมใช้เวลามากที่สุด เรียกได้เลยว่าการอ่านคือ อาชีพ หรืออาจจะเรียกว่าเป็น ชีวิต และถ้าเราอ่านไม่ถูกเรื่อง เราก็คงเสียเวลาและประสบความสำเร็จได้ยาก ถ้าเราอ่านถูกเรื่องและอ่านหนังสือที่ดีและอ่านมาก ความสำเร็จก็น่าจะตามมา คำที่ผมอยากจะสรุปสำหรับบทความนี้ก็คือ You Are What You Read คุณอ่านอะไร คุณก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นต้องอ่านหนังสือที่ดีมีประโยชน์สำหรับการลงทุนและต้องอ่านให้มาก