ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 02, 2008 10:23 pm
ตลาดโภคภัณฑ์-จีน 'กระทิง' ใหม่การลงทุน กูรูคอมมอดิตี้ จิม โรเจอร์ส ฟันธง
มีสามสิ่งที่จิม โรเจอร์ส กูรูระดับโลกด้านลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ประกาศให้เอาอย่าง
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : อย่างแรก คือ การลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ หรือคอมมอดิตี้ หัดพูดภาษาจีน เพราะจีน คือตัวจริง เสียงจริง ของมหาอำนาจโลกในทศวรรษที่ 21 และให้ย้ายมาอยู่ในเอเชีย เนื่องจากจะเป็นภูมิภาคที่ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะลำบาก
โรเจอร์สไม่ได้แค่พูด แต่เขาลงมือทำด้วย
เขาย้ายมาพำนักอยู่ในสิงคโปร์เพราะต้องการใช้ชีวิตในเอเชีย ที่เขาเล็งว่าจะเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกต่อไป "เอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจเพราะมีทั้งประเทศจีน และอินเดียซึ่งมีประชากรเป็นพันๆ ล้าน"
ทิ้ง เงินสกุลดอลลาร์ และทรัพย์สินในสกุลดอลลาร์ เพราะโรเจอร์สจับสัญญาณได้ว่า เงินดอลมีแต่จะอ่อนลงๆ และสถานะของอเมริกาขณะนี้ คือ ลูกหนี้รายใหญ่สุดของโลกเท่าที่เคยมีมา
ให้ลูกสาวตัวนิด เรียนและพูดภาษาจีน ซึ่งเขาตั้งใจว่าไม่ใช่แค่พูดได้ แต่ มายเบบี้ เกิร์ล ที่โรเจอร์สเรียกอย่างเอ็นดู ต้องมีสำเนียงล้งเล้งช้งเช้งแบบจีนด้วย
"จีนจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ต่อไป หลังจากอเมริกาเคยเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 20 และอังกฤษเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 19
จีนประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระบบทุนนิยมตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมา การรู้ภาษาจีนจึงเป็นทักษะที่สำคัญในอนาคต" โรเจอร์สให้เหตุผล
ส่วนการลงทุนในตลาดคอมมอดิตี้ โรเจอร์ส ซึ่งสร้างความร่ำรวยจากกองทุนควอนตัม ฟันด์ ที่เขาร่วมกับจอร์ซ โซรอส ก่อตั้งขึ้น และกองทุนของสองพาร์ทเนอร์สร้างผลตอบแทนกว่า 4,200% ขณะที่ดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ 500 ปรับตัวขึ้นแค่ 50% เท่านั้น การันตีว่า การลงทุนรอบนี้เป็นของตลาดคอมมอดิตี้ เพราะให้ผลตอบแทนที่สูง และตลาดคอมมอดิตี้จะเข้ามาแทนที่ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ที่ผ่านพ้นยุคทองไปแล้ว
รอบของตลาดคอมมอดิตี้จะสดใสไปอีก 15-25 ปี
ตอนนี้ความยิ่งใหญ่ของตลาดคอมมอดิตี้ โรเจอร์สระบุว่า มีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 รองจากตลาดค้าเงินเท่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก และไม่ตระหนัก
"?การลงทุนที่ดีที่สุดขณะนี้ คือ สินค้า?โภคภัณฑ์ คาดว่าราคาสินค้าเกษตรจะพุ่งขึ้นอีกจากราคาปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต
ตลาดคอมมอดิตี้จะไปถึงจุดสูงสุดเมื่อไหร่นั้น คงบอกไม่ได้ แต่ในอดีตการปรับตัวของตลาดคอมมอดิตี้ที่ยาวที่สุด คือ 23 ปี และระยะสั้นที่สุดก็ใช้เวลาประมาณ 15 ปี
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเยลและเพนซิลเวเนียก็คาดการณ์ว่า การลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี้ระยะ 10 ปีข้างหน้า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้น 300%" โรเจอร์สกล่าว
นอกจากระดับราคาสินค้าคอมมอดิตี้ที่จะปรับตัวแล้ว อีกปัจจัยที่โรเจอร์สมองว่า จะเป็นตัวผลักดันความร้อนแรงของตลาดแห่งนี้ คือ ดีมานด์และซัพพลายในสินค้าคอมมอดิตี้ จากการที่จีนและอินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทำให้ต้องการใช้สินค้าคอมมอดิตี้มาก ขณะที่การผลิตยังทำได้น้อยกว่า
"จีนกับอินเดียมีศักยภาพที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีก จึงยังมีความต้องการสินค้าพลังงานจากผลิตผลเกษตร และสินค้าคอมมอดิตี้อื่นๆ ทำให้เกิดภาวะบูมในสินค้าเกษตร"
เพราะฉะนั้น กูรูการลงทุนสินค้าคอมมอดิตี้รายนี้จึงมองว่า สินค้าเกษตรจะมีอนาคตที่สดใส เพราะนอกจากความต้องการบริโภคแล้ว ยังสามารถใช้ผลิตพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด น้ำตาล
น้ำมัน ทองคำ เป็นอีกสินค้าคอมมอดิตี้ที่โรเจอร์สกล่าวว่า เขาจะลงทุนเพิ่ม แม้ว่าราคาจะปรับตัวลงก็ตาม
"น้ำมันเชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นอีกตามกฎอุปสงค์กับอุปทาน เพราะไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันแห่งใหม่มา 40 ปีแล้ว และตัวเลขน้ำมันสำรองของซาอุดีอาระเบียยังคงที่อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาร์เรล ตั้งแต่ปี 2541"
ความมั่นใจในเทรนด์ลงทุนคอมมอดิตี้ของโรเจอร์สยังมาจากผลตอบแทนที่เขาได้รับจากการลงทุนในตลาดคอมมอดิตี้ทั่วโลกในระยะ 11 ปี (ส.ค. 2541- ก.ค. 2552) ที่สูงถึง 481.4%
เทียบกับดัชนีเลห์แมน แอลที เทรชเชอรี่ ซึ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 91.2% และผลตอบแทนรวมจากเอสแอนด์พี อินเด็กซ์ ที่วัดผลตอบแทนจากหุ้น อยู่ที่ระดับ 32.2% เท่านั้น
โดยโรเจอร์สได้ทำดัชนีโภคภัณฑ์ชื่อ Rogers International Commodities Index หรือ RICI ขึ้นในปี 2541 และตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี้ต่างๆ ประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์จำนวน 35 ชนิด ที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก
สมญากูรูโลกด้านคอมมอดิตี้ จึงมิได้มาลอยๆ ผลตอบแทนจากดัชนี RICI ที่ 481.4% คงบอกได้ระดับหนึ่งถึงความแม่นยำของโรเจอร์ส
ย้อนอดีต โรเจอร์สคนนี้ ?เคยคาด?การณ์?ไว้?เมื่อ?เดือนเมษายน ปี 2549 ว่า ราคาน้ำมันดิบจะ?แตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์?เรล ?และราคาทองคำจะทะยานขึ้น?แตะระดับ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ?เคยทำนายทายทักว่า ประเทศจีน จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่ใครๆ จะหายใจเข้าออกเป็นจีนเสียอีก
จนถึงกับเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "A Bull in China" ขึ้น
ในโอกาสที่เดินทางมาเมืองไทย โรเจอร์สเลยกระตุ้นให้ประเทศไทยตื่นตัวกับตลาดคอมมอดิตี้ โดยจัดตั้งศูนย์กลางตลาดคอมมอดิตี้ในภูมิภาคนี้ขึ้น เพราะในภูมิภาคเอเชียยังไม่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าคอมมอดิตี้แต่อย่างใด
ไทยเป็นทั้งผู้ผลิตสินค้าคอมมอดิตี้ เป็นผู้บริโภค และมีการเทรดสินค้านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงมีศักยภาพด้านคอมมอดิตี้ กูรูชี้ช่อง
"เลี่ยงเงินดอล ลงทุนในคอมมอดิตี้" เป็นอีกสิ่งที่โรเจอร์สเน้นย้ำตลอด โดยเขาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าข่ายย่ำแย่สุดในประวัติศาสตร์จากหนี้สิน 13 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ และหนี้สินดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทุก 15 เดือน
"การที่รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ถูกต้อง มีนโยบายสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้การลงทุนในสหรัฐไม่น่าสนใจอีกต่อไป" โรเจอร์สกล่าว
แม้จะมีความชื่นชอบในการลงทุนที่ต่างไปจากกูรูคนอื่นๆ แต่สำหรับแนวคิดในการลงทุนของโรเจอร์สก็ดูจะมีจุดยืนเดียวกับผู้รู้คนอื่นๆ คือ แนะให้ลงทุนในสิ่งที่รู้ จริง
"อย่าซื้ออะไรที่ไม่รู้ดี อย่าฟังกูรูอย่างเดียว เราจะไม่มีความเสี่ยง ถ้าเราลงทุนในสิ่งที่เรารู้ดี"
การเปลี่ยนทิศ ส่งสัญญาณการลงทุนใหม่ ทั้งตลาดคอมมอดิตี้ ค่าเงินดอลลาร์ และภูมิภาคที่น่าสนใจของโรเจอร์สก็ได้มาจากการทำการบ้าน โดยเดินทางไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ รวมเวลา 3 ปี 116 ประเทศ 235,000 กิโลเมตร
กูรูคนนี้จึงได้รับอีกฉายา "นักผจญภัยในตลาดทุน" หรือ "อินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์" อีกด้วย
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/2008/09/0 ... 290349.php
มีสามสิ่งที่จิม โรเจอร์ส กูรูระดับโลกด้านลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ประกาศให้เอาอย่าง
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : อย่างแรก คือ การลงทุนในตลาดโภคภัณฑ์ หรือคอมมอดิตี้ หัดพูดภาษาจีน เพราะจีน คือตัวจริง เสียงจริง ของมหาอำนาจโลกในทศวรรษที่ 21 และให้ย้ายมาอยู่ในเอเชีย เนื่องจากจะเป็นภูมิภาคที่ยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะลำบาก
โรเจอร์สไม่ได้แค่พูด แต่เขาลงมือทำด้วย
เขาย้ายมาพำนักอยู่ในสิงคโปร์เพราะต้องการใช้ชีวิตในเอเชีย ที่เขาเล็งว่าจะเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกต่อไป "เอเชียเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจเพราะมีทั้งประเทศจีน และอินเดียซึ่งมีประชากรเป็นพันๆ ล้าน"
ทิ้ง เงินสกุลดอลลาร์ และทรัพย์สินในสกุลดอลลาร์ เพราะโรเจอร์สจับสัญญาณได้ว่า เงินดอลมีแต่จะอ่อนลงๆ และสถานะของอเมริกาขณะนี้ คือ ลูกหนี้รายใหญ่สุดของโลกเท่าที่เคยมีมา
ให้ลูกสาวตัวนิด เรียนและพูดภาษาจีน ซึ่งเขาตั้งใจว่าไม่ใช่แค่พูดได้ แต่ มายเบบี้ เกิร์ล ที่โรเจอร์สเรียกอย่างเอ็นดู ต้องมีสำเนียงล้งเล้งช้งเช้งแบบจีนด้วย
"จีนจะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ต่อไป หลังจากอเมริกาเคยเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 20 และอังกฤษเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 19
จีนประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระบบทุนนิยมตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมา การรู้ภาษาจีนจึงเป็นทักษะที่สำคัญในอนาคต" โรเจอร์สให้เหตุผล
ส่วนการลงทุนในตลาดคอมมอดิตี้ โรเจอร์ส ซึ่งสร้างความร่ำรวยจากกองทุนควอนตัม ฟันด์ ที่เขาร่วมกับจอร์ซ โซรอส ก่อตั้งขึ้น และกองทุนของสองพาร์ทเนอร์สร้างผลตอบแทนกว่า 4,200% ขณะที่ดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ 500 ปรับตัวขึ้นแค่ 50% เท่านั้น การันตีว่า การลงทุนรอบนี้เป็นของตลาดคอมมอดิตี้ เพราะให้ผลตอบแทนที่สูง และตลาดคอมมอดิตี้จะเข้ามาแทนที่ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ที่ผ่านพ้นยุคทองไปแล้ว
รอบของตลาดคอมมอดิตี้จะสดใสไปอีก 15-25 ปี
ตอนนี้ความยิ่งใหญ่ของตลาดคอมมอดิตี้ โรเจอร์สระบุว่า มีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 รองจากตลาดค้าเงินเท่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก และไม่ตระหนัก
"?การลงทุนที่ดีที่สุดขณะนี้ คือ สินค้า?โภคภัณฑ์ คาดว่าราคาสินค้าเกษตรจะพุ่งขึ้นอีกจากราคาปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอดีต
ตลาดคอมมอดิตี้จะไปถึงจุดสูงสุดเมื่อไหร่นั้น คงบอกไม่ได้ แต่ในอดีตการปรับตัวของตลาดคอมมอดิตี้ที่ยาวที่สุด คือ 23 ปี และระยะสั้นที่สุดก็ใช้เวลาประมาณ 15 ปี
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยเยลและเพนซิลเวเนียก็คาดการณ์ว่า การลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี้ระยะ 10 ปีข้างหน้า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้น 300%" โรเจอร์สกล่าว
นอกจากระดับราคาสินค้าคอมมอดิตี้ที่จะปรับตัวแล้ว อีกปัจจัยที่โรเจอร์สมองว่า จะเป็นตัวผลักดันความร้อนแรงของตลาดแห่งนี้ คือ ดีมานด์และซัพพลายในสินค้าคอมมอดิตี้ จากการที่จีนและอินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทำให้ต้องการใช้สินค้าคอมมอดิตี้มาก ขณะที่การผลิตยังทำได้น้อยกว่า
"จีนกับอินเดียมีศักยภาพที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อีก จึงยังมีความต้องการสินค้าพลังงานจากผลิตผลเกษตร และสินค้าคอมมอดิตี้อื่นๆ ทำให้เกิดภาวะบูมในสินค้าเกษตร"
เพราะฉะนั้น กูรูการลงทุนสินค้าคอมมอดิตี้รายนี้จึงมองว่า สินค้าเกษตรจะมีอนาคตที่สดใส เพราะนอกจากความต้องการบริโภคแล้ว ยังสามารถใช้ผลิตพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด น้ำตาล
น้ำมัน ทองคำ เป็นอีกสินค้าคอมมอดิตี้ที่โรเจอร์สกล่าวว่า เขาจะลงทุนเพิ่ม แม้ว่าราคาจะปรับตัวลงก็ตาม
"น้ำมันเชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นอีกตามกฎอุปสงค์กับอุปทาน เพราะไม่มีการค้นพบแหล่งน้ำมันแห่งใหม่มา 40 ปีแล้ว และตัวเลขน้ำมันสำรองของซาอุดีอาระเบียยังคงที่อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาร์เรล ตั้งแต่ปี 2541"
ความมั่นใจในเทรนด์ลงทุนคอมมอดิตี้ของโรเจอร์สยังมาจากผลตอบแทนที่เขาได้รับจากการลงทุนในตลาดคอมมอดิตี้ทั่วโลกในระยะ 11 ปี (ส.ค. 2541- ก.ค. 2552) ที่สูงถึง 481.4%
เทียบกับดัชนีเลห์แมน แอลที เทรชเชอรี่ ซึ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 91.2% และผลตอบแทนรวมจากเอสแอนด์พี อินเด็กซ์ ที่วัดผลตอบแทนจากหุ้น อยู่ที่ระดับ 32.2% เท่านั้น
โดยโรเจอร์สได้ทำดัชนีโภคภัณฑ์ชื่อ Rogers International Commodities Index หรือ RICI ขึ้นในปี 2541 และตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในสินค้าคอมมอดิตี้ต่างๆ ประกอบไปด้วยสินค้าโภคภัณฑ์จำนวน 35 ชนิด ที่ซื้อขายในตลาดล่วงหน้าทั่วโลก
สมญากูรูโลกด้านคอมมอดิตี้ จึงมิได้มาลอยๆ ผลตอบแทนจากดัชนี RICI ที่ 481.4% คงบอกได้ระดับหนึ่งถึงความแม่นยำของโรเจอร์ส
ย้อนอดีต โรเจอร์สคนนี้ ?เคยคาด?การณ์?ไว้?เมื่อ?เดือนเมษายน ปี 2549 ว่า ราคาน้ำมันดิบจะ?แตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์?เรล ?และราคาทองคำจะทะยานขึ้น?แตะระดับ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ?เคยทำนายทายทักว่า ประเทศจีน จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่ใครๆ จะหายใจเข้าออกเป็นจีนเสียอีก
จนถึงกับเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "A Bull in China" ขึ้น
ในโอกาสที่เดินทางมาเมืองไทย โรเจอร์สเลยกระตุ้นให้ประเทศไทยตื่นตัวกับตลาดคอมมอดิตี้ โดยจัดตั้งศูนย์กลางตลาดคอมมอดิตี้ในภูมิภาคนี้ขึ้น เพราะในภูมิภาคเอเชียยังไม่มีตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าคอมมอดิตี้แต่อย่างใด
ไทยเป็นทั้งผู้ผลิตสินค้าคอมมอดิตี้ เป็นผู้บริโภค และมีการเทรดสินค้านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงมีศักยภาพด้านคอมมอดิตี้ กูรูชี้ช่อง
"เลี่ยงเงินดอล ลงทุนในคอมมอดิตี้" เป็นอีกสิ่งที่โรเจอร์สเน้นย้ำตลอด โดยเขาระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐเข้าข่ายย่ำแย่สุดในประวัติศาสตร์จากหนี้สิน 13 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ และหนี้สินดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทุก 15 เดือน
"การที่รัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ถูกต้อง มีนโยบายสนับสนุนการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้การลงทุนในสหรัฐไม่น่าสนใจอีกต่อไป" โรเจอร์สกล่าว
แม้จะมีความชื่นชอบในการลงทุนที่ต่างไปจากกูรูคนอื่นๆ แต่สำหรับแนวคิดในการลงทุนของโรเจอร์สก็ดูจะมีจุดยืนเดียวกับผู้รู้คนอื่นๆ คือ แนะให้ลงทุนในสิ่งที่รู้ จริง
"อย่าซื้ออะไรที่ไม่รู้ดี อย่าฟังกูรูอย่างเดียว เราจะไม่มีความเสี่ยง ถ้าเราลงทุนในสิ่งที่เรารู้ดี"
การเปลี่ยนทิศ ส่งสัญญาณการลงทุนใหม่ ทั้งตลาดคอมมอดิตี้ ค่าเงินดอลลาร์ และภูมิภาคที่น่าสนใจของโรเจอร์สก็ได้มาจากการทำการบ้าน โดยเดินทางไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ รวมเวลา 3 ปี 116 ประเทศ 235,000 กิโลเมตร
กูรูคนนี้จึงได้รับอีกฉายา "นักผจญภัยในตลาดทุน" หรือ "อินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์" อีกด้วย
ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com/2008/09/0 ... 290349.php