ของขึ้น 2 / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 20, 2008 9:14 pm
ในช่วงที่สินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าสำเร็จรูปทั้งหลายมีการปรับราคาขึ้นไปมากอย่างในปัจจุบันนั้น บริษัทที่มีสต็อกสินค้าเหล่านั้นมากเช่นผู้ขายสินค้าโภคภัณฑ์มักจะมีกำไรจากสต็อกสินค้าหรือ Inventory Gain และมักทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นและราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ต้องใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นวัตถุดิบในการผลิตกลับประสบปัญหาในการทำกำไรเพราะต้นทุนในการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าสำเร็จรูปที่ขายอาจจะไม่สามารถปรับราคาได้ทัน มาดูกันว่าผู้ผลิตประเภทไหนที่มักจะ “เจ็บตัว” จากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตนใช้เป็นวัตถุดิบปรับตัวขึ้นมาก
กลุ่มแรกที่เห็นชัดเจนมากในภาวะที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมหาศาลก็คือ ผู้ที่ใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบคิดเป็นสัดส่วนต้นทุนสูง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ สายการบินและสายการเดินเรือที่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเองในการรับขนสินค้า ประเด็นก็คือ สายการบินหรือบริษัทเดินเรือเหล่านั้นมัก “ขายตั๋ว” ล่วงหน้าในราคาที่อิงกับค่าน้ำมันราคาเดิม พอถึงเวลาบินจริงบริษัทต้องเติมน้ำมันในราคาใหม่ที่แพงขึ้น ผลก็คือ บริษัทมีกำไรน้อยลงหรือถ้าเลวร้ายมากก็อาจจะขาดทุนได้เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของกิจการ
ในกรณีที่คล้ายคลึงกันก็คือ ราคาค่าพลังงานซึ่งก็อาจจะรวมถึงราคาน้ำมันด้วยมีราคาเพิ่มขึ้นมาก ผู้ผลิตทางอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากในการผลิตเช่นธุรกิจปูนซีเมนต์ก็อาจจะประสบปัญหาด้านต้นทุนเช่นกัน เพราะในขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นมากแต่ราคาขายสินค้าอาจจะไม่สามารถปรับขึ้นได้มากเพราะปริมาณการใช้ปูนอาจจะไม่เพิ่มขึ้นเลยและมีการแข่งขันในอุตสาหกรรมสูงทำให้ไม่สามารถปรับราคาปูนได้มากเท่ากับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้ ผลก็คือ ธุรกิจมีกำไรลดลงและส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มมักจะปรับตัวลดลง
จากพลังงานเช่นน้ำมันหรือถ่านหิน ลองมาดูด้านของโลหะเช่นเหล็กบ้าง เมื่อเหล็กขึ้นราคา คนที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบมากแต่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าของตนเองได้ก็มักจะเจ็บตัว ที่เห็นชัดที่สุดกลุ่มหนึ่งก็คือ ผู้รับเหมาก่อสร้างที่มักจะต้องใช้เหล็กเป็นโครงสร้างมาก งานรับเหมานั้นจะต้องกำหนดราคาที่รับงานก่อนล่วงหน้าเป็นปี ๆ ซึ่งผู้รับเหมาก็จะอิงจากต้นทุนราคาเหล็กเดิม เมื่อถึงเวลาก่อสร้าง ต้นทุนเหล็กเพิ่มขึ้นมาก โครงการที่คิดว่าจะทำกำไรก็อาจจะกลายเป็นขาดทุน ดังนั้น ราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาในยามที่เหล็กขึ้นราคาไปมากนั้นมักจะไม่สดใส ถึงแม้ว่าในบางโครงการที่เป็นงานหลวงบริษัทจะมีสิทธิปรับราคาโครงการตามราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นได้ แต่โดยทั่วไป เวลาวัสดุก่อสร้างเช่นเหล็กและปูนขึ้นราคาไปเร็วและมาก ผู้รับเหมาก็จะเหนื่อยเป็นพิเศษ และผู้รับเหมารายย่อยที่มีสายป่านทางการเงินสั้นก็มักจะต้องล้มละลายกันไปเป็นจำนวนมาก
หันมาดูโภคภัณฑ์อ่อนหรือ Soft Commodity เช่นสินค้าทางการเกษตรทั้งหลายที่มีราคาปรับขึ้นตามราคาน้ำมันกันบ้าง ยางพาราเป็นสินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นมาก ผู้ผลิตที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบเช่นผู้ผลิตยางรถยนต์และชิ้นส่วนยางในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มักจะประสบปัญหาในการทำกำไร เหตุผลก็คือ ราคาสินค้าสำเร็จรูปอาจจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปได้ทัน เพราะผู้ผลิตเหล่านั้นมักจะเป็นผู้ผลิตสินค้าขั้นกลางหรือชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตสินค้าสำเร็จรูปอีกต่อหนึ่งเช่นผลิตชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตรถยนต์ ในกระบวนการกำหนดราคาซื้อสินค้านั้น ผู้ผลิตสุดท้ายซึ่งมักจะเป็นผู้ซื้อรายใหญ่มักจะมีอำนาจต่อรองสูง ดังนั้น ราคาสินค้าที่กำหนดจึงมักจะปรับได้ช้าในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวขึ้นไปก่อน ผลก็คือ ส่วนต่างกำไรของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนน้อยลง ราคาหุ้นโดยเฉพาะในช่วงที่ราคายางกำลังเป็นขาขึ้นอย่างแรงของบริษัทเหล่านั้นจึงมักจะไม่ไปไหน
ราคาของธัญญาหารเช่นข้าวโพดและถั่วเหลืองปรับตัวขึ้นไปมากซึ่งเป็นผลจากการที่มีการนำโภคภัณฑ์เหล่านั้นไปผลิตเอทธานอลในอเมริกา โภคภัณฑ์เหล่านั้นเป็นวัตถุดิบที่ต้องใช้มากในการเลี้ยงสัตว์เช่นไก่และหมู เวลาอาหารสัตว์มีราคาเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตไก่มักจะลำบากเพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมากในขณะที่ราคาไก่มักจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปหรือปรับตัวน้อยเพราะความต้องการการบริโภคยังคงเท่าเดิม ปัญหาซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะว่าเมื่อไก่มีอายุครบเจ้าของจะต้องจับขายมิฉะนั้นผู้ผลิตจะต้องป้อนอาหารที่มีราคาแพงให้กับไก่ต่อ แต่น้ำหนักตัวไก่ที่เพิ่มขึ้นจะน้อยกว่าปกติเพราะไก่โตเกือบเต็มที่แล้ว แรงกดดันที่แต่ละเล้าจะต้องรีบขายไก่ยิ่งทำให้ราคาไก่ลดลงไปอีก ผลก็คือ ในช่วงที่ราคาอาหารสัตว์ปรับตัวขึ้นรุนแรง บริษัทที่เลี้ยงสัตว์ก็จะมีกำไรน้อยลงเช่นเดียวกับราคาหุ้นที่มักจะซบเซาลง
ผมคงไม่สามารถคุยได้หมด นักลงทุนที่สนใจลงทุนในยามที่ของขึ้นมาก ๆ จะต้องวิเคราะห์ผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดกับบริษัทว่าจะเป็นบวกหรือลบ ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ผลกระทบระยะยาวหรือระยะกลางกับระยะสั้น ทั้งหมดที่ผมพูดก็คือ มันมักจะเป็นผลระยะสั้น ในกรณีที่ผลกระทบเป็นลบอย่างที่เล่ามาทั้งหมดนี้ แน่นอน ใน “รอบแรก” เราต้องหลีกเลี่ยงไม่ลงทุน อย่างไรก็ตาม เราจะต้องติดตามดูต่อไป เพราะเมื่อผลกระทบออกมาแล้วนั่นคือราคาหุ้นตกลงมาแล้ว ถ้าราคาโภคภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบกลับตัวมีราคาลดลงหรือราคานิ่งแล้วและสินค้าสำเร็จรูปมีราคาเพิ่มขึ้นหรือบริษัทสามารถปรับราคาสินค้าสำเร็จรูปแล้ว กำไรของบริษัทก็จะกลับมาอยู่ที่เดิม ดังนั้น ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นที่ตกลงมามาก เราก็อาจจะสามารถทำกำไรได้มากเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนทิศ และกำไรของบริษัทกำลังจะกลับมาดีขึ้น
ทั้งหมดนี้ก็จะเข้าสูตรของการลงทุนทุกอย่างที่ว่า ในวิกฤติอาจจะมีโอกาสทองรออยู่
กลุ่มแรกที่เห็นชัดเจนมากในภาวะที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมหาศาลก็คือ ผู้ที่ใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบคิดเป็นสัดส่วนต้นทุนสูง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ สายการบินและสายการเดินเรือที่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเองในการรับขนสินค้า ประเด็นก็คือ สายการบินหรือบริษัทเดินเรือเหล่านั้นมัก “ขายตั๋ว” ล่วงหน้าในราคาที่อิงกับค่าน้ำมันราคาเดิม พอถึงเวลาบินจริงบริษัทต้องเติมน้ำมันในราคาใหม่ที่แพงขึ้น ผลก็คือ บริษัทมีกำไรน้อยลงหรือถ้าเลวร้ายมากก็อาจจะขาดทุนได้เพราะน้ำมันเป็นต้นทุนหลักของกิจการ
ในกรณีที่คล้ายคลึงกันก็คือ ราคาค่าพลังงานซึ่งก็อาจจะรวมถึงราคาน้ำมันด้วยมีราคาเพิ่มขึ้นมาก ผู้ผลิตทางอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมากในการผลิตเช่นธุรกิจปูนซีเมนต์ก็อาจจะประสบปัญหาด้านต้นทุนเช่นกัน เพราะในขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นมากแต่ราคาขายสินค้าอาจจะไม่สามารถปรับขึ้นได้มากเพราะปริมาณการใช้ปูนอาจจะไม่เพิ่มขึ้นเลยและมีการแข่งขันในอุตสาหกรรมสูงทำให้ไม่สามารถปรับราคาปูนได้มากเท่ากับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้ ผลก็คือ ธุรกิจมีกำไรลดลงและส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มมักจะปรับตัวลดลง
จากพลังงานเช่นน้ำมันหรือถ่านหิน ลองมาดูด้านของโลหะเช่นเหล็กบ้าง เมื่อเหล็กขึ้นราคา คนที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบมากแต่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าของตนเองได้ก็มักจะเจ็บตัว ที่เห็นชัดที่สุดกลุ่มหนึ่งก็คือ ผู้รับเหมาก่อสร้างที่มักจะต้องใช้เหล็กเป็นโครงสร้างมาก งานรับเหมานั้นจะต้องกำหนดราคาที่รับงานก่อนล่วงหน้าเป็นปี ๆ ซึ่งผู้รับเหมาก็จะอิงจากต้นทุนราคาเหล็กเดิม เมื่อถึงเวลาก่อสร้าง ต้นทุนเหล็กเพิ่มขึ้นมาก โครงการที่คิดว่าจะทำกำไรก็อาจจะกลายเป็นขาดทุน ดังนั้น ราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาในยามที่เหล็กขึ้นราคาไปมากนั้นมักจะไม่สดใส ถึงแม้ว่าในบางโครงการที่เป็นงานหลวงบริษัทจะมีสิทธิปรับราคาโครงการตามราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นได้ แต่โดยทั่วไป เวลาวัสดุก่อสร้างเช่นเหล็กและปูนขึ้นราคาไปเร็วและมาก ผู้รับเหมาก็จะเหนื่อยเป็นพิเศษ และผู้รับเหมารายย่อยที่มีสายป่านทางการเงินสั้นก็มักจะต้องล้มละลายกันไปเป็นจำนวนมาก
หันมาดูโภคภัณฑ์อ่อนหรือ Soft Commodity เช่นสินค้าทางการเกษตรทั้งหลายที่มีราคาปรับขึ้นตามราคาน้ำมันกันบ้าง ยางพาราเป็นสินค้าที่มีราคาเพิ่มขึ้นมาก ผู้ผลิตที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบเช่นผู้ผลิตยางรถยนต์และชิ้นส่วนยางในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มักจะประสบปัญหาในการทำกำไร เหตุผลก็คือ ราคาสินค้าสำเร็จรูปอาจจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปได้ทัน เพราะผู้ผลิตเหล่านั้นมักจะเป็นผู้ผลิตสินค้าขั้นกลางหรือชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตสินค้าสำเร็จรูปอีกต่อหนึ่งเช่นผลิตชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตรถยนต์ ในกระบวนการกำหนดราคาซื้อสินค้านั้น ผู้ผลิตสุดท้ายซึ่งมักจะเป็นผู้ซื้อรายใหญ่มักจะมีอำนาจต่อรองสูง ดังนั้น ราคาสินค้าที่กำหนดจึงมักจะปรับได้ช้าในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวขึ้นไปก่อน ผลก็คือ ส่วนต่างกำไรของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนน้อยลง ราคาหุ้นโดยเฉพาะในช่วงที่ราคายางกำลังเป็นขาขึ้นอย่างแรงของบริษัทเหล่านั้นจึงมักจะไม่ไปไหน
ราคาของธัญญาหารเช่นข้าวโพดและถั่วเหลืองปรับตัวขึ้นไปมากซึ่งเป็นผลจากการที่มีการนำโภคภัณฑ์เหล่านั้นไปผลิตเอทธานอลในอเมริกา โภคภัณฑ์เหล่านั้นเป็นวัตถุดิบที่ต้องใช้มากในการเลี้ยงสัตว์เช่นไก่และหมู เวลาอาหารสัตว์มีราคาเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตไก่มักจะลำบากเพราะต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมากในขณะที่ราคาไก่มักจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปหรือปรับตัวน้อยเพราะความต้องการการบริโภคยังคงเท่าเดิม ปัญหาซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะว่าเมื่อไก่มีอายุครบเจ้าของจะต้องจับขายมิฉะนั้นผู้ผลิตจะต้องป้อนอาหารที่มีราคาแพงให้กับไก่ต่อ แต่น้ำหนักตัวไก่ที่เพิ่มขึ้นจะน้อยกว่าปกติเพราะไก่โตเกือบเต็มที่แล้ว แรงกดดันที่แต่ละเล้าจะต้องรีบขายไก่ยิ่งทำให้ราคาไก่ลดลงไปอีก ผลก็คือ ในช่วงที่ราคาอาหารสัตว์ปรับตัวขึ้นรุนแรง บริษัทที่เลี้ยงสัตว์ก็จะมีกำไรน้อยลงเช่นเดียวกับราคาหุ้นที่มักจะซบเซาลง
ผมคงไม่สามารถคุยได้หมด นักลงทุนที่สนใจลงทุนในยามที่ของขึ้นมาก ๆ จะต้องวิเคราะห์ผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดกับบริษัทว่าจะเป็นบวกหรือลบ ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ผลกระทบระยะยาวหรือระยะกลางกับระยะสั้น ทั้งหมดที่ผมพูดก็คือ มันมักจะเป็นผลระยะสั้น ในกรณีที่ผลกระทบเป็นลบอย่างที่เล่ามาทั้งหมดนี้ แน่นอน ใน “รอบแรก” เราต้องหลีกเลี่ยงไม่ลงทุน อย่างไรก็ตาม เราจะต้องติดตามดูต่อไป เพราะเมื่อผลกระทบออกมาแล้วนั่นคือราคาหุ้นตกลงมาแล้ว ถ้าราคาโภคภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบกลับตัวมีราคาลดลงหรือราคานิ่งแล้วและสินค้าสำเร็จรูปมีราคาเพิ่มขึ้นหรือบริษัทสามารถปรับราคาสินค้าสำเร็จรูปแล้ว กำไรของบริษัทก็จะกลับมาอยู่ที่เดิม ดังนั้น ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นที่ตกลงมามาก เราก็อาจจะสามารถทำกำไรได้มากเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนทิศ และกำไรของบริษัทกำลังจะกลับมาดีขึ้น
ทั้งหมดนี้ก็จะเข้าสูตรของการลงทุนทุกอย่างที่ว่า ในวิกฤติอาจจะมีโอกาสทองรออยู่