หุ้นตกเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีทางที่หุ้นจะขึ้นตลอดเวลา
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 21, 2008 2:18 pm
หุ้นตกเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีทางที่หุ้นจะขึ้นตลอดเวลา
Posted on Friday, June 20, 2008
การลงทุนไม่ได้มีความสุขทุกวัน หุ้นเป็นอะไรที่ขึ้นลงเป็นธรรมชาติ ไม่มีหุ้นที่ขึ้นตลอด อย่าไปกลัวมากเกินไป ถือหุ้นดีก็อย่าไปสนใจ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ปรึกษาสมาคมผู้ลงทุนไทย ต้นแบบการลงทุนสไตล์หุ้นคุณค่าของนักลงทุนบ้านเรา ชี้ทางสว่างให้นักลงทุนไทยผ่านการเสวนา มองโอกาสผ่านมุมมอง Value Investor ในภาวะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงไปแล้วกว่า 130 จุด ภายในเวลาประมาณ 20 วัน จน P/E Ratio ลงมาอยู่ที่ 12.56 เท่า และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปแล้วประมาณ 3.89 หมื่นล้านบาท
ดร.นิเวศน์บอกกับเราว่า หากดูจากสถิติและประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมานานกว่า 10 ปี จะพบว่า มีโอกาสสูงถึง 2 ใน 3 ที่ในแต่ละปีดัชนีหุ้นของบ้านเราจะตกลงไปกว่า 10% ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เพราะ หุ้นตกเป็นเรื่องธรรมชาติ หากไม่มีประเด็นทางการเมือง ก็ต้องมีปัจจัยอื่นมาทำให้หุ้นตกอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปโทษอะไรทั้งสิ้น เพราะถือเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังเชื่อมั่นว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่ตกไปมากเท่ากับเวียดนามหรือจีนอย่างแน่นอน
และเช่นเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทยกล่าวไว้ ดร.นิเวศน์ก็เห็นว่า นี่เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่จะเข้ามาซื้อเพื่อลงทุน โดยเฉพาะกองทุนต่าง ๆ ส่วนจะซื้อหุ้นอะไรดีนั้น ตามสไตล์หุ้นคุณค่า ก็ต้องมองหาหุ้นที่กำไรดี ปันผลดี ฐานะการเงินดี สินค้ายังขายได้ และที่สำคัญราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ ซื้อได้ สำหรับนักลงทุนมือใหม่อาจต้องซื้อในราคาที่แพงไปสักหน่อย แต่ถ้าเก็บไว้นาน ๆ ราคาหุ้นก็อาจเพิ่มขึ้น หรือได้รับเงินปันผลในอัตราที่ดีได้
สำหรับนักลงทุนหุ้นคุณค่าที่เก่งแล้ว ก็อาจจะวิเคราะห์ในเชิงลึกมากขึ้นได้ รู้จังหวะที่จะเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาลงตามวัฏจักรของหุ้น หรือเป็นจังหวะที่กิจการมีโอกาสจะได้กำไรพิเศษเพิ่มเติม ศึกษาข้อมูลวิเคราะห์งบดุล ก็จะเข้าลงทุนได้ในตอนที่ราคาไม่แพง
การลงทุนในหุ้นอยู่ที่การทำใจ หรือการมีความมั่นคงทางอารมณ์ หากดูภาวะตลาดมากเกินไปก็อาจจะกลัว แต่ถ้าซื้อด้วยความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่มั่นใจหุ้นมักจะขึ้น ในทางกลับกันหากซื้อแล้วมั่นใจว่าหุ้นจะขึ้น ผลที่ออกมาคือหุ้นตก แต่โดยส่วนตัวแล้วดร.นิเวศน์บอกว่า ถือหุ้นเต็มพอร์ต 100% มาโดยตลอดไม่ว่าจะหุ้นจะขึ้นหรือลง
ดร.นิเวศน์ยังเปรียบความรู้สึกที่นักลงทุนส่วนใหญ่ผิดหวังจากการลงทุนในภาวะที่หุ้นตกว่าเหมือนกับอาการของคนที่อกหักที่ส่วนใหญ่มักจะคร่ำครวญ โศกเศร้า ถึงภาวะที่เกิดขึ้นในขณะนี้อย่างแสนสาหัส แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ก็จะพบว่า อยู่ได้ไม่เป็นไร และมักจะลืมไปว่า ในอดีตที่ผ่านมาก็เคยบาดเจ็บแบบนี้ หรืออาจจะมากกว่านี้มาก่อน
หุ้นตกรอบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ถ้าเราบันทึกความรู้สึกของเราเข้าไปในคอมพิวเตอร์แล้วเปิดความรู้สึกเก่า ๆ ออกมาดูได้ ก็จะพบว่า ครั้งนี้ก็ไม่ได้รุนแรงหรือพิเศษไปกว่าปกติ และเมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะเลิกกลัว
เจ้าสำนัก หุ้นคุณค่า ของตลาดทุนไทยยังให้ข้อคิดในการลงทุนที่อิงกับธรรมะว่า ถือเป็นเรื่องปกติที่หากหุ้นลงก็จะต้องมีความเศร้า หุ้นขึ้นก็มีความสุข แต่ชีวิตคนเราจะให้มีความสุขทุกวันไม่ได้ แต่ถ้าหุ้นตกแล้วมีความทุกข์ แล้วขายหุ้นทิ้งไป ก็เท่ากับว่าเราสละความสุขในอนาคต แต่ถ้าเรารับความทุกข์วันนี้ไว้ได้ ในอนาคตเมื่อหุ้นขึ้นความสุขก็จะมา ตราบใดที่มีความสุขมากกว่าทุกข์ หุ้นที่ถือไว้เป็นหุ้นที่พื้นฐานดี มีโอกาสขึ้นมากกว่าลง ก็อย่าไปกังวลมากจนเกินไป........
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx
Posted on Friday, June 20, 2008
การลงทุนไม่ได้มีความสุขทุกวัน หุ้นเป็นอะไรที่ขึ้นลงเป็นธรรมชาติ ไม่มีหุ้นที่ขึ้นตลอด อย่าไปกลัวมากเกินไป ถือหุ้นดีก็อย่าไปสนใจ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ปรึกษาสมาคมผู้ลงทุนไทย ต้นแบบการลงทุนสไตล์หุ้นคุณค่าของนักลงทุนบ้านเรา ชี้ทางสว่างให้นักลงทุนไทยผ่านการเสวนา มองโอกาสผ่านมุมมอง Value Investor ในภาวะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงไปแล้วกว่า 130 จุด ภายในเวลาประมาณ 20 วัน จน P/E Ratio ลงมาอยู่ที่ 12.56 เท่า และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปแล้วประมาณ 3.89 หมื่นล้านบาท
ดร.นิเวศน์บอกกับเราว่า หากดูจากสถิติและประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมานานกว่า 10 ปี จะพบว่า มีโอกาสสูงถึง 2 ใน 3 ที่ในแต่ละปีดัชนีหุ้นของบ้านเราจะตกลงไปกว่า 10% ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เพราะ หุ้นตกเป็นเรื่องธรรมชาติ หากไม่มีประเด็นทางการเมือง ก็ต้องมีปัจจัยอื่นมาทำให้หุ้นตกอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปโทษอะไรทั้งสิ้น เพราะถือเป็นเรื่องปกติ ทั้งยังเชื่อมั่นว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่ตกไปมากเท่ากับเวียดนามหรือจีนอย่างแน่นอน
และเช่นเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทยกล่าวไว้ ดร.นิเวศน์ก็เห็นว่า นี่เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่จะเข้ามาซื้อเพื่อลงทุน โดยเฉพาะกองทุนต่าง ๆ ส่วนจะซื้อหุ้นอะไรดีนั้น ตามสไตล์หุ้นคุณค่า ก็ต้องมองหาหุ้นที่กำไรดี ปันผลดี ฐานะการเงินดี สินค้ายังขายได้ และที่สำคัญราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ ซื้อได้ สำหรับนักลงทุนมือใหม่อาจต้องซื้อในราคาที่แพงไปสักหน่อย แต่ถ้าเก็บไว้นาน ๆ ราคาหุ้นก็อาจเพิ่มขึ้น หรือได้รับเงินปันผลในอัตราที่ดีได้
สำหรับนักลงทุนหุ้นคุณค่าที่เก่งแล้ว ก็อาจจะวิเคราะห์ในเชิงลึกมากขึ้นได้ รู้จังหวะที่จะเข้าซื้อในจังหวะที่ราคาลงตามวัฏจักรของหุ้น หรือเป็นจังหวะที่กิจการมีโอกาสจะได้กำไรพิเศษเพิ่มเติม ศึกษาข้อมูลวิเคราะห์งบดุล ก็จะเข้าลงทุนได้ในตอนที่ราคาไม่แพง
การลงทุนในหุ้นอยู่ที่การทำใจ หรือการมีความมั่นคงทางอารมณ์ หากดูภาวะตลาดมากเกินไปก็อาจจะกลัว แต่ถ้าซื้อด้วยความรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ ไม่มั่นใจหุ้นมักจะขึ้น ในทางกลับกันหากซื้อแล้วมั่นใจว่าหุ้นจะขึ้น ผลที่ออกมาคือหุ้นตก แต่โดยส่วนตัวแล้วดร.นิเวศน์บอกว่า ถือหุ้นเต็มพอร์ต 100% มาโดยตลอดไม่ว่าจะหุ้นจะขึ้นหรือลง
ดร.นิเวศน์ยังเปรียบความรู้สึกที่นักลงทุนส่วนใหญ่ผิดหวังจากการลงทุนในภาวะที่หุ้นตกว่าเหมือนกับอาการของคนที่อกหักที่ส่วนใหญ่มักจะคร่ำครวญ โศกเศร้า ถึงภาวะที่เกิดขึ้นในขณะนี้อย่างแสนสาหัส แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ก็จะพบว่า อยู่ได้ไม่เป็นไร และมักจะลืมไปว่า ในอดีตที่ผ่านมาก็เคยบาดเจ็บแบบนี้ หรืออาจจะมากกว่านี้มาก่อน
หุ้นตกรอบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ถ้าเราบันทึกความรู้สึกของเราเข้าไปในคอมพิวเตอร์แล้วเปิดความรู้สึกเก่า ๆ ออกมาดูได้ ก็จะพบว่า ครั้งนี้ก็ไม่ได้รุนแรงหรือพิเศษไปกว่าปกติ และเมื่อเวลาผ่านไปเราก็จะเลิกกลัว
เจ้าสำนัก หุ้นคุณค่า ของตลาดทุนไทยยังให้ข้อคิดในการลงทุนที่อิงกับธรรมะว่า ถือเป็นเรื่องปกติที่หากหุ้นลงก็จะต้องมีความเศร้า หุ้นขึ้นก็มีความสุข แต่ชีวิตคนเราจะให้มีความสุขทุกวันไม่ได้ แต่ถ้าหุ้นตกแล้วมีความทุกข์ แล้วขายหุ้นทิ้งไป ก็เท่ากับว่าเราสละความสุขในอนาคต แต่ถ้าเรารับความทุกข์วันนี้ไว้ได้ ในอนาคตเมื่อหุ้นขึ้นความสุขก็จะมา ตราบใดที่มีความสุขมากกว่าทุกข์ หุ้นที่ถือไว้เป็นหุ้นที่พื้นฐานดี มีโอกาสขึ้นมากกว่าลง ก็อย่าไปกังวลมากจนเกินไป........
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Tra ... fault.aspx