มีใครอัดเสียง Money Talk Daily July 11,2008 13:00pm ?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 06, 2008 5:28 pm
พอดีอยากเก็บ File เสียงไว้ฟังหลายๆครั้ง มีใครอัดเป็น File เสียงไม้ครับ ขอหน่อยจิ
สรุปได้แค่นี้ :
ได้ฟัง Money Talk อาทิตย์นี้ที่เชิญ สถาบันยานยนต์ มาพูดถึงแนวโน้ม อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอีกหลายๆปีข้างหน้า
รู้สึกสบายใจอย่างมาก คำถามหลายข้อที่อยากถาม ดร.นิเวศน์ก็ช่วยถามให้เรียบร้อย โดยสรุปมีใจความว่า :
1) เมื่อปี 2539 ประเทศไทยผลิตรถยนต์ ล้านกว่าคัน แต่ปี 2541 ลดลงเหลือ 150,000 คัน
2) ทางสถาบันยานยนต์ ได้กำหนดยุทธศาตร์และเสนอแผนฟื้อฟูในปี 2542-43 ว่าภายใน 4 ปี ประเทศไทยจะต้องกลับมาผลิต ล้านกว่าคัน
3) ปี 2548 ประเทศไทยกลับมาผลิตได้ ล้านกว่าคัน และปี 2550 ที่ผ่านมา ประเทศไทยผลิต 1,300,000+ คัน
ขายภายในประเทศ 630,000 คัน ส่งออกต่างประเทศ 690,000 คัน
การส่งออกนั้น เป็นปิกอัพ 65% รถเก๋ง 35%
4) ปี 2548 สถาบันยานยนต์ ได้ กำหนดยุทธศาตร์ใหม่เพื่อต่อยอด ปิกอัพ Champion ของประเทศไทย โดยการออก Spec. ECO Car
ที่เน้น ประหยัดน้ำมัน 100 km ใช้น้ำมัน 5 ลิตร เครื่องยนต์สอาด Euro 4 เกิด CO2 น้อย และต้องมีความปลอดภัยสูง
5) แต่เนื่องด้วยปัญหาทางการเมือง ทำให้ ECO Car ล่าช้าในการอนุมัต กว่าจะผ่าน ก็เดือน พ.ย. 2550
(ผมคิดเหมือนกันเลย จริงๆแล้วเราควรจะมี ECO Car ใช้แล้ว ถ้ารัฐบาล Dr.Thaksin อนุมัตโครงการนี้)
6) โครงการกำหนดให้ผลิตทั้ง 6 ราย (Toyota, Honda, Nissan, Mitsu, Suzuki & Tata) ต้องมีการผลิตให้ได้ 100,000 คันต่อรายต่อปีภายใน 5 ปี
จึงจะได้รับประโยชน์ทางภาษี
7) หากรถ ECO Car เริ่มการผลิตปี 2553 ภายใน 5 ปี ประเทศไทยจะมี ECO Car ผลิตออกสู่ตลาดเกือบ 700,000 คัน
รวมกับกำลังการผลิตเดิม ประเทศไทยจะผลิตรถยนต์เกิน 2,000,000 คัน ภายในปี 2558 ซึ่งขึ้นเป็นที่ 10 ของ โลก
ปัจจุบันยอดผลิต #1=> USA #2 => China #3 => Japan #4 => Korea , China คงจะแซง USA ในไม่ช้า
8) ปัจจุบันมีรถยนต์วิ่งบนถนนราวๆ 6,000,000 คัน ซึ่งประมาณ 3,000,000 คันวิ่งอยู่ใน ก.ท.ม. หรือกรุงเทพฯ ต่อประชากร 4 คน จะมีรถ 1 คัน
ปีนึงมียอดขายรถยนต์ในประเทศไทย ประมาณ 600,000 คัน การเติบโตที่ประมาณ 10% ต่อปี ซื้อใหม่บ้าง ซื้อทดแทนบ้าง
แต่ยอดการส่งออกนั้น เติบโตสองหลักที่ 20% เพราะประชากรในประเทศอย่าง จีน อินเดีย อินโด ฟิลิปปิน เวียดนามนั้น เป็นการซื้อใหม่เป็นหลัก
9) ปัจจุบันมีรถจักยานยนต์วิ่งบนถนนราวๆ 2,000,000 คัน ใช่เปล่าน้า
ปีนึงมียอดขายรถจักยานยนต์ในประเทศไทย ประมาณ 1,500,000 คัน การเติบโตที่ลดลง เพราะส่วนใหญ่เป็นการ ซื้อทดแทน
แต่การส่งออกก็ยังถือว่าทำได้ดี จำไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร
10) คำถามที่สำคัญ : ทำไมต่างชาติจึงเลือกไทยเป็น ฐานการผลิตรถยนต์ ปิกอัพ ?
คำตอบ : บ้านเขาส่วนใหญ่ปีนึงขายประมาณ 5,000 คัน แต่บ้านเราส่งเสริมให้ใช้ในการพาณิตณ์ ขายได้หลายแสนคันต่อปี
และมีภูมิศาสตร์ที่ดีในเอเชีย ค่าแรงที่ต่ำ หาวัตถุดิบได้ รัฐสนับสนุน มีคุณภาพใช้ได้
11) คำถามที่สำคัญ : เห็นว่า India ก็ผลิต ECO Car แล้วไทยจะสู้ได้เหรอ จุดยืนของไทยอยู่ที่ไหน ?
คำตอบ : India นั้นผลิตเพื่อในประเทศเขา เน้นราคาต่ำ ให้คนจนมีรถยนต์ได้ใช้ จุดยืนไทยเราจะอยู่ที่ ราคาถูก แต่คุณภาพญี่ปุ่น
ขณะที่ประเทศจีน ผลิตรถยนต์ ส่งไปขาย Africa แต่ไทยเราส่งไปขายที่ Europe
ปัจจุบันรถเล็กใน Europe จะผลิตที่ยุโรปตะวันออกเพราะค่าแรงถูก แต่อีกหน่อย คงจะต้อนรับรถเล็กไทยเหมือนเช่นรถปิกอัพที่ผ่านมา
12) ไม่ลืมข้อสุดท้าย => ผู้อำนวยการ สถาบันยานยนต์ Confirm ว่า อีก 10 ปี ข้างหน้า อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของประเทศไทย ยังไปได้อย่างสบายๆ

สรุปได้แค่นี้ :
ได้ฟัง Money Talk อาทิตย์นี้ที่เชิญ สถาบันยานยนต์ มาพูดถึงแนวโน้ม อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอีกหลายๆปีข้างหน้า
รู้สึกสบายใจอย่างมาก คำถามหลายข้อที่อยากถาม ดร.นิเวศน์ก็ช่วยถามให้เรียบร้อย โดยสรุปมีใจความว่า :
1) เมื่อปี 2539 ประเทศไทยผลิตรถยนต์ ล้านกว่าคัน แต่ปี 2541 ลดลงเหลือ 150,000 คัน
2) ทางสถาบันยานยนต์ ได้กำหนดยุทธศาตร์และเสนอแผนฟื้อฟูในปี 2542-43 ว่าภายใน 4 ปี ประเทศไทยจะต้องกลับมาผลิต ล้านกว่าคัน
3) ปี 2548 ประเทศไทยกลับมาผลิตได้ ล้านกว่าคัน และปี 2550 ที่ผ่านมา ประเทศไทยผลิต 1,300,000+ คัน
ขายภายในประเทศ 630,000 คัน ส่งออกต่างประเทศ 690,000 คัน
การส่งออกนั้น เป็นปิกอัพ 65% รถเก๋ง 35%
4) ปี 2548 สถาบันยานยนต์ ได้ กำหนดยุทธศาตร์ใหม่เพื่อต่อยอด ปิกอัพ Champion ของประเทศไทย โดยการออก Spec. ECO Car
ที่เน้น ประหยัดน้ำมัน 100 km ใช้น้ำมัน 5 ลิตร เครื่องยนต์สอาด Euro 4 เกิด CO2 น้อย และต้องมีความปลอดภัยสูง
5) แต่เนื่องด้วยปัญหาทางการเมือง ทำให้ ECO Car ล่าช้าในการอนุมัต กว่าจะผ่าน ก็เดือน พ.ย. 2550
(ผมคิดเหมือนกันเลย จริงๆแล้วเราควรจะมี ECO Car ใช้แล้ว ถ้ารัฐบาล Dr.Thaksin อนุมัตโครงการนี้)
6) โครงการกำหนดให้ผลิตทั้ง 6 ราย (Toyota, Honda, Nissan, Mitsu, Suzuki & Tata) ต้องมีการผลิตให้ได้ 100,000 คันต่อรายต่อปีภายใน 5 ปี
จึงจะได้รับประโยชน์ทางภาษี
7) หากรถ ECO Car เริ่มการผลิตปี 2553 ภายใน 5 ปี ประเทศไทยจะมี ECO Car ผลิตออกสู่ตลาดเกือบ 700,000 คัน
รวมกับกำลังการผลิตเดิม ประเทศไทยจะผลิตรถยนต์เกิน 2,000,000 คัน ภายในปี 2558 ซึ่งขึ้นเป็นที่ 10 ของ โลก
ปัจจุบันยอดผลิต #1=> USA #2 => China #3 => Japan #4 => Korea , China คงจะแซง USA ในไม่ช้า
8) ปัจจุบันมีรถยนต์วิ่งบนถนนราวๆ 6,000,000 คัน ซึ่งประมาณ 3,000,000 คันวิ่งอยู่ใน ก.ท.ม. หรือกรุงเทพฯ ต่อประชากร 4 คน จะมีรถ 1 คัน
ปีนึงมียอดขายรถยนต์ในประเทศไทย ประมาณ 600,000 คัน การเติบโตที่ประมาณ 10% ต่อปี ซื้อใหม่บ้าง ซื้อทดแทนบ้าง
แต่ยอดการส่งออกนั้น เติบโตสองหลักที่ 20% เพราะประชากรในประเทศอย่าง จีน อินเดีย อินโด ฟิลิปปิน เวียดนามนั้น เป็นการซื้อใหม่เป็นหลัก
9) ปัจจุบันมีรถจักยานยนต์วิ่งบนถนนราวๆ 2,000,000 คัน ใช่เปล่าน้า
ปีนึงมียอดขายรถจักยานยนต์ในประเทศไทย ประมาณ 1,500,000 คัน การเติบโตที่ลดลง เพราะส่วนใหญ่เป็นการ ซื้อทดแทน
แต่การส่งออกก็ยังถือว่าทำได้ดี จำไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร
10) คำถามที่สำคัญ : ทำไมต่างชาติจึงเลือกไทยเป็น ฐานการผลิตรถยนต์ ปิกอัพ ?
คำตอบ : บ้านเขาส่วนใหญ่ปีนึงขายประมาณ 5,000 คัน แต่บ้านเราส่งเสริมให้ใช้ในการพาณิตณ์ ขายได้หลายแสนคันต่อปี
และมีภูมิศาสตร์ที่ดีในเอเชีย ค่าแรงที่ต่ำ หาวัตถุดิบได้ รัฐสนับสนุน มีคุณภาพใช้ได้
11) คำถามที่สำคัญ : เห็นว่า India ก็ผลิต ECO Car แล้วไทยจะสู้ได้เหรอ จุดยืนของไทยอยู่ที่ไหน ?
คำตอบ : India นั้นผลิตเพื่อในประเทศเขา เน้นราคาต่ำ ให้คนจนมีรถยนต์ได้ใช้ จุดยืนไทยเราจะอยู่ที่ ราคาถูก แต่คุณภาพญี่ปุ่น
ขณะที่ประเทศจีน ผลิตรถยนต์ ส่งไปขาย Africa แต่ไทยเราส่งไปขายที่ Europe
ปัจจุบันรถเล็กใน Europe จะผลิตที่ยุโรปตะวันออกเพราะค่าแรงถูก แต่อีกหน่อย คงจะต้อนรับรถเล็กไทยเหมือนเช่นรถปิกอัพที่ผ่านมา
12) ไม่ลืมข้อสุดท้าย => ผู้อำนวยการ สถาบันยานยนต์ Confirm ว่า อีก 10 ปี ข้างหน้า อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของประเทศไทย ยังไปได้อย่างสบายๆ