ผู้บริหาร ที่ดี ควรบอกนักลงทุนว่า...
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 26, 2008 1:37 pm

ไทยฮา' พุ่ง 500% 'ตั้งพิรุฬห์ธรรม' บอก 'เฮง'
สำหรับ 'นักลงทุน' ถอย!!! คือ สุดยอดกลยุทธ์
เผอิญว่าหนึ่งในสินค้าหลักของ "ไทยฮา"
เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวหอมมะลิขาวชนิดบรรจุถุง
ตรา “เกษตร” และสินค้าเกษตรแปรรูปอื่นๆ
เช่น วุ้นเส้น น้ำส้มสายชูตรา และน้ำมันพืช
เหตุการณ์..ข้าวแพง!!! ทำให้ราคาหุ้น
บมจ.ไทยฮา (KASET) พุ่งทะยานขึ้นเหมือน
"ฟ้ามาโปรด" แต่ราคานี้เป็นใครก็ต้อง "คิดหนัก"
วันที่ 18 มีนาคม 2551 ราคาหุ้น KASET
ของกลุ่มตระกูลตั้งพิรุฬห์ธรรม
ยังเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1.28 บาท
หลังจากกระแสข่าว "ข้าวแพง" โหมกระหน่ำเพียงแค่ "เดือนเดียว" ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไป 7.70 บาท
ปรับตัวเพิ่มขึ้น 500%
สมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม กรรมการผู้จัดการ
บมจ.ไทยฮา ให้ความเห็นกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek
ถึงราคาหุ้น KASET ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่าง
“พรวดพราด” ในช่วงที่ผ่านมาว่า
“ผมเข้าใจว่านักลงทุนคงจับทางได้ว่าผลประกอบการ
ของเราต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนจากราคาข้าวที่สูงขึ้น
ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่น สำหรับเราต้องบอกว่า
"เฮง" เหมือนกันที่มีปัจจัยภายนอกมาช่วย
ไม่เช่นนั้นราคาหุ้นเราคงไม่ขึ้นมาถึงขนาดนี้หรอก”
ผู้บริหารหนุ่ม ไทยฮา
ที่สวมหมวกอีกใบในฐานะนายกสมาคมผู้ขายข้าวถุงไทย
อธิบายต่อว่า
เวลานี้ดีมานด์และซัพพลายของข้าวในตลาดโลก
กำลังขาดสมดุลอย่างรุนแรง
เพราะความต้องการยังมีเท่าเดิมแต่การผลิต
ลดลงอย่างมาก จากสภาวะอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จนเวลานี้มีการคาดการณ์ว่าความต้องการ
ข้าวทั่วโลกกำลังติดลบอยู่ถึง 3 ล้านตันต่อวัน
“ในระยะกลาง 1-3 ปี จากนี้
ราคาข้าวน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างแน่นอน
ส่วนในอนาคตถ้ามีการผลิตข้าวเพิ่มราคาอาจปรับตัวลงมาได้บ้าง แต่คาดว่าคงลงไม่มากเพราะประเทศผู้ผลิตข้าวส่งออกนอกจากไทยแล้วก็มีเพียงไม่ประเทศเท่านั้น”
สำหรับตลาดในประเทศ
ผู้ประกอบการธุรกิจข้าวต่างเริ่มเห็นสัญญาณขาขึ้น
ของราคาข้าวมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
แต่ราคาข้าวภายในประเทศที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 60%
ตั้งแต่ต้นปีก็ถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายพอสมควร
สมฤกษ์ กล่าวต่อว่า
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมข้าวในประเทศไทยจัดได้ว่า
เป็นธุรกิจที่แข่งขันสมบูรณ์
เพราะมีผู้ประกอบการทั่วประเทศจำนวนมาก
แต่ผู้จัดจำหน่ายเป็นผู้ควบคุมราคา
ประกอบกับเป็นสินค้า Mass
ที่ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้
จึงกล่าวได้ว่าเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิน “บางเฉียบ”
โดยอัตรากำไรขั้นต้นของทั้งอุตสาหกรรม
และบริษัทอยู่ที่ระดับ 10-11%
และอัตรากำไรสุทธิต่ำเพียงแค่ 0.5% เท่านั้น
“ถ้าเข้าไปดูงบการเงินของเราในปีที่ผ่านมา
แม้จะมีรายได้รวม 1,593.65 ล้านบาท
แต่ก็มีกำไรสุทธิเพียงแค่ 8.57 ล้านบาท เท่านั้น
เป็นเพราะส่วนต่างกำไรถูกพ่อค้าคนกลาง
(ห้างขนาดใหญ่) ดึงออกไปหมด
แต่หลังจากนี้ที่โครงสร้างธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ประกอบการจะเป็นผู้กำหนดราคาขายได้มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม
บริษัทยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในเรื่องของ
การปรับขึ้นราคาสินค้า
เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์คงเข้ามาควบคุม
ราคาสินค้าภายในประเทศอยู่และยังต้องเทียบเคียง
ราคา (Benchmark) กับราคาข้าวในต่างประเทศด้วย
แต่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะเพิ่มขึ้นโดยไม่มีปัจจัยด้านราคามาเกี่ยวข้อง
“Gross Margin เราคิดว่าน่าจะเพิ่มขึ้น
โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปรับราคาขาย
แต่จะมาจากปริมาณข้าวที่จำหน่ายมากขึ้นมากกว่า
ส่วนจะเพิ่มขึ้นเท่าไรคงต้องดูสภาพตลาดจนถึงครึ่งหลังของปีเสียก่อน”
สมฤกษ์ ยังกล่าวอีกว่า
นอกเหนือจากธุรกิจจำหน่ายข้าวถุงในชื่อ “ตราเกษตร” ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก
คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 80% แล้ว
ไทยฮายังมีแผนรุกธุรกิจอื่นได้แก่ วุ้นเส้นสำเร็จรูป
น้ำส้มสายชู น้ำมันพืชแบรนด์ “เชียร์” และ
ผลิตภัณฑ์โจ๊กสำเร็จรูป โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับ
“พรีเมียม” และรักสุขภาพ ซึ่งเป็น Value Added
สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น
ของสินค้าให้อยู่ที่ระดับ 20-30%
“ผลิตภัณฑ์โจ๊กสำเร็จรูปน่าจะเป็นแหล่งรายได้ในอนาคต
ของเรา เพราะตลาดตอบรับเป็นอย่างดี
และมีอัตรากำไรขั้นต้นถึง 30%
ขณะนี้เราได้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 90%
แล้วสำหรับผลิตภัณฑ์ตัวนี้”
สำหรับสัดส่วนรายได้ของไทยฮาในปีที่ผ่านมาคิด
เป็นยอดขายในประเทศและต่างประเทศเท่ากัน
แต่ในปีนี้ สมฤกษ์
ประมาณว่าสัดส่วนน่าจะเปลี่ยนไปเป็นรายได้
จากต่างประเทศ 60% และในประเทศ 40%
เพราะประเทศผู้ส่งออกข้าวรายอื่นต้องสต็อกข้าว
ไว้บริโภคในประเทศมากขึ้น
“สำหรับตลาดในประเทศ ไทยฮามีมาร์เก็ตแชร์อยู่ใน
5 อันดับแรก จากผู้ประกอบการ 10 รายที่มีตราสินค้า
ส่วนธุรกิจส่งออก เราส่งออกไปขายกว่า 64 ประเทศ
ใน 5 ทวีป ถือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่
ของประเทศรายหนึ่ง”
เขาเสริมว่าในสถานการณ์ที่ “น้ำกำลังขึ้น” นี้
ไทยฮาได้เตรียมลงทุนเพิ่มเติมอีก 10 ล้านบาท
เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรรองรับการผลิตที่เพิ่มขึ้นอีก
ประมาณ 10% คาดว่าจะรองรับการผลิตเพิ่มเติม
จาก 180,000 ตันข้าวสารต่อปีเป็น 200,000
ข้าวสารตันต่อปี
โดยจะดำเนินการเสร็จสิ้นในไตรมาสสงนี้
ซึ่งส่งผลต่อรายได้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้
"จากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น
เราจึงได้ปรับเป้าหมายในปีนี้ใหม่
โดยมียอดขาย 2,000 ล้านบาท
จากเดิมที่ตั้งเป้าโต 10-15% ตัวเลขนี้เป็นไปได้แน่นอน"
เมื่อถามตรงๆ ว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาสูงในช่วงนี้
"แพงเกินไป" หรือยัง สมฤกษ์
กล่าวว่าในฐานะผู้บริหารไม่ขอให้ความเห็นในจุดนี้
แต่ยืนยันว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเข้มแข็งพอ
ที่จะรองรับการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้
พร้อมทั้งกล่าวอีกว่าในเมื่อทิศทางของอุตสาหกรรมข้าว
ปรับเปลี่ยนไปในทางบวกต่อบริษัท
การคืนผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างสมน้ำสมเนื้อ
จึงเป็นภารกิจสำคัญในปีนี้
จากนโยบายเดิมที่ปันผลไม่ต่ำกว่า 50%
ของกำไรสุทธิ ปีนี้คงต้อง “มากกว่า”
เนื่องจากมีส่วนของทุนเพิ่มขึ้นมาจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น
“แม้ว่ากำไรเราจะไม่เยอะ
แต่บริษัทก็จ่ายปันผล 60-70%
ของกำไรสุทธิมาโดยตลอด
ส่วนปีนี้เราคงจะต้องพิจารณาให้เงินปันผล
กับผู้ถือหุ้นมากขึ้นตามรายได้ที่คาดว่าจะมากขึ้น”
เพียงเดือนเดียว ราคาหุ้น KASET
ขึ้นมาแล้ว 500%
เปรียบเหมือน "นักลงทุน" ถูก "หวย" รางวัลที่ 1
ไปแล้ว..บนยอด "ปล่องภูเขาไฟ"
ถอย!!! คือ สุดยอดกลยุทธ์