กลวิธีบริหารเงิน รับมือเงินฝาก คุ้มครองแค่ 1 ล้าน!!
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 29, 2008 12:47 am
กลวิธีบริหารเงิน รับมือเงินฝาก คุ้มครองแค่ 1 ล้าน!!
ผู้ฝากเงินจะเตรียมตัวรับมืออย่างไร..เมื่อเงินฝากจะค่อยๆ ทยอยลดวงเงินคุ้มครองลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเพียง 1 ล้านบาทในปี 2555 หลังจาก "สถาบันคุ้มครองเงินฝาก" จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 เป็นต้นไป
ทางออกของผู้ฝากเงินขณะนี้... ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรจะเริ่มต้นเรียนรู้และเข้าใจการลงทุนอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน ไม่ว่า..พันธบัตรออมทรัพย์ ตั๋วบีอีของแบงก์พาณิชย์ กองทุนพันธบัตร หรือ กองทุนมันนี่มาร์เก็ต..
แน่นอนแล้วว่า "สถาบันคุ้มครองเงินฝาก" จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 เป็นต้นไป
หมายถึงว่า เงินฝากที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ของผู้ฝากเงินจะไม่ได้รับความคุ้มครอง "ทั้งก้อน" อีกต่อไป ในกรณีที่สถาบันการเงินประสบปัญหาถูกสั่ง "ปิดกิจการ" หรือล้มละลาย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ข้อสรุปออกมาแล้วว่า จะใช้วิธี "ทยอยลด" วงเงินให้ความคุ้มครองเงินฝากลงเหลือ 1 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 4 ปี
เริ่มจากปีที่ 1 ตั้งแต่ 11 ส.ค. 2551- 10 ส.ค. 2552 ผู้ฝากเงินยังจะได้รับความคุ้มครอง "เต็มจำนวน" หรือร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ปีที่ 2 (11 ส.ค. 2552-10 ส.ค. 2553) คุ้มครองเพียง 100 ล้านบาท
ปีที่ 3 (11 ส.ค. 2553-10 ส.ค. 2554) คุ้มครอง 50 ล้าน
ปีที่ 4 (11 ส.ค. 2554-10 ส.ค. 2555) เหลือความคุ้มครองเพียง 10 ล้าน
จนในที่สุด..ปีที่ 5 หรือนับแต่ 11 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป วงเงินฝากจะได้รับความคุ้มครองเพียง "1 ล้านบาท" ต่อรายชื่อต่อสถาบันการเงิน เท่านั้น
ในปัจจุบันมีเงินฝากทั้งระบบรวม 6.56 ล้านล้านบาท คิดเป็นผู้ฝากเงินในระบบถึง 52.59 ล้านราย โดยในแง่จำนวนบัญชีเงินฝาก ผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ฝากเงินที่มียอดเงินฝากที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท สูงถึง 98.57% ของบัญชีเงินฝากรวม
ชี้ให้เห็นว่า ผู้ฝากเงินรายย่อยส่วนใหญ่จะมีเงินฝากสูงสุดต่อรายกระจุกตัวอยู่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งก็จะได้รับความคุ้มครองเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตามผู้ฝากเงินยังมีเวลาในการ "ปรับตัว" ในช่วง 4 ปีแรกที่กฎหมายยังให้ความคุ้มครองเงินฝากที่สูงกว่า 1 ล้านบาท ตลอดจนการศึกษาพิจารณาวิธีกระจายการออมเงินและการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับตัวเอง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า แม้ผู้ฝากเงินจะใช้วิธีกระจายเงินฝากไปตามสถาบันการเงินละ 1 ล้านบาทต่อรายต่อแห่งได้ แต่ก็ทำให้เกิดความยุ่งยากอย่างมาก และมีโอกาสที่จะหลงลืมจนสูญเงินได้
ฉะนั้น ถ้ายังต้องการฝากเงินกับธนาคารอยู่ เขาแนะนำให้พิจารณาความมั่นคง หรือเครดิตเรทติ้งของสถาบันการเงินผู้รับฝากเงินก่อนเสมอ ไม่ควรพิจารณาเพียงอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียว เนื่องจากสถานะของธนาคารหรือสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีความมั่นคงแตกต่างกัน
"ฝากเงินกับธนาคารต่อจากนี้ ผู้ฝากควรจะพิจารณาเรทติ้งของแต่ละสถาบันด้วย อย่าสนใจแต่เพียงดอกเบี้ยเป็นหลักเท่านั้น เพราะเชื่อว่าในอนาคตธนาคารจะแข่งขันดอกเบี้ยกันมาก การที่แบงก์หรือสถาบันการเงินเสนอให้ผลตอบแทนสูงๆ ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่ต่างกันด้วย"
"วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ" รองประธานกรรมการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า เมื่อการคุ้มครองถูกจำกัดวงเงิน ผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากอยู่จำนวนเกินกว่าที่รัฐให้ความคุ้มครองจำเป็นต้องศึกษาดูความมั่นคงของธนาคารที่ฝากเงินด้วย เพราะหากธนาคารมีความมั่นคง ธนาคารก็สามารถคืนเงินฝากให้ได้เมื่อครบกำหนดการฝาก
"ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินจะเป็นหลายร้อยล้านหรือพันล้าน ผู้ฝากเงินจะต้องวิเคราะห์และติดตามสถานะทางการเงินของธนาคารอย่างใกล้ชิด"
แต่หากเป็นผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากในแต่ละธนาคารไม่เกิน 1 ล้านบาท ก็อาจจะไม่ต้องทำอะไร เพราะเงินฝากยังคงได้รับความคุ้มครองเต็มวงเงินทั้งจำนวน
วิวรรณแนะนำว่า สำหรับคนที่มีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาทต่อบัญชี ในปี 2552 อาจจะต้องมองหาลู่ทางการลงทุน หรือกระจายเงินลงทุนไปยังลู่ทางลงทุนต่าง ๆ เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ หรือจะลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือกองทุนส่วนบุคคล เป็นต้น
นอกเหนือจากการฝากเงินกินดอกเบี้ยแล้ว การซื้อ "พันธบัตรออมทรัพย์" หรือตั๋วบีอีของแบงก์พาณิชย์น่าจะเป็นตัวเลือกที่ควรสนใจ เช่น พันธบัตรออมทรัพย์พิเศษของกระทรวงการคลังปี 2551 ที่ธ.กรุงเทพ เสนอขายอายุ 2 ปีอยู่ที่ 3.60% โดย 3 วันแรกสำหรับผู้มีอายุ 55 ปีขึ้นไป และพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล อายุ 3 ปีรุ่นที่ 7 อยู่ที่ 3.70%
ขณะนี้ตั๋วบี/อีของแบงก์พาณิชย์ ยังให้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากมาก เนื่องจากปัจจุบันแบงก์ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู จึงทำให้ดอกเบี้ยตั๋วบีอีสูงว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
"ในระยะยาวผลตอบแทนจากตั๋วบีอีอาจจะไม่มากเท่านี้ แต่ก็เป็นอีกทางเลือกทดแทนการฝากเงินของคนที่ยังไม่เข้าใจการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ได้" ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนรายหนึ่งกล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันอัตราผลตอบของตั๋วบีอีอายุ 3-6 เดือน อยู่ราวๆ 2.75%
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตั๋วบีอีจะมีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากเงินกับแบงก์พาณิชย์ เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูไม่ค้ำประกัน และผู้ลงทุนต้องเสียภาษีดอกเบี้ยอีกด้วย ผู้ลงทุนที่จะลงทุนจึงต้องพิจารณาความมั่นคง หรืออันดับเครดิตเรทติ้งของแบงก์ก่อนด้วย
ส่วนรูปแบบการลงทุนอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเงินฝากและเหมาะสำหรับผู้ฝากเงิน ก็คือ การโยกเงินฝากไปยัง "กองทุนตลาดเงิน" (Money Market Fund) ซึ่งจะมีสภาพคล่องการลงทุน
ในต่างประเทศที่มีการใช้ระบบนี้ผ่านสถาบันประกันเงินฝากกันมานานแล้ว อย่างในสหรัฐฯ ซึ่งประชาชนมีการบริหารเงินออมเงินลงทุนในรูปแบบที่หลากหลายมากกว่าการฝากเงิน ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมากองทุนมันนี่มาร์เก็ตได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนกันมาก โดยในปี 2549 ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าลงทุนในกองทุนตลาดเงินนี้เกือบ 3 ล้านล้านบาท
"กองทุนมันนี่มาร์เก็ต" จึงเป็นทางเลือกของคนฝากเงินในช่วงปรับตัวในต่างประเทศ ซึ่งเงินฝากไม่ได้รับการค้ำประกันเต็มจำนวน เพื่อบริหารจัดการเงินของตัวเองด้วยวิธีการลงทุนต่างๆ ที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนในระดับที่ผู้ลงทุนยอมรับได้" ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนรายหนึ่งกล่าว
ปัจจุบันกองทุนตลาดเงินหรือมันนี่มาร์เก็ตสามารถแยกแยะตาม "พอร์ต" ลงทุนได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก..มันนี่มาร์เก็ต ฟันด์ ที่เน้นลงทุนในตราสารของภาครัฐเป็นหลัก เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลังและเงินฝากในสัดส่วนมากกว่า 90%
กลุ่มสอง..มันนี่มาร์เก็ต ฟันด์ ที่มีนโยบายการลงทุนแยกเป็น 2 ส่วน โดยเงินส่วนใหญ่ราว 60-80% ยังมุ่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลังและเงินฝาก แต่เงินอีกส่วนหนึ่งราว 15-20% หรือบางกองทุนมีสัดส่วนสูงกว่า 40% นำไปลงทุนในตราสารหนี้เอกชนหรือ "หุ้นกู้"
พอร์ตลงทุนสองรูปแบบนี้ จะทำให้กองทุนมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกันอยู่บ้าง
โดยพอร์ตกองทุนในตราสารภาครัฐเพียวๆ จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าพอร์ตกลุ่มสอง ซึ่งจะมีตราสารหนี้เอกชนปะปนอยู่ด้วย
วิวรรณ บอกว่า ตัวเลือกลงทุนที่ใกล้เคียงกับการฝากเงินที่ได้รับความคุ้มครองเต็มที่มากที่สุด ก็คือ กองทุนที่ลงทุนในตราสารภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตร ที่มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี เพราะหากต้องการขายในตลาดรองจะได้รับเงินใน 2 วันถัดจากวันที่ขาย และโดยทั่วไปหากไม่ต้องการเสียส่วนต่างของราคาซื้อขายมากนักก็ควรซื้อขายครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
"แต่หากต้องการความคล่องตัวใกล้เคียงกับการฝากเงินธนาคาร แนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน ที่ลงทุนในตราสารภาครัฐประเภทตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี ซึ่งขายคืน (ถอน) ได้ทุกวัน และหากท่านขายคืนส่วนใหญ่ท่านจะได้รับเงินในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะมีความสะดวกมาก"
ส่วนกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีตราสารหนี้ภาคเอกชนปนอยู่ จะมีความเสี่ยงของการที่ตราสารมีโอกาสผิดนัดชำระเพิ่มขึ้น ต่างจากพันธบัตรภาครัฐล้วนๆ ที่ไม่มีความเสี่ยงของการชำระคืน ตราบใดที่รัฐบาลยังสามารถเก็บภาษีได้อยู่
รู้จักกระจายเงินฝากไปลงทุนรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ น่าจะช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ฝากเงินในช่วงเริ่มต้นของการเกิดสถาบันคุ้มครองเงินฝาก..
http://www.bangkokbizweek.com/
ผู้ฝากเงินจะเตรียมตัวรับมืออย่างไร..เมื่อเงินฝากจะค่อยๆ ทยอยลดวงเงินคุ้มครองลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเพียง 1 ล้านบาทในปี 2555 หลังจาก "สถาบันคุ้มครองเงินฝาก" จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 เป็นต้นไป
ทางออกของผู้ฝากเงินขณะนี้... ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรจะเริ่มต้นเรียนรู้และเข้าใจการลงทุนอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน ไม่ว่า..พันธบัตรออมทรัพย์ ตั๋วบีอีของแบงก์พาณิชย์ กองทุนพันธบัตร หรือ กองทุนมันนี่มาร์เก็ต..
แน่นอนแล้วว่า "สถาบันคุ้มครองเงินฝาก" จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 เป็นต้นไป
หมายถึงว่า เงินฝากที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ของผู้ฝากเงินจะไม่ได้รับความคุ้มครอง "ทั้งก้อน" อีกต่อไป ในกรณีที่สถาบันการเงินประสบปัญหาถูกสั่ง "ปิดกิจการ" หรือล้มละลาย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ข้อสรุปออกมาแล้วว่า จะใช้วิธี "ทยอยลด" วงเงินให้ความคุ้มครองเงินฝากลงเหลือ 1 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 4 ปี
เริ่มจากปีที่ 1 ตั้งแต่ 11 ส.ค. 2551- 10 ส.ค. 2552 ผู้ฝากเงินยังจะได้รับความคุ้มครอง "เต็มจำนวน" หรือร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ปีที่ 2 (11 ส.ค. 2552-10 ส.ค. 2553) คุ้มครองเพียง 100 ล้านบาท
ปีที่ 3 (11 ส.ค. 2553-10 ส.ค. 2554) คุ้มครอง 50 ล้าน
ปีที่ 4 (11 ส.ค. 2554-10 ส.ค. 2555) เหลือความคุ้มครองเพียง 10 ล้าน
จนในที่สุด..ปีที่ 5 หรือนับแต่ 11 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป วงเงินฝากจะได้รับความคุ้มครองเพียง "1 ล้านบาท" ต่อรายชื่อต่อสถาบันการเงิน เท่านั้น
ในปัจจุบันมีเงินฝากทั้งระบบรวม 6.56 ล้านล้านบาท คิดเป็นผู้ฝากเงินในระบบถึง 52.59 ล้านราย โดยในแง่จำนวนบัญชีเงินฝาก ผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ฝากเงินที่มียอดเงินฝากที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท สูงถึง 98.57% ของบัญชีเงินฝากรวม
ชี้ให้เห็นว่า ผู้ฝากเงินรายย่อยส่วนใหญ่จะมีเงินฝากสูงสุดต่อรายกระจุกตัวอยู่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งก็จะได้รับความคุ้มครองเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตามผู้ฝากเงินยังมีเวลาในการ "ปรับตัว" ในช่วง 4 ปีแรกที่กฎหมายยังให้ความคุ้มครองเงินฝากที่สูงกว่า 1 ล้านบาท ตลอดจนการศึกษาพิจารณาวิธีกระจายการออมเงินและการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับตัวเอง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า แม้ผู้ฝากเงินจะใช้วิธีกระจายเงินฝากไปตามสถาบันการเงินละ 1 ล้านบาทต่อรายต่อแห่งได้ แต่ก็ทำให้เกิดความยุ่งยากอย่างมาก และมีโอกาสที่จะหลงลืมจนสูญเงินได้
ฉะนั้น ถ้ายังต้องการฝากเงินกับธนาคารอยู่ เขาแนะนำให้พิจารณาความมั่นคง หรือเครดิตเรทติ้งของสถาบันการเงินผู้รับฝากเงินก่อนเสมอ ไม่ควรพิจารณาเพียงอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียว เนื่องจากสถานะของธนาคารหรือสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีความมั่นคงแตกต่างกัน
"ฝากเงินกับธนาคารต่อจากนี้ ผู้ฝากควรจะพิจารณาเรทติ้งของแต่ละสถาบันด้วย อย่าสนใจแต่เพียงดอกเบี้ยเป็นหลักเท่านั้น เพราะเชื่อว่าในอนาคตธนาคารจะแข่งขันดอกเบี้ยกันมาก การที่แบงก์หรือสถาบันการเงินเสนอให้ผลตอบแทนสูงๆ ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่ต่างกันด้วย"
"วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ" รองประธานกรรมการ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า เมื่อการคุ้มครองถูกจำกัดวงเงิน ผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากอยู่จำนวนเกินกว่าที่รัฐให้ความคุ้มครองจำเป็นต้องศึกษาดูความมั่นคงของธนาคารที่ฝากเงินด้วย เพราะหากธนาคารมีความมั่นคง ธนาคารก็สามารถคืนเงินฝากให้ได้เมื่อครบกำหนดการฝาก
"ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินจะเป็นหลายร้อยล้านหรือพันล้าน ผู้ฝากเงินจะต้องวิเคราะห์และติดตามสถานะทางการเงินของธนาคารอย่างใกล้ชิด"
แต่หากเป็นผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากในแต่ละธนาคารไม่เกิน 1 ล้านบาท ก็อาจจะไม่ต้องทำอะไร เพราะเงินฝากยังคงได้รับความคุ้มครองเต็มวงเงินทั้งจำนวน
วิวรรณแนะนำว่า สำหรับคนที่มีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาทต่อบัญชี ในปี 2552 อาจจะต้องมองหาลู่ทางการลงทุน หรือกระจายเงินลงทุนไปยังลู่ทางลงทุนต่าง ๆ เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ หรือจะลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือกองทุนส่วนบุคคล เป็นต้น
นอกเหนือจากการฝากเงินกินดอกเบี้ยแล้ว การซื้อ "พันธบัตรออมทรัพย์" หรือตั๋วบีอีของแบงก์พาณิชย์น่าจะเป็นตัวเลือกที่ควรสนใจ เช่น พันธบัตรออมทรัพย์พิเศษของกระทรวงการคลังปี 2551 ที่ธ.กรุงเทพ เสนอขายอายุ 2 ปีอยู่ที่ 3.60% โดย 3 วันแรกสำหรับผู้มีอายุ 55 ปีขึ้นไป และพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล อายุ 3 ปีรุ่นที่ 7 อยู่ที่ 3.70%
ขณะนี้ตั๋วบี/อีของแบงก์พาณิชย์ ยังให้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากมาก เนื่องจากปัจจุบันแบงก์ไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู จึงทำให้ดอกเบี้ยตั๋วบีอีสูงว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
"ในระยะยาวผลตอบแทนจากตั๋วบีอีอาจจะไม่มากเท่านี้ แต่ก็เป็นอีกทางเลือกทดแทนการฝากเงินของคนที่ยังไม่เข้าใจการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ได้" ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนรายหนึ่งกล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันอัตราผลตอบของตั๋วบีอีอายุ 3-6 เดือน อยู่ราวๆ 2.75%
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตั๋วบีอีจะมีความเสี่ยงสูงกว่าการฝากเงินกับแบงก์พาณิชย์ เนื่องจากกองทุนฟื้นฟูไม่ค้ำประกัน และผู้ลงทุนต้องเสียภาษีดอกเบี้ยอีกด้วย ผู้ลงทุนที่จะลงทุนจึงต้องพิจารณาความมั่นคง หรืออันดับเครดิตเรทติ้งของแบงก์ก่อนด้วย
ส่วนรูปแบบการลงทุนอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเงินฝากและเหมาะสำหรับผู้ฝากเงิน ก็คือ การโยกเงินฝากไปยัง "กองทุนตลาดเงิน" (Money Market Fund) ซึ่งจะมีสภาพคล่องการลงทุน
ในต่างประเทศที่มีการใช้ระบบนี้ผ่านสถาบันประกันเงินฝากกันมานานแล้ว อย่างในสหรัฐฯ ซึ่งประชาชนมีการบริหารเงินออมเงินลงทุนในรูปแบบที่หลากหลายมากกว่าการฝากเงิน ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมากองทุนมันนี่มาร์เก็ตได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนกันมาก โดยในปี 2549 ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าลงทุนในกองทุนตลาดเงินนี้เกือบ 3 ล้านล้านบาท
"กองทุนมันนี่มาร์เก็ต" จึงเป็นทางเลือกของคนฝากเงินในช่วงปรับตัวในต่างประเทศ ซึ่งเงินฝากไม่ได้รับการค้ำประกันเต็มจำนวน เพื่อบริหารจัดการเงินของตัวเองด้วยวิธีการลงทุนต่างๆ ที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนในระดับที่ผู้ลงทุนยอมรับได้" ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนรายหนึ่งกล่าว
ปัจจุบันกองทุนตลาดเงินหรือมันนี่มาร์เก็ตสามารถแยกแยะตาม "พอร์ต" ลงทุนได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก..มันนี่มาร์เก็ต ฟันด์ ที่เน้นลงทุนในตราสารของภาครัฐเป็นหลัก เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลังและเงินฝากในสัดส่วนมากกว่า 90%
กลุ่มสอง..มันนี่มาร์เก็ต ฟันด์ ที่มีนโยบายการลงทุนแยกเป็น 2 ส่วน โดยเงินส่วนใหญ่ราว 60-80% ยังมุ่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลังและเงินฝาก แต่เงินอีกส่วนหนึ่งราว 15-20% หรือบางกองทุนมีสัดส่วนสูงกว่า 40% นำไปลงทุนในตราสารหนี้เอกชนหรือ "หุ้นกู้"
พอร์ตลงทุนสองรูปแบบนี้ จะทำให้กองทุนมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกันอยู่บ้าง
โดยพอร์ตกองทุนในตราสารภาครัฐเพียวๆ จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าพอร์ตกลุ่มสอง ซึ่งจะมีตราสารหนี้เอกชนปะปนอยู่ด้วย
วิวรรณ บอกว่า ตัวเลือกลงทุนที่ใกล้เคียงกับการฝากเงินที่ได้รับความคุ้มครองเต็มที่มากที่สุด ก็คือ กองทุนที่ลงทุนในตราสารภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง หรือพันธบัตร ที่มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี เพราะหากต้องการขายในตลาดรองจะได้รับเงินใน 2 วันถัดจากวันที่ขาย และโดยทั่วไปหากไม่ต้องการเสียส่วนต่างของราคาซื้อขายมากนักก็ควรซื้อขายครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
"แต่หากต้องการความคล่องตัวใกล้เคียงกับการฝากเงินธนาคาร แนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน ที่ลงทุนในตราสารภาครัฐประเภทตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี ซึ่งขายคืน (ถอน) ได้ทุกวัน และหากท่านขายคืนส่วนใหญ่ท่านจะได้รับเงินในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะมีความสะดวกมาก"
ส่วนกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีตราสารหนี้ภาคเอกชนปนอยู่ จะมีความเสี่ยงของการที่ตราสารมีโอกาสผิดนัดชำระเพิ่มขึ้น ต่างจากพันธบัตรภาครัฐล้วนๆ ที่ไม่มีความเสี่ยงของการชำระคืน ตราบใดที่รัฐบาลยังสามารถเก็บภาษีได้อยู่
รู้จักกระจายเงินฝากไปลงทุนรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ น่าจะช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ฝากเงินในช่วงเริ่มต้นของการเกิดสถาบันคุ้มครองเงินฝาก..
http://www.bangkokbizweek.com/