Thai VI

หมายเหตุ: ผมไม่สามารถตั้งกระทู้ในร้อยคนร้อยเล่มได้ จึงมาบรรจุอยู่ในนี้เพราะมีเนื้อหาภายในใกล้เคียงกับหัวข้อของห้อง จากนั้นรบกวน Moderator ช่วยย้ายตามความเหมาะสมด้วยนะครับ

สำหรับผม ชื่อหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมอยากอ่านมาก สิ่งหนึ่งคือเมืองไทยยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก Hedge Fund อย่างลึกซึ้งมากนัก เหตุผลหลักก็คือสินค้าด้านอนุพันธ์ของบ้านเราเป็นตลาดที่เปิดใหม่และยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร จึงไม่มีเครื่องมือสำหรับการ Hedging ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

หนังสือแนะนำการซื้อขาย (ขอย้ำว่าเป็นการ ซื้อๆ ขายๆ) ETF และการใช้ Options เข้ามา "ลด" ความเสี่ยง และ "ลด" โอกาสทำกำไรสูงสุดในเวลาเดียวกัน

สาเหตุที่หนีังสือแนะนำให้ใช้ ETF เนื่องจากเป็นการกระจายการลงทุนในหุ้นใน Portfolio ตามดัชนีที่ ETF อ้างอิงอยู่ ราคา ETF จึงเป็นไปตามตลาดตลอดเวลา นั่นทำให้การลงใน ETF อย่างเดียวจะทำใก้ผลตอบแทนที่ได้รับ "ไม่ชนะหรือแพ้ตลาด"

เราจึงใช้ Options มาเป็นตัว Hedging เพื่อจุดมุ่งหมายในการเอาชนะตลาดให้ได้ทุกปีและ Port เป็นบวกทุกปี

วิธีการคร่าวๆที่แนะนำคือการซื้อ ETF แล้ว Short Options ของ ETF นั้นๆที่ At the money วิธีนี้จะทำให้เราได้ Premium มาลดต้นทุนของ Port เพื่อให้เกิด Margin of Safety ทันที จากนั้นให้รอจนกว่าวันหมดอายุ ว่าผู้ซื้อ Option จะใช้สิทธิหรือไม่

หลักๆมีเท่านี้ แต่ถ้าใครสนใจ โพสต์ทิ้งไว้ เดี๋ยวมาต่อให้ครับ

สนใจมากๆครับ ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ ท่าน Windy

เดี๋ยวมาต่อให้นะครับ ขอไปเรียบเรียงรายละเอียดซักเล็กน้อยครับ Options ยังเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับคนไทย (และผมเองด้วย) บางช่วงบางตอนยังงงๆครับ

สิ่งหนึ่งที่แตกต่างคือ บริบท ระหว่างเรากับคนแต่งครับ

ที่อเมริกา ETF มีเยอะมาก ขนาดใหญ่ๆทั้งนั้น

ที่อเมริกา ETF หลายตัวมี Options ประจำของตัวเอง เราเรียกว่า Stock Options ครับ ซึ่งบ้านเรายังไม่มีครับ บ้านเรามีแค่ Option ที่อ้างอิงกับดัชนี

ดังนั้น การใช้วิธี Writing Covered Call Options จากในหนังสือ อาจจะยังไม่มีประสิทธิภาพนักในตอนนี้สำหรับเมืองไทย

แต่ข่าวดีคือ ปี 2552 เมืองไทยจะมี Stock Options โผล่ขึ้นมาสำหรับหุ้นตัวหลักๆ (ผมขอมองข้าม Stock Futures เนื่องจากการเล่น Futures ออกไปในทาง speculation มากกว่า hedging ครับ)

ผมเข้าใจว่า เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ใช้กันค่อนข้างบ่อยสำหรับกองทุน hedge fund หรือนักลงทุนในประเทศที่มีตลาดอนุพันธ์เข้มแข็งอย่างในอเมริกา หรือเกาหลีใต้ เทคนิคนี้เรียกว่า Write (Short) Covered Call Options

วิธีการก็คือ
เลือกหลักทรัพย์ที่มี Options ของตัวเอง จากนั้นก็ Short Call Option ในปริมาณที่ครอบคลุมหลักทรัพย์ที่เรามีอยู่พอดี ซึ่ง 2 ขั้นตอนนี้จะทำให้ต้นทุนของหลักทรัพย์ที่เราซื้อมาลดลง เนื่องจากเราได้ค่า Premium จากการ Short Call Options มาเก็บไว้ก่อนแล้ว

จากนั้นเราจะรอจนกว่าจะครบสัญญาโดยไม่จำเป็นต้องเดาทิศทางของตลาดนั่นเพราะ
1. เมื่อวันหมดอายุมาถึง แล้วราคาหลักทรัพย์สูงกว่าราคาใช้สิทธิ เราจะถูกบังคับขาย ในกรณีนี้เราจะได้กำไรสูงสุดแค่ค่าพรีเมี่ยม เนื่องจากส่วนต่างของหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นหักลบไปกับส่วนต่างที่เราเสียโอกาสในการต้องขายหลักทรัพย์ให้กับผู้ซื้อ Options (นี่คือข้อเสีย เพราะหากตลาดขึ้นแรงๆ เราจะถูกจำกัดกำไรในระดับนึง แต่คนที่ซื้อหลักทรัพย์จะได้กำไรที่สูงกว่า)

2. หากราคาหลักทรัพย์ในวันหมดอายุมีราคาเท่าเดิม คนที่ซื้อ Call Options จะไม่ใช้สิทธิ เราก็จะได้กำไรที่ค่าพรีเมี่ยมเช่นกัน (ในขณะที่คนที่ซื้อหลักทรัพย์อย่างเดียวจะไม่ได้กำไรหรือขาดทุน)

3. หากราคาหลักทรัพย์ ณ วันหมดอายุ ต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ คนที่ซื้อ Call Options ก็จะไม่ใช้สิทธิ แล้วปล่อยให้ option หมดอายุไป ส่วนเราก็จะขาดทุน Port ของเราเองในระดับที่น้อยกว่า เพราะมีค่าพรีเมี่ยมมาลดต้นทุนของเราอยู่ก่อนแล้ว (นี่คือข้อดี เพราะถ้าตลาดลงน้อยๆ เราก็จะยังได้กำไร ถ้ามูลค่า Port ของเราลดลงน้อยกว่าค่าพรีเมี่ยมที่เราได้รับจากการ Short Call นั่นเอง แต่ถ้าตลาดลงแรงๆ เราก็จะขาดทุนน้อยกว่าคนอื่นอยู่ดี)

ผู้เขียนกล่าวย้ำตลอดเวลาว่า วิธีการดังกล่าวไม่เหมาะสำหรับคนที่มั่นใจว่าตัวเองสามารถหาหุ้นที่ราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆได้ (คงหมายถึง VI) หรือคนที่มั่นใจว่าสามารถพยากรณ์ทิศทางตลาดได้อย่างแม่นยำ (คงหมายถึงนักวิเคราะห์เก่งๆ (มีมั๊ย) หรือระดับเทพอย่างโซรอส) เพราะ 2 พวกนี้จะทำกำไรได้ดีกว่าแน่นอน ถ้าเก่งจริง)

พอจะเข้าใจคร่าวๆ แต่ไม่รู้ว่าถูกรึป่าวคือ

กำไร: จำกัด
ขาดทุน: ไม่จำกัด

แต่จะมีพรีเมียมมาช่วย

อีกอย่างคือ ตอนนี้ในไทยน่าจะทำได้ ด้วยการซื้อ TDEX แล้วก็ Short Option ก็ได้รึป่าวครับ

ที่ระบุมาก็ถูกครับ

เป็นการสรุปสั้นๆ ได้ใจความ

ข้อดีคือ คุณไม่ต้องเดาตลาด เพราะถ้าตลาดขึ้น คุณก็ยังกำไร (แม้จะมีโอกาสที่จะกำไรน้อยกว่าชาวบ้าน) แต่ถ้าตลาดลง ยังไงคุณก็ขาดทุนน้อยกว่าชาวบ้านแน่นอน (เปรียบเทียบกับคนที่ถือหุ้นเดียวกับที่เราซื้อไว้เฉยๆนะครับ)

สำหรับบ้านเรา TDEX กับ SET50 ไปในทางเดียวกันก็จริง แต่ด้วยอัตราส่วนที่ไม่เท่ากันนะครับ

บางวัน SET50 ลงเยอะแต่ TDEX ลงน้อยกว่า and vice versa
บางวัน SET50 ขึ้นเยอะแต่ TDEX ขึ้นน้อยกว่า and vice versa also

วันนี้ผมไปเข้าสัมมนาได้มีโอกาสถามผู้เชี่ยวชาญจากเมืองนอก เขาเองก็คิดว่า ไม่น่าลองครับ ควรรอ Stock Option ดีกว่า ถ้าอยากใช้กลยุทธ์ Write Covered Call Option

นั่นหมายความว่าต้องรออีกราวๆ 2 ปี

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมได้ลองทำแบบจำลองคร่าวๆด้วยกลยุทธ์ Write Covered Call Option ระหว่าง TDEX กับ SET50 Option แล้วครับ

ต้องลองดูว่าจะเป็นอย่างไร

มาต่อสิครับ รออ่านอยู่ ผ่านมาสี่ปี  :D

รออ่านด้วยคนครับ  :)

ตอนนี้ถึงไหนแล้วครับ ท่าน belffet
มีคนรออ่านอยู่ครับ

มารอด้วยคนครับ :D