"ก้องเกียรติ"ฟันธงหุ้นปีนี้พุ่ง 30% "ศุภวุฒิ&
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 12, 2003 12:24 pm
ดร.ก้องเกียรติ คาดปีนี้ดัชนีหุ้นไทยเติบโตได้ถึง 30% โดยหุ้นขนาดกลางและใหญ่ยังได้รับความสนใจ ชี้ตลาดหุ้นเป็นทางเลือกหลังดอกเบี้ยดิ่ง ขณะที่ดร.ศุภวุฒิ เตือนต่างชาติเริ่มเทขายหุ้นเหตุราคาสะท้อนปัจจัยพื้นฐานมากแล้ว ระบุดัชนีสิ้นปีแตะ 420 จุด
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.แอสเซทพลัส กล่าวในงานสัมมนา "นวัตกรรมการลงทุนเพื่อเพิ่มกำไรโดยไม่เสี่ยง" จัดโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เอ็มเอฟซีว่า ตลาดหุ้นเอเชียมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม TIP ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
โดยประเทศไทย ดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 19% และคาดว่าทั้งปีน่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้ถึง 30% ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้สะดุด เช่น การเมือง นโยบายรัฐบาล ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ดัชนีเพิ่มขึ้น 22% และประเทศฟิลิปปินส์ดัชนีเพิ่มขึ้น 15% รวมทั้งดัชนีเอสแอนด์พีก็เพิ่มขึ้น 20% ดัชนีตลาดหุ้นเยอรมันและฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 17%
ทั้งนี้ เขาคาดว่าปีนี้ตลาดหุ้นจะดีมาก เนื่องจากทางเลือกของนักลงทุนมีน้อยลง ซึ่งจะเห็นว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนต่ำสุดในรอบ 45 ปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยก็ต่ำสุดเท่าที่เคยเห็น ซึ่งตลาดหุ้นขณะนี้ระดับ พี/อี อยู่ที่ 9 เท่า ไม่รวมกลุ่มสถาบันการเงิน ที่ผลประกอบการไตรมาสแรกมีกำไรเพิ่มขึ้น 68% แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2 กำไรจะลดลงบ้างจากผลกระทบโรคซาร์ส แต่คาดว่าไตรมาส 3 และ 4 การทำกำไรจะกลับมาอยู่ในระดับปกติ
ดร.ก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า หุ้นที่นักลงทุนควรจะเลือกนั้นควรจะเป็นบริษัทที่เป็นเบอร์ 1 หรือ 2 ของอุตสาหกรรม และต้องเป็นหุ้นที่มีมูลค่าราคาตลาดรวมอยู่ในระดับกลางหรือสูง ในกลุ่มโทรศัพท์มือถือ วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์และพลังงาน รวมทั้งชิ้นส่วนรถยนต์ น้ำมันพืช และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้ จะเห็นว่ากำลังการผลิตของบางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นถึง 100% เช่น แอร์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
"การเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ หรือ IPO ช่วงนี้เป็นจังหวะและโอกาสที่ตลาดเปิด หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีหลายบริษัทสามารถที่จะเสนอขายได้ แม้ว่าขนาดหุ้นจะเล็ก ในขณะที่รัฐวิสาหกิจเองไม่พร้อมที่จะเสนอขายหุ้นในช่วงที่ตลาดเปิด เนื่องจากรัฐวิสาหกิจยังไม่เรียบร้อย ทำให้ไม่สามารถที่จะระดมทุนในจังหวะที่ตลาดปรับตัวขึ้น"
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เมอร์ริล ลินช์ ภัทร เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในครึ่งปีหลัง เนื่องจากความไม่แน่นอนของสงครามจบลง การลดอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศยุโรป สหรัฐอเมริกา ดำเนินนโยบายการคลังที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ผิดปกติก็คือเศรษฐกิจสหรัฐ ที่เป็นหัวจักรของการฟื้นตัวยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่กลุ่มยุโรปและญี่ปุ่นที่มีค่าเงินแข็ง แต่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดี จนทำให้ญี่ปุ่นต้องเข้าไปแทรกแซงตลาด โดยการเข้าซื้อเงินดอลลาร์กว่า 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ และการที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง 25% เมื่อเทียบกับเงินยูโร แต่ผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกลับต่ำกว่ายุโรป ซึ่งความไม่สมดุลเหล่านี้ควรจะต้องระมัดระวัง "มีความเป็นไปได้ว่า ในครึ่งปีหลัง อาจจะต้องมีการเปลี่ยนหัวจักรในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากสหรัฐ เป็นญี่ปุ่น และยุโรป แทน แต่ก็น่าเป็นห่วงเพราะเศรษฐกิจของทั้งยุโรป และญี่ปุ่น ยังไม่แข็งแรง ซึ่งสวนทางกับค่าเงินเยน และยูโร ที่แข็งขึ้น ทำให้เกิดความไม่สมดุลของเศรษฐกิจ และอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่ต่อเนื่อง" ดร.ศุภวุฒิกล่าว ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในครึ่งปี 2546 ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยซึมซับข่าวค่อนข้างเร็ว นักลงทุนต่างชาติเริ่มเทขายทำกำไรแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า ราคาหุ้นปรับตัวสูงจนเกินปัจจัยพื้นฐานแล้ว และตลาดเริ่มหมดปัจจัยหนุนให้ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นต่อ ดังนั้น ระดับดัชนีที่ 420 จุด จึงยังเป็นระดับที่เหมาะสมในขณะนี้ ซึ่งทาง เมอร์ริล ลินช์ ภัทร ยังไม่ปรับประมาณการใหม่ ต้องรอดูทิศทางเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังก่อน
ขณะที่ตลาดหุ้นวานนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในขาลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกหลังจากที่เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นและเงินบาทอ่อนค่าลง หลังมีข่าวว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าแทรกแซง ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนบางส่วนเริ่มเทขายทำกำไร ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ปิดตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อย ปิดที่ระดับ 422.60 ลดลง 1.45 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 11,477.74 ล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจ 12 - 6- 46
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.แอสเซทพลัส กล่าวในงานสัมมนา "นวัตกรรมการลงทุนเพื่อเพิ่มกำไรโดยไม่เสี่ยง" จัดโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เอ็มเอฟซีว่า ตลาดหุ้นเอเชียมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม TIP ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
โดยประเทศไทย ดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 19% และคาดว่าทั้งปีน่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้ถึง 30% ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้สะดุด เช่น การเมือง นโยบายรัฐบาล ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ดัชนีเพิ่มขึ้น 22% และประเทศฟิลิปปินส์ดัชนีเพิ่มขึ้น 15% รวมทั้งดัชนีเอสแอนด์พีก็เพิ่มขึ้น 20% ดัชนีตลาดหุ้นเยอรมันและฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 17%
ทั้งนี้ เขาคาดว่าปีนี้ตลาดหุ้นจะดีมาก เนื่องจากทางเลือกของนักลงทุนมีน้อยลง ซึ่งจะเห็นว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนต่ำสุดในรอบ 45 ปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยก็ต่ำสุดเท่าที่เคยเห็น ซึ่งตลาดหุ้นขณะนี้ระดับ พี/อี อยู่ที่ 9 เท่า ไม่รวมกลุ่มสถาบันการเงิน ที่ผลประกอบการไตรมาสแรกมีกำไรเพิ่มขึ้น 68% แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2 กำไรจะลดลงบ้างจากผลกระทบโรคซาร์ส แต่คาดว่าไตรมาส 3 และ 4 การทำกำไรจะกลับมาอยู่ในระดับปกติ
ดร.ก้องเกียรติ กล่าวอีกว่า หุ้นที่นักลงทุนควรจะเลือกนั้นควรจะเป็นบริษัทที่เป็นเบอร์ 1 หรือ 2 ของอุตสาหกรรม และต้องเป็นหุ้นที่มีมูลค่าราคาตลาดรวมอยู่ในระดับกลางหรือสูง ในกลุ่มโทรศัพท์มือถือ วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์และพลังงาน รวมทั้งชิ้นส่วนรถยนต์ น้ำมันพืช และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้ จะเห็นว่ากำลังการผลิตของบางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นถึง 100% เช่น แอร์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
"การเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ หรือ IPO ช่วงนี้เป็นจังหวะและโอกาสที่ตลาดเปิด หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีหลายบริษัทสามารถที่จะเสนอขายได้ แม้ว่าขนาดหุ้นจะเล็ก ในขณะที่รัฐวิสาหกิจเองไม่พร้อมที่จะเสนอขายหุ้นในช่วงที่ตลาดเปิด เนื่องจากรัฐวิสาหกิจยังไม่เรียบร้อย ทำให้ไม่สามารถที่จะระดมทุนในจังหวะที่ตลาดปรับตัวขึ้น"
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เมอร์ริล ลินช์ ภัทร เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในครึ่งปีหลัง เนื่องจากความไม่แน่นอนของสงครามจบลง การลดอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศยุโรป สหรัฐอเมริกา ดำเนินนโยบายการคลังที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ผิดปกติก็คือเศรษฐกิจสหรัฐ ที่เป็นหัวจักรของการฟื้นตัวยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่กลุ่มยุโรปและญี่ปุ่นที่มีค่าเงินแข็ง แต่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ดี จนทำให้ญี่ปุ่นต้องเข้าไปแทรกแซงตลาด โดยการเข้าซื้อเงินดอลลาร์กว่า 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ และการที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง 25% เมื่อเทียบกับเงินยูโร แต่ผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกลับต่ำกว่ายุโรป ซึ่งความไม่สมดุลเหล่านี้ควรจะต้องระมัดระวัง "มีความเป็นไปได้ว่า ในครึ่งปีหลัง อาจจะต้องมีการเปลี่ยนหัวจักรในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จากสหรัฐ เป็นญี่ปุ่น และยุโรป แทน แต่ก็น่าเป็นห่วงเพราะเศรษฐกิจของทั้งยุโรป และญี่ปุ่น ยังไม่แข็งแรง ซึ่งสวนทางกับค่าเงินเยน และยูโร ที่แข็งขึ้น ทำให้เกิดความไม่สมดุลของเศรษฐกิจ และอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่ต่อเนื่อง" ดร.ศุภวุฒิกล่าว ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในครึ่งปี 2546 ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยซึมซับข่าวค่อนข้างเร็ว นักลงทุนต่างชาติเริ่มเทขายทำกำไรแล้ว สะท้อนให้เห็นว่า ราคาหุ้นปรับตัวสูงจนเกินปัจจัยพื้นฐานแล้ว และตลาดเริ่มหมดปัจจัยหนุนให้ดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นต่อ ดังนั้น ระดับดัชนีที่ 420 จุด จึงยังเป็นระดับที่เหมาะสมในขณะนี้ ซึ่งทาง เมอร์ริล ลินช์ ภัทร ยังไม่ปรับประมาณการใหม่ ต้องรอดูทิศทางเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังก่อน
ขณะที่ตลาดหุ้นวานนี้ ดัชนีเคลื่อนไหวในขาลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกหลังจากที่เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นและเงินบาทอ่อนค่าลง หลังมีข่าวว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าแทรกแซง ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนบางส่วนเริ่มเทขายทำกำไร ทำให้ดัชนีหลักทรัพย์ปิดตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อย ปิดที่ระดับ 422.60 ลดลง 1.45 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 11,477.74 ล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจ 12 - 6- 46