หน้า 1 จากทั้งหมด 1
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 1:04 pm
โดย surachaichia
ผมจำได้ว่า ปีที่แล้ว ผมได้ดูการสัมภาษณ์ของ money channel จากนักลงทุนดีเด่นคนหนึ่ง ได้ พูดถึง การลงทุนในหุ้นน้ำมันว่าไม่ควรเนื่องจาก วัฎจักรกำลังจะเปลี่ยนแต่บอกไม่ได้ว่า จะภายในซัก สองสามปีนี้ , ผมได้มาไตร่ตรองกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมถึงตรงข้ามกับบรรยากาศลงทุน ณ เวลานั้น แล้วมีโอกาสได้ศึกษาเพิ่มแนวทางของ VI จึงเข้าใจว่าทำไม , ถึงวันนี้มาดูข่าวแล้วสะท้อนใจบางอย่างว่า
ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง 2.01 ดอลลาร์สหรัฐไปปิดที่ระดับ 99.17 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ก่อนหน้านี้ราคาดิ่งลงไปแตะที่ระดับ 98.55 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา
ความรู้การลงทุนของคนไทยยังน้อย, แต่โชคดีว่า ผมเชื่อคำทำนายดังกล่าวและได้ขาย กลุ่มนำมันไปตั้งแต่ก่อนกลางปี ในอนาคตผมเชื่อว่าน้ำมันก็จะกลับมาได้ แต่ไม่ใช่ช่วงนี้ ถ้าretrospective ไปในวั้นน้น คนทั่วไปส่วนมากแล้วรวมนักวิเคราะห์ทั้งหลายคงไม่เชื่อมากนัก หรือรู้แต่ไม่พูดด้วยเหตุผลที่อาจจะมี conflict of interest ต้องยกนี้วให้ ประธานเว็บนี้จริงๆ
หวังว่า การคาดการณ์ดีๆน่าจะมีมาอีกนะครับ ขอบคุณมาก

เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 3:04 pm
โดย Nongki
พี่หมอท่านวินิจฉัยได้แม่นยำจริงๆ
ตลาดของเหลวอย่างน้ำมันกำลังร่วง
แต่ตลาดของแข็งอย่างเหล็ก,ทองแดงท่าจะรุ่ง
เลือกซื้อตัวไหนตามพี่ไม่เคยมีพลาด
แต่จังหวะซื้อขายตอนไหน ยังต้องเรียนวิชาจากพี่หมออีกเยอะ
:lol:
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 3:59 pm
โดย crazyrisk
พี่หมอ.....ฟันธงงงง... :8)
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 5:19 pm
โดย V_accy
ชื่นชมพี่ๆด้วยคนครับ
....
แต่ถ้าพี่เขาคาดการณ์ผิดขึ้นมาอย่างไปว่าพี่เขานะครับ
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 6:01 pm
โดย สามัญชน
ขอบคุณครับที่ให้เครดิต
แต่ไม่กล้ารับครับ
มีนักลงทุนหลายท่านเคยถามผมเมื่อต้นปีว่า
ทองกับน้ำมันน่าลงทุนหรือไม่
เพราะตอนนั้นถ้าใครไม่เล่นทองกับน้ำมัน
ก็น่าจะตกเทรนด์
ผมตอบ(เดา)ว่าในระยะยาวแล้ว
ทองกับน้ำมันน่าจะมีโอกาสลงมากกว่าขึ้น
แต่ว่าในระยะสั้นๆอาจจะยังขึ้นก็ได้
ซึ่งผลก็ปรากฏว่า
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 6:04 pm
โดย สามัญชน
อันนี้เป็นมุมมองของดร.นิเวศน์ต่อน้ำมันครับ
บทความนี้ อยู่ในหน้าแรกของเวปเราครับ
http://www.thaivi.com/article/value-inv ... rgies.html
Peak Energies ดอยพลังงาน
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 29 มิถุนายน 2551
พฤติกรรมของกำลังการผลิตของน้ำมันปิโตรเลียมที่กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นในช่วงแรกและจะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดหลังจากที่แหล่งน้ำมันถูกดูดออกไปใช้ประมาณครึ่งบ่อ หลังจากนั้นกำลังการผลิตจะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนหมดบ่อ ซึ่งเราเรียกกำลังการผลิตที่จุดสูงสุดนี้ว่า Peak Oil นั้น ในความเป็นจริง ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะน้ำมันปิโตรเลียม แต่รวมไปถึงพลังงานประเภทอื่นทั้งหมดที่เป็นพลังงานประเภทใช้แล้วหมดไปไม่สามารถผลิตขึ้นใหม่ได้เช่นเดียวกับน้ำมัน ลองมาไล่ดูว่ามีพลังงานอะไรบ้าง
แก๊สธรรมชาติ นี่คือพลังงานที่กำลังมาแรงหลังจากที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมยังจำได้ว่าในสมัยก่อนเขาต้องจุดไฟเผาทิ้งเวลาที่ขุดเจอน้ำมันแล้วมีแก๊สธรรมชาติผสมมาด้วย ในปัจจุบันดูเหมือนว่าแก๊สธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่มีค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าน้ำมัน การใช้แก๊สธรรมชาติก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่าที่จริงในเมืองไทยเรานั้น ในการผลิตไฟฟ้าดูเหมือนว่าเราจะใช้แต่แก๊สธรรมชาติเป็นหลัก เพราะนี่คือสิ่งที่เราค้นพบในบ้านเรา ในระดับโลกเอง แก๊สธรรมชาติก็มีการใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณการใช้ประมาณ 60% ของน้ำมัน อย่างไรก็ตาม แก๊สธรรมชาติเองนั้นก็มีการคาดการณ์กันว่าน่าจะมีกำลังการผลิตใกล้ Peak หรือยอดดอยเหมือนกัน นั่นคือ บางคนบอกว่าภายใน 3-4 ปีนี้ อย่างมากไม่เกิน 13-14 ปี กำลังการผลิตถึงจุดสุดยอดแน่นอน หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ ลดลง เรื่องนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ เพราะอย่างแหล่งแก๊สของไทยเองก็ดูเหมือนว่าจะมีเวลาหมดภายในเวลา 10 หรือ 20 ปีเหมือนกัน
ถ่านหิน นี่คือแหล่งพลังงานที่ใหญ่มากหรืออาจจะเรียกว่าใหญ่ที่สุด แต่นี่ก็เช่นเดียวกัน มี Peak Coal หรือดอยถ่านหินเช่นกัน เพราะถ่านหินนั้น ในช่วงที่พบหรือเริ่มผลิตแรก ๆ เราสามารถที่จะขุดได้ง่าย แทบจะเรียกว่าตักได้เลยจากพื้น และถ่านหินที่เริ่มมีการขุดชุดแรก ๆ มักจะเป็นถ่านหินคุณภาพดีที่ให้พลังงานสูงและมีเศษเหลือที่ไม่พึงประสงค์น้อยพูดง่าย ๆ เป็นถ่านหินคุณภาพดี หลังจากนั้น พอถึงจุดสุดยอด ถ่านหินที่ขุดง่าย ๆ ก็จะหมดไป จะต้องขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ และถ่านหินที่ได้มีคุณภาพแย่ลงเรื่อย ๆ และนี่คือปรากฏการณ์ที่ก่อให้เกิด Peak Coal ในทำนองเดียวกับ Peak Oil สรุปว่า กำลังการผลิตถ่านหินนั้นก็ใกล้ถึงจุดสุดยอด แม้ว่าจะดูว่าสำรองของถ่านหินนั้นมีมหาศาล แต่กำลังการผลิตใกล้ถึงจุดสูงสุด คาดการณ์กันว่าประมาณ 13 ปีข้างหน้าเช่นเดียวกับแก๊สธรรมชาติ
พลังงานนิวเคลียร์สำหรับหลายคนอาจจะบอกว่าเป็นทางออกหลังจากน้ำมันหมดโลก เพราะนอกจากจะเป็นพลังงานที่สะอาดแล้ว มันยังไม่ก่อให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย แต่นี่ก็เช่นกัน มันจะเกิดจุดที่กำลังการผลิตถึงจุดสูงสุดคือเกิด Peak เหมือนกัน เพราะแร่ยูเรเนียมที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เหมาะสมนั้นก็กำลังใกล้หมดและราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ การค้นพบก็น้อยลงเรื่อย ๆ และคาดว่าจะเกิด Peak ในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า
พลังงานอีกอย่างหนึ่งที่เริ่มมีการใช้มากขึ้นก็คือ ทรายน้ำมันและหินน้ำมันซึ่งมีมากในแคนาดา การใช้ก็คือ นำมันมาสกัดเพื่อให้ได้น้ำมันดิบออกมา แต่การสกัดน้ำมันจากทรายและหินน้ำมันนั้นใช้พลังงานมหาศาลและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก ดังนั้น นี่ก็คงจะทำได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น
นอกจากพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป ทางออกที่จะใช้พลังงานที่ผลิตขึ้นใหม่ได้เองก็มีปัญหาในด้านของกำลังการผลิตเช่นกัน ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
พลังน้ำ นี่คือพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อนต่าง ๆ นับถึงวันนี้อาจจะพูดได้ว่าเขื่อนใหญ่ ๆ ทั้งหลายในโลกนี้ ถูกสร้างหมดไปแล้วโดยเขื่อนสุดท้ายน่าจะเป็นเขื่อนไตรผาที่เมืองจีน แต่เขื่อนนั้นรวมกันทั้งหมดสามารถให้พลังงานคิดเป็นเพียงประมาณ 2- 3% ของการใช้พลังงานของโลกเท่านั้น
พลังงานที่กำลังร้อนแรงมากหลังจากราคาน้ำมันขึ้นไปสูงก็คือพลังงานชีวภาพ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เอธทานอล ที่เราเอามาผสมเป็นแก๊สโซฮอล หลายคนคิดว่านี่คือทางออกโดยเฉพาะในประเทศของเราที่สามารถปลูกพืชผลได้มากพอที่จะทำเอธทานอลใช้แทนน้ำมันได้ แต่ถ้ามองกันในภาพใหญ่ระดับโลกแล้ว การเอาพืชมาทำเป็นพลังงานนั้น ในทางทฤษฎี อย่างน้อยก็ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ยังไม่มีเหตุผล เพราะการปลูกพืชนั้นเราต้องใช้พลังงานเช่น ต้องเอารถมาไถหว่าน ต้องใส่ปุ๋ยซึ่งมาจากน้ำมัน ต้องรดน้ำ ต้องเก็บเกี่ยวที่ต้องใช้เครื่องจักร ต้องนำผลิตผลไปส่งที่โรงงาน และในโรงงานก็ต้องใช้พลังงานในกระบวนการผลิต เสร็จแล้วก็ต้องนำเอาเอธทานอลที่ได้ไปส่งที่ปั๊ม คิดแล้ว พลังงานที่ใช้ไปในการผลิตเอธทานอลหนึ่งลิตรนั้น เผลอ ๆ จะมากกว่าพลังงานที่ได้จากเอธทานอลหนึ่งลิตรด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ในระยะยาวแล้ว พลังงานจากพืชจึงไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาพลังงานหมดโลก
พลังงานที่ดูเหมือนว่าจะมีมากอย่างไม่จำกัดและมีต้นทุนในการผลิตต่ำมากก็คือ พลังงานแสงแดด พลังงานลม พลังงานจากคลื่นในทะเล และที่น่าสนใจมากก็คือ พลังความร้อนจากใต้ดินลึกลงไปในโลก ปัญหาของพลังงานเหล่านี้ก็คือ การลงทุนสร้างแผงเซลแสงอาทิตย์ การสร้างกังหันลม การสร้างอุปกรณ์ทั้งหลายที่จะมาจับพลังงานเหล่านี้มาใช้นั้น ต้องลงทุนและ "ใช้พลังงาน" มหาศาล เช่นต้องใช้เหล็กซึ่งเหล็กเองต้องใช้พลังงานมาถลุงและอื่น ๆ อีกมาก เหนืออื่นใดก็คือ นับถึงวันนี้ พลังงานในกลุ่มนี้ยังมีการใช้น้อยมากรวมกันแล้วเพียงไม่เกิน 1% ของการใช้พลังงานทั้งโลก ดังนั้น การหวังพึ่งพิงพลังงานจากแหล่งเหล่านี้จึงยังหวังไม่ได้
ข้อสรุป ณ.วันนี้ก็คือ พลังงานของโลกทุกแหล่งน่าจะ Peak หรือมีกำลังการผลิตสูงสุดในช่วงประมาณปี 2020 ถึง 2025 หรืออีกประมาณ 12-17 ปี ข้างหน้า ยกเว้นว่าจะมีพลังงานอะไรใหม่ขึ้นมาในโลก ซึ่งการ Peak นี้ก็อาจจะนำไปสู่การขัดแย้งเพื่อแย่งแหล่งพลังงานกัน หนทางแก้ก็คือ การลดการบริโภคพลังงานลง และการลดการบริโภคที่ดีที่สุดก็คือ ราคาของพลังงานก็ควรจะต้องเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้ ยังเป็นเรื่องของการคาดเดาและไม่ได้เป็นการบอกใบ้ว่า ราคาของพลังงานทุกชนิดจะต้องเพิ่มขึ้นหรือหุ้นพลังงานทุกตัวน่าจะดี พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเอธทานอล ผมยังจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน คนบอกว่า ถ้าราคาน้ำมันถึง 40-50 เหรียญต่อบาร์เรล การผลิตเอธทานอลจะคุ้มค่าเพราะต้นทุนของเอธทานอลอยู่ตรงนี้ แต่พอน้ำมันขึ้นไปเป็น 100 เป็น 130 เหรียญ การผลิตเอธทานอลก็ยังไม่เห็นได้กำไรเป็นเรื่องเป็นราว เหตุผลก็คือ เมื่อราคาน้ำมันเพิ่ม วัตถุดิบและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการผลิตเอธทานอลก็ขึ้นตาม อย่าลืมว่า การผลิตเอธทานอลนั้นก็ต้องใช้น้ำมันและพลังงานไม่น้อย
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 7:46 pm
โดย chatchai
[quote="สามัญชน"]
ในเรื่องทองนั้น
ผมยังคิดเหมือนเดิม
เพราะทองเป็นสินค้าที่
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 8:02 pm
โดย GeneraX
ผมก็ยังเชื่อว่ามนุษย์จะสามารถคิดค้นพลังงานทดแทนน้ำมันได้ก่อนที่จะถึงวันนั้นครับ เวลาอีกร่วม40 ปีผมเชื่อว่ามากพอที่ทำให้มนุษญ์สามารถปรับตัวได้อย่างสบายๆ
เทคโนโลยีปราศจากน้ำมันหลายอย่างๆก็ถูกคิดค้นลำหน้าไปไกลกว่าข่าวที่เห็นๆกันอยู่ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ
ยกตัวอย่างบ.น้ำมันยักษ์ใหญ่แห่งนึง เมื่อต้นปีก็เห็นมีการเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์ของบริษัทได้มีการค้นพบวิธีที่ทำให้รถวิ่งได้โดยไม่ใช้น้ำมันเลยออกมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้โปรโมตข่าวออกมาภายนอกมากนักและไม่ทำเทคโนโลยีนั้นมาใช้เพราะด้วยเหตผลทางธุรกิจ (ถ้าทำก็เป็นเหมือนทำลายธุรกิจน้ำมันตัวเอง)
ยังไงก็ตามสิ่งสำคัญสำหรับวันนี้คือ ประหยัดพลังงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อยืดเวลาให้คนเราได้มีเวลาปรับตัวไปสู้โลกพลังงานใหม่ได้อย่างทรมาณน้อยที่สุด

เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 15, 2008 8:43 pm
โดย สามัญชน
chatchai เขียน:
ผมว่าทองคำไม่เหมือนโลหะอื่นๆ
ดีมานด์คงไม่ใช่มาจากประชาชนซื้อเพื่อเป็นเครื่องประดับอย่างเดียวนะครับ
ทองก็คล้ายโลหะอื่นๆ
ทั้งที่เป็นธาตุและสารประกอบ
คือใช้แล้วไม่หมดไป
ไม่ว่าจะถูกใช้ไปทำอะไร
ทำเครื่องประดับ
ทำมือถือ(เป็นชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคส์ภายในเครื่องนะครับ ไม่ใช่ทำตัวเครื่อง )
ทีวี คอมพิวเตอร์
ใช้เคลือบเครื่องยนต์
เครื่องมือทันตกรรม
ชุดนักบินอวกาศ (เคลือบบางๆเพื่อป้องกันรังสีที่อันตราย)
ทั้งหมดนี้สามารถรีไซเคิลได้
โลหะอื่นก็เช่นกัน
เพราะสสารย่อมไม่สูญสลาย เพียงแต่เปลี่ยนรูปไปมาจากธาตุเป็นสารประกอบ
หรือสารประกอบไปเป็นธาตุคืน
ยกเว้นยูเรเนี่ยม หรือสารกัมมันตภาพอื่นๆที่มีการสลายตัวตามธรรมชาติที่จะหมดลงเรื่อยๆ
และราคายูเรเนี่ยมคงจะไม่เป็นวัฏจักรเหมือนโลหะอื่นๆ เพราะมันมีน้อยลงเรื่อยๆนั่นเอง
โดยเฉพาะช่วงที่มันใกล้จะหมดจริงๆ
ความนิยมในการรีไซเคิลก็ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่าย
ว่าถูกหรือแพงกว่าการถลุงจากสินแร่
เมื่อไหร่ที่ถูกกว่า
เมื่อนั้นธาตุเหล่านี้ก็จะกลับมาเป็นซัพพลายได้อีก ไม่มีวันจบ
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 16, 2008 9:32 am
โดย surachaichia
น่าสนใจกับ วัฎจักรที่จะเปลึ่ยนไปเมื่อระยะเวลาผ่านไป อาจจะเป็น ในแง่ cycle period change หรือ สินค้าวัฎจักรเปลี่ยนเป็นไม่ใช่วัฎจักร ในความเห็นส่วนตัว คือ ประเทศที่กุมเทคโนโลยีกำลังรอให้การใช้น้ำมันหมดไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนื่ง กลุ่มนี้จะมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่ ยุคของ บิลเกตต์ทำมา ช่าวเล็กๆ ที่ญี่ปุ่นใช้ H2O แปลงอนุมูลเป็นพลังงานวิ่ง รถขนาดเล็กได้ อาจจะเป็นรูปธรรมขึ้นในอนาคต

เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 16, 2008 9:51 am
โดย Nongki
ทอง รีไซเคิลได้
แต่น้ำมันถูกเผา ระเหยกลายเป็นไอ
อยากได้ทองเส้นใหม่ เอาเส้นเก่ามาหลอมได้
แต่อยากได้น้ำมันถังใหม่ ต้องรอซากทับถมเป็นล้านปี
พี่หมอวิเคราะห์ได้คมจริงๆครับ เห็นภาพเลย
นาทีนี้ น้ำมันมีค่ากว่าทอง
อนาคต คงต้องหาพลังงานทดแทนน้ำมัน แน่ๆเลย ล้านปีรอไม่ไหว
:lol:
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 16, 2008 12:10 pm
โดย chatchai
ทองคำ จะสามารถใช้แทน กระดาษใบสีเขียวๆ ได้เป็นอย่างดีในอนาคต
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2008 8:51 am
โดย Polar Bear
วันนี้ทองน่าจะบวกวันเดียวกว่า 1000 บาทเลยนะครับ ลงทุนในทองคำเมื่อราคาสมเหตุสมผลมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ก็คงไม่ต่างจากการเลือกซื้อหุ้นช่วงราคาถูกๆ
เมื่อผมเชื่อการคาดการณ์ของ "สามัญชน"
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2008 12:34 pm
โดย Polar Bear
ราคาฟิวเจอร์สอย่าไปดูเลยครับ นักลงทุนทั่วๆไปชาวไทยน้อยคนนักที่ไปลงทุนฟิวเจอร์สทอง และก็รู้กันอยู่แล้วว่าฟิวเจอร์สทองไม่มีการส่งมอบจริง
ตอนนี้แค่ราคาทองในประเทศกับต่างประเทศยังไม่สัมพันธ์กันเลยครับ วันนี้อยากเป็นร้านทองจังเลย รับซื้อในประเทศแล้วไปขายนอกประเทศ กำไรบานเลย