รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 1
สวัสดีครับ พอดีจะทำการเก็บข้อมูลทำงานหน่ะครับ
ไม่ทราบว่าพอจะรู้จักคนไทยที่รวยเพราะหุ้นอย่างเดียวไหมครับ และรวยขนาดไหน
ประมาณว่ามีคนไทยคนไหนที่เป็น Warren Buffett of Thailand บ้างครับ
ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ
ไม่ทราบว่าพอจะรู้จักคนไทยที่รวยเพราะหุ้นอย่างเดียวไหมครับ และรวยขนาดไหน
ประมาณว่ามีคนไทยคนไหนที่เป็น Warren Buffett of Thailand บ้างครับ
ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1746
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 3
ขอคำจำกัดความว่า "รวยเพราะหุ้นอย่างเดียว" ด้วยสิครับ ว่าเป็นแบบไหน
ถ้าแบบ ไม่มีอะไรเลย มาตัวเปล่า แล้วมาเป็นโคตรเซียนพันล้าน ก็คงหายากหน่อย
แต่ถ้าแบบ รวยอยู่แล้ว เก่งอยู่แล้ว แล้วมารวยยิ่งขึ้นกับหุ้นอีก อันนี้ก็มีมากหน่อย
ถ้าแบบ ไม่มีอะไรเลย มาตัวเปล่า แล้วมาเป็นโคตรเซียนพันล้าน ก็คงหายากหน่อย
แต่ถ้าแบบ รวยอยู่แล้ว เก่งอยู่แล้ว แล้วมารวยยิ่งขึ้นกับหุ้นอีก อันนี้ก็มีมากหน่อย
-
- Verified User
- โพสต์: 927
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 4
...ไม่ต้องตัวเปล่าก็ได้ เอาแค่ปั้นเงินล้านให้เป็นสองล้านก็ยังลำบาก...
...ถึงทำได้ก็งั้นๆ สู้คนพอร์ตใหญ่ ทุนหนา ...
...เวลากำไรมันเห็นชัดดี ลงร้อยล้านได้กำไรแค่10-20ล้าน ก็ยังดูเท่ห์กว่า...
...ถึงทำได้ก็งั้นๆ สู้คนพอร์ตใหญ่ ทุนหนา ...
...เวลากำไรมันเห็นชัดดี ลงร้อยล้านได้กำไรแค่10-20ล้าน ก็ยังดูเท่ห์กว่า...

-
- Verified User
- โพสต์: 1250
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 6
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 8
อะไรคือรวยล่ะครับ
ขึ้นอยู่กับการจำกัดความของคำว่ารวย
ส่วนตัวผมให้คำจำกัดความว่า มีรายได้เกินรายจ่ายในแบบที่เราพอใจ
ในคำจำกัดความของผมก็คงต้องบอกว่าคนรายจ่ายน้อยก็จะรวยเร็วกว่าคนรายจ่ายมาก
ถ้ามีรายจ่ายแค่ 1หมื่นบาทต่อเดือน คนมีเงินประมาณ 2 ล้านบาทแล้วได้ผลตอบแทนประมาณ 6 % ต่อปีก็รวยแล้วครับ :D
ถ้าอย่างนี้เต็มเว๊ปเลย เพราะเว๊ปเราคนที่เป็น vi มักใช้จ่ายให้คุ้มค่าเงินอยู่แล้ว
ขึ้นอยู่กับการจำกัดความของคำว่ารวย
ส่วนตัวผมให้คำจำกัดความว่า มีรายได้เกินรายจ่ายในแบบที่เราพอใจ
ในคำจำกัดความของผมก็คงต้องบอกว่าคนรายจ่ายน้อยก็จะรวยเร็วกว่าคนรายจ่ายมาก
ถ้ามีรายจ่ายแค่ 1หมื่นบาทต่อเดือน คนมีเงินประมาณ 2 ล้านบาทแล้วได้ผลตอบแทนประมาณ 6 % ต่อปีก็รวยแล้วครับ :D
ถ้าอย่างนี้เต็มเว๊ปเลย เพราะเว๊ปเราคนที่เป็น vi มักใช้จ่ายให้คุ้มค่าเงินอยู่แล้ว

การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ และขอบคุณ Onokung สำหรับข้อมูลที่ให้มา คนนั้นนั่นแหละครับคือใช่เลย จริงๆ
ถ้าหาคนที่รวยเพราะหุ้นอย่างเดียว ตามเกณฑ์ดังนี้มีไหมครับ
1. เริ่มจากมีทรัพย์สินอยู่กับตัวด้วยเงินไม่เกิน 100,000 บาท
2. เปิดพอร์ทครั้งแรก ด้วยเงิน ไม่เกิน 100,000 บาท (ในอดีตนะครับ)
3. ลงทุน จนมีรายได้จากหุ้น ปีละ 10,000,000 บาท (ลงทุนจากหุ้น หรือบริษัท)
4. ทรัพย์สินปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 100,000,000 บาท
4. ทั้งหมดนี้ภายใน 10 ปี
มีใครผ่านเกณฑ์นี้บ้างไหมครับ
ถ้าหาคนที่รวยเพราะหุ้นอย่างเดียว ตามเกณฑ์ดังนี้มีไหมครับ
1. เริ่มจากมีทรัพย์สินอยู่กับตัวด้วยเงินไม่เกิน 100,000 บาท
2. เปิดพอร์ทครั้งแรก ด้วยเงิน ไม่เกิน 100,000 บาท (ในอดีตนะครับ)
3. ลงทุน จนมีรายได้จากหุ้น ปีละ 10,000,000 บาท (ลงทุนจากหุ้น หรือบริษัท)
4. ทรัพย์สินปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 100,000,000 บาท
4. ทั้งหมดนี้ภายใน 10 ปี
มีใครผ่านเกณฑ์นี้บ้างไหมครับ
- krisy
- Verified User
- โพสต์: 736
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 11
ผลตอบแทน 100 เท่าในปีแรก ซื้อหุ้นที่ราคา 1 บาทราคาขยับเป็น 100 บาทใน 1 ปี หุ้นอาจต้องลิ่งทุกวันเลยหรือเปล่า ไม่รู้ถ้าซื้อ Live แล้วยังได้ตามนี้หรือเปล่าlighting_sun เขียน:ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ และขอบคุณ Onokung สำหรับข้อมูลที่ให้มา คนนั้นนั่นแหละครับคือใช่เลย จริงๆ
ถ้าหาคนที่รวยเพราะหุ้นอย่างเดียว ตามเกณฑ์ดังนี้มีไหมครับ
1. เริ่มจากมีทรัพย์สินอยู่กับตัวด้วยเงินไม่เกิน 100,000 บาท
2. เปิดพอร์ทครั้งแรก ด้วยเงิน ไม่เกิน 100,000 บาท (ในอดีตนะครับ)
3. ลงทุน จนมีรายได้จากหุ้น ปีละ 10,000,000 บาท (ลงทุนจากหุ้น หรือบริษัท)
4. ทรัพย์สินปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 100,000,000 บาท
4. ทั้งหมดนี้ภายใน 10 ปี
มีใครผ่านเกณฑ์นี้บ้างไหมครับ
Criteria ยากไปนิดนึง ถ้าใครทำได้ รับเราเป็นศิษย์ด้วยค้า
.....Give Everything but not Give Up.....
-
- Verified User
- โพสต์: 307
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 14
น.พ.ยรรยงเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่ดัชนีประมาณ 600 จุด เคยผ่านวิกฤตการณ์ซัสดัมเมื่อปี 2533 ผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 เคยผ่านยุคที่ตลาดหุ้นบูมสุดๆ เกือบ 1,800 จุด เมื่อต้นปี 2537 เคยผ่านเหตุการณ์ลอยตัวของค่าเงินบาท ปี 2540 และผ่านยุคตกต่ำที่สุดของตลาดหุ้นตอนดัชนีลงมาเหลือ 200 จุด เมื่อปี 2541 ไม่เพียงหมอรอดมาได้เท่านั้น แต่พอร์ตของเขากลับขยายเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
ในยุคที่อิรักบุกคูเวตเมื่อปี 2533 น.พ.ยรรยงมีพอร์ตเล่นหุ้นเพียงแค่ 1-2 ล้านบาท เท่านั้น แต่วันนี้พอร์ตของหมอมีมูลค่าเฉียดพันล้านบาท หมอบอกว่า ปัจจุบันเขาซื้อขายหุ้นเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละกว่า 10,000 ล้านบาท เริ่มลงทุนด้วยเงิน 5 แสนบาท
เรียนจบทันตแพทย์จากรั้วมหิดลใน ปี 2525 และกลายเป็นหมอฟันเด็กที่มีอนาคตรุ่งโรจน์คนหนึ่งของวงการ โดยเริ่มต้นอาชีพหมอฟันด้วยการร่วมทุนกับเพื่อนเปิดคลินิกแถวถนนเทเวศน์ ขณะนั้นหมอมีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2 แสนบาท แต่หมอกลับคิดว่า "อาชีพหมอฟันไม่รวย แค่พอกินพอใช้เท่านั้น"
หมอเล่าว่าเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่มีอายุประมาณ 31-32 ปี สมัยนั้นตลาดหุ้นเปิดครึ่งวันเช้า ช่วงเช้าหมอจะไปเล่นหุ้นช่วงบ่ายก็กลับคลินิก หมอทำอย่างนี้ประมาณ 3-4 ปี ก็ค้นพบว่าการเล่นหุ้นเป็นสิ่งที่ท้าทายกว่าอาชีพหมอฟัน เพราะโลกของหมออยู่แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็น
"ผมชอบเล่นหมากรุก การเล่นหุ้นก็เหมือนการเดินหมาก ต้องใช้ความคิดตลอดเวลา ก็เลยตัดสินใจทิ้งอาชีพหมอฟันมาเล่นหุ้น ทั้งที่ตอนนั้นรายได้จากการเล่นหุ้นน้อยกว่ารายได้จากการทำฟัน" หมอเล่าให้ฟัง
"ตอนที่เริ่มสตาร์ทผมลงเงินไป 500,000 บาท ตอนนั้นเลือกหุ้นที่คิดว่ามี "ราคาถูก" ผมจะซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมามากๆ เลือกหุ้นที่มีพี/อี เรโชต่ำ และซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพาร์ เพราะเราคิดว่าราคาถูก" นั่นคือสิ่งที่หมอบอกว่า เขาเริ่มต้นเล่นหุ้นจากที่ไม่มีความรู้อะไรเลย
ประสบการณ์เล่นหุ้นช่วงแรกๆ จึงไม่ราบลื่น สิ่งที่หมอคิดว่า "ราคาถูก" และ "ปลอดภัย" กลับตรงกันข้าม เล่นช่วงแรกเจ๊งมาตลอดจนเหลือเงินอยู่ 180,000 บาท
สุดท้ายต้องกลับมาทบทวนใหม่แล้วค่อยๆ เรียนรู้ ถ้ามัวแต่ยึดข้อมูลในอดีต สักวันคงหมดตัวแน่!!!"
ตามความเห็นของหมอ หุ้นเป็น "Dynamic" ฉะนั้น 1+1 ในตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องได้ผลลัพธ์เท่ากับ 2 เสมอไป ทฤษฎีการลงทุนบางครั้งก็ใช้ไม่ได้ แต่ต้องให้ประสบการณ์เป็น "ครู"
"ผมก็กลับมาทบทวนดูว่า ต้องเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ ก็ตั้งเป็นเกณฑ์ว่า เมื่อไรที่เราเล่นหุ้นมีกำไร นั่นแหละวิธีการที่ถูก เมื่อใดที่เราเล่นหุ้นขาดทุนนั่นแหละวิธีการที่ผิด"
เขาจึงได้บทสรุปว่า "จงทำตามแนวโน้มตลาด" อย่าฝืนเอาชนะ ดังนั้นกฎข้อแรกที่หมอได้เรียนรู้ ก็คือ "หุ้นยิ่งขึ้นต้องยิ่งซื้อ หุ้นยิ่งตกต้องยิ่งขาย"
เขาเชื่อในตรรกะที่ว่า "ในสวรรค์ยังมีสวรรค์ ในนรกยังมีนรก" ทำให้เขาค้นพบว่าวิธีการเล่นหุ้นที่ดีที่สุดต้องเล่นหุ้น "ตามกระแส" จึงอยู่รอดในวงการนี้
เขาเปรียบวิธีการเลือกหุ้นของตัวเองว่าเหมือนดูเทรนด์แฟชั่น "สมมติว่าคนกำลังบ้าหลุยส์วิตตอง ผมก็จะซื้อหลุยส์วิตตอง ถ้าผมประเมินว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะไป ดูข้อมูลทุกอย่างแล้วเข้าคอนเซ็ปท์ ผมจะเข้าไปซื้อเลยโดยไม่สนใจราคา แต่ถ้าคนเลิกเห่อ....ผมก็เลิกเล่น" ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าหุ้นที่ซื้อราคาจะ "ถูก" หรือ "แพง"
หากจะว่าไปแล้วสไตล์การเล่นหุ้นของน.พ.ยรรยงจัดว่า "เฉียบคม" อย่างยิ่ง เขากล่าวว่า "สไตล์ของผมคือเล่นหุ้นตาม "แฟชั่น" คือผมไม่ชอบนำแฟชั่น และไม่ชอบตามแฟชั่น แต่ผมจะ "เกาะกระแส" แฟชั่น เพราะผมเชื่อว่า นี่คือวิธีการจำกัดความเสี่ยงที่ดีที่สุด"
อาจจะพูดได้ว่าน.พ.ยรรยงก็คือ "นักเก็งกำไร" ที่เฉลียวฉลาด เพราะไม่ใช่แค่ตามแห่ แต่มีหลักการของการเก็งกำไรพอตัวทีเดียว
"วอลุ่ม" เป็นปัจจัยหนึ่งที่หมอใช้เป็นเงื่อนไขในการซื้อหรือขาย
ช่วงไหนที่ตลาดไซด์เวย์วอลุ่มไม่ค่อยมี หมอจะหยุดดู และทำตัวเหมือนกับ "เหยี่ยว" ที่รอคอยจังหวะเข้าโฉบเหยื่อ เมื่อไรก็ตามที่เขาบอกตัวเองว่าช่วงนี้หุ้น "เล่นยาก" ลงทุนไปก็ไม่คุ้ม เขาจะหยุดเล่นเลย นี่เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ทำให้น.พ.ยรรยงแตกต่างจากนักเก็งกำไรทั่วไป
นักเล่นหุ้นคนนี้ล่ำซำมาได้ไม่ใช่เพราะ "โชคดี" แต่เป็นเพราะเขาเลือกจับเฉพาะ "ปลาใหญ่" และกล้า "วางเดิมพันหมดหน้าตัก" ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูม เพราะเขามองว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่สุดของการทำกำไร และ "จำกัดความเสี่ยง"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา น.พ.ยรรยงเชื่อว่า ตลาดหุ้นมี "ฤดูกาล" ของมัน ในแต่ละปีจะมีช่วง "นาทีทอง" อย่างน้อย 1-2 เดือน และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ
เขาเผยว่า จะไม่เล่นหุ้นแบบ "ทอดแห" และไม่ซื้อหุ้นโดยไม่มีเป้าหมาย "ผมถือคติว่าจะไม่จับปลาเล็ก ผมชอบจับ "ปลาวาฬ" วิธีการคือ จะซื้อหุ้นน้อยตัว แต่จะซื้อทีละเยอะๆ โดยมองผลตอบแทนต่อครั้งประมาณ 20-30% หรืออย่างน้อยก็ต้อง 10% ขึ้นไป
สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่เขาเห็นส่วนใหญ่จะซื้อขายหุ้นบ่อยเกินไป และหวังกำไรเพียงแค่ 3-4% ก็ขาย น.พ.ยรรยงบอกว่า "ภาษานักเล่นหุ้นเขาเรียกว่า "กินน้ำหวานบนปลายมีด" คือได้รับผลตอบแทนน้อย แต่ลิ้นคุณต้องเจ็บตลอด อย่างนี้ผมจะไม่เล่น เพราะผิดหลักการจำกัดความเสี่ยง"
คนส่วนใหญ่มักจะมองน.พ.ยรรยงว่าเขาเป็น "นักเสี่ยงโชค" บางคนมองว่าเขาเป็น "นักพนัน" ด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครจะให้คำ "จำกัดความ" ตัวเขาว่าอย่างไร? หมอก็ยังยืนยันว่าเขาเป็นคนที่ "ไม่ชอบเสี่ยง"
______________________________________
หุหุเริ่มต้นด้วยเงิน 5 แสน แต่ผมสันนิษฐานว่าตอนหลังเอาเงินก้อนใหญ่จากที่อื่นมาโปะรึเปล่า :twisted:
ในยุคที่อิรักบุกคูเวตเมื่อปี 2533 น.พ.ยรรยงมีพอร์ตเล่นหุ้นเพียงแค่ 1-2 ล้านบาท เท่านั้น แต่วันนี้พอร์ตของหมอมีมูลค่าเฉียดพันล้านบาท หมอบอกว่า ปัจจุบันเขาซื้อขายหุ้นเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละกว่า 10,000 ล้านบาท เริ่มลงทุนด้วยเงิน 5 แสนบาท
เรียนจบทันตแพทย์จากรั้วมหิดลใน ปี 2525 และกลายเป็นหมอฟันเด็กที่มีอนาคตรุ่งโรจน์คนหนึ่งของวงการ โดยเริ่มต้นอาชีพหมอฟันด้วยการร่วมทุนกับเพื่อนเปิดคลินิกแถวถนนเทเวศน์ ขณะนั้นหมอมีรายได้เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2 แสนบาท แต่หมอกลับคิดว่า "อาชีพหมอฟันไม่รวย แค่พอกินพอใช้เท่านั้น"
หมอเล่าว่าเริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นเมื่อปี 2532 ขณะที่มีอายุประมาณ 31-32 ปี สมัยนั้นตลาดหุ้นเปิดครึ่งวันเช้า ช่วงเช้าหมอจะไปเล่นหุ้นช่วงบ่ายก็กลับคลินิก หมอทำอย่างนี้ประมาณ 3-4 ปี ก็ค้นพบว่าการเล่นหุ้นเป็นสิ่งที่ท้าทายกว่าอาชีพหมอฟัน เพราะโลกของหมออยู่แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็น
"ผมชอบเล่นหมากรุก การเล่นหุ้นก็เหมือนการเดินหมาก ต้องใช้ความคิดตลอดเวลา ก็เลยตัดสินใจทิ้งอาชีพหมอฟันมาเล่นหุ้น ทั้งที่ตอนนั้นรายได้จากการเล่นหุ้นน้อยกว่ารายได้จากการทำฟัน" หมอเล่าให้ฟัง
"ตอนที่เริ่มสตาร์ทผมลงเงินไป 500,000 บาท ตอนนั้นเลือกหุ้นที่คิดว่ามี "ราคาถูก" ผมจะซื้อหุ้นที่ราคาตกลงมามากๆ เลือกหุ้นที่มีพี/อี เรโชต่ำ และซื้อหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพาร์ เพราะเราคิดว่าราคาถูก" นั่นคือสิ่งที่หมอบอกว่า เขาเริ่มต้นเล่นหุ้นจากที่ไม่มีความรู้อะไรเลย
ประสบการณ์เล่นหุ้นช่วงแรกๆ จึงไม่ราบลื่น สิ่งที่หมอคิดว่า "ราคาถูก" และ "ปลอดภัย" กลับตรงกันข้าม เล่นช่วงแรกเจ๊งมาตลอดจนเหลือเงินอยู่ 180,000 บาท
สุดท้ายต้องกลับมาทบทวนใหม่แล้วค่อยๆ เรียนรู้ ถ้ามัวแต่ยึดข้อมูลในอดีต สักวันคงหมดตัวแน่!!!"
ตามความเห็นของหมอ หุ้นเป็น "Dynamic" ฉะนั้น 1+1 ในตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องได้ผลลัพธ์เท่ากับ 2 เสมอไป ทฤษฎีการลงทุนบางครั้งก็ใช้ไม่ได้ แต่ต้องให้ประสบการณ์เป็น "ครู"
"ผมก็กลับมาทบทวนดูว่า ต้องเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ ก็ตั้งเป็นเกณฑ์ว่า เมื่อไรที่เราเล่นหุ้นมีกำไร นั่นแหละวิธีการที่ถูก เมื่อใดที่เราเล่นหุ้นขาดทุนนั่นแหละวิธีการที่ผิด"
เขาจึงได้บทสรุปว่า "จงทำตามแนวโน้มตลาด" อย่าฝืนเอาชนะ ดังนั้นกฎข้อแรกที่หมอได้เรียนรู้ ก็คือ "หุ้นยิ่งขึ้นต้องยิ่งซื้อ หุ้นยิ่งตกต้องยิ่งขาย"
เขาเชื่อในตรรกะที่ว่า "ในสวรรค์ยังมีสวรรค์ ในนรกยังมีนรก" ทำให้เขาค้นพบว่าวิธีการเล่นหุ้นที่ดีที่สุดต้องเล่นหุ้น "ตามกระแส" จึงอยู่รอดในวงการนี้
เขาเปรียบวิธีการเลือกหุ้นของตัวเองว่าเหมือนดูเทรนด์แฟชั่น "สมมติว่าคนกำลังบ้าหลุยส์วิตตอง ผมก็จะซื้อหลุยส์วิตตอง ถ้าผมประเมินว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะไป ดูข้อมูลทุกอย่างแล้วเข้าคอนเซ็ปท์ ผมจะเข้าไปซื้อเลยโดยไม่สนใจราคา แต่ถ้าคนเลิกเห่อ....ผมก็เลิกเล่น" ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าหุ้นที่ซื้อราคาจะ "ถูก" หรือ "แพง"
หากจะว่าไปแล้วสไตล์การเล่นหุ้นของน.พ.ยรรยงจัดว่า "เฉียบคม" อย่างยิ่ง เขากล่าวว่า "สไตล์ของผมคือเล่นหุ้นตาม "แฟชั่น" คือผมไม่ชอบนำแฟชั่น และไม่ชอบตามแฟชั่น แต่ผมจะ "เกาะกระแส" แฟชั่น เพราะผมเชื่อว่า นี่คือวิธีการจำกัดความเสี่ยงที่ดีที่สุด"
อาจจะพูดได้ว่าน.พ.ยรรยงก็คือ "นักเก็งกำไร" ที่เฉลียวฉลาด เพราะไม่ใช่แค่ตามแห่ แต่มีหลักการของการเก็งกำไรพอตัวทีเดียว
"วอลุ่ม" เป็นปัจจัยหนึ่งที่หมอใช้เป็นเงื่อนไขในการซื้อหรือขาย
ช่วงไหนที่ตลาดไซด์เวย์วอลุ่มไม่ค่อยมี หมอจะหยุดดู และทำตัวเหมือนกับ "เหยี่ยว" ที่รอคอยจังหวะเข้าโฉบเหยื่อ เมื่อไรก็ตามที่เขาบอกตัวเองว่าช่วงนี้หุ้น "เล่นยาก" ลงทุนไปก็ไม่คุ้ม เขาจะหยุดเล่นเลย นี่เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ทำให้น.พ.ยรรยงแตกต่างจากนักเก็งกำไรทั่วไป
นักเล่นหุ้นคนนี้ล่ำซำมาได้ไม่ใช่เพราะ "โชคดี" แต่เป็นเพราะเขาเลือกจับเฉพาะ "ปลาใหญ่" และกล้า "วางเดิมพันหมดหน้าตัก" ในช่วงที่ตลาดหุ้นบูม เพราะเขามองว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่สุดของการทำกำไร และ "จำกัดความเสี่ยง"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา น.พ.ยรรยงเชื่อว่า ตลาดหุ้นมี "ฤดูกาล" ของมัน ในแต่ละปีจะมีช่วง "นาทีทอง" อย่างน้อย 1-2 เดือน และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทองนี้หลุดมือ
เขาเผยว่า จะไม่เล่นหุ้นแบบ "ทอดแห" และไม่ซื้อหุ้นโดยไม่มีเป้าหมาย "ผมถือคติว่าจะไม่จับปลาเล็ก ผมชอบจับ "ปลาวาฬ" วิธีการคือ จะซื้อหุ้นน้อยตัว แต่จะซื้อทีละเยอะๆ โดยมองผลตอบแทนต่อครั้งประมาณ 20-30% หรืออย่างน้อยก็ต้อง 10% ขึ้นไป
สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่เขาเห็นส่วนใหญ่จะซื้อขายหุ้นบ่อยเกินไป และหวังกำไรเพียงแค่ 3-4% ก็ขาย น.พ.ยรรยงบอกว่า "ภาษานักเล่นหุ้นเขาเรียกว่า "กินน้ำหวานบนปลายมีด" คือได้รับผลตอบแทนน้อย แต่ลิ้นคุณต้องเจ็บตลอด อย่างนี้ผมจะไม่เล่น เพราะผิดหลักการจำกัดความเสี่ยง"
คนส่วนใหญ่มักจะมองน.พ.ยรรยงว่าเขาเป็น "นักเสี่ยงโชค" บางคนมองว่าเขาเป็น "นักพนัน" ด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครจะให้คำ "จำกัดความ" ตัวเขาว่าอย่างไร? หมอก็ยังยืนยันว่าเขาเป็นคนที่ "ไม่ชอบเสี่ยง"
______________________________________
หุหุเริ่มต้นด้วยเงิน 5 แสน แต่ผมสันนิษฐานว่าตอนหลังเอาเงินก้อนใหญ่จากที่อื่นมาโปะรึเปล่า :twisted:
-
- Verified User
- โพสต์: 311
- ผู้ติดตาม: 0
รบกวนถามหน่อยครับ คนไทยคนไหนรวยเพราะหุ้นบ้าง
โพสต์ที่ 15
ผมว่าเสี่ยปู่ เพื่อนคุณหมอยรรยงค์ ชัดเจนกว่าครับ
เพราะแกเองทำงานราชการ สมัยก่อนต้องนั่งรถเมล์ไปตลาดหลักทรัพย์ แกเก่งด้านวิเคราะห์ไม่ใช่เก็งกำไรอย่างเดียว ขนาดหมอยรรยงค์แกยังยกย่องเลยครับ
ตอนนี้มีเงินหลายพันล้านแล้วครับ
เพราะแกเองทำงานราชการ สมัยก่อนต้องนั่งรถเมล์ไปตลาดหลักทรัพย์ แกเก่งด้านวิเคราะห์ไม่ใช่เก็งกำไรอย่างเดียว ขนาดหมอยรรยงค์แกยังยกย่องเลยครับ
ตอนนี้มีเงินหลายพันล้านแล้วครับ