หน้า 1 จากทั้งหมด 1

วิธีหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการเพื่อการลงทุนใน หุ้น

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 25, 2008 3:18 pm
โดย vichit
กุนซือโลกการเงิน  

รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง : ตอนที่ 3 วิธีหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการเพื่อการลงทุนใน หุ้น
(ภาคปฏิบัติ)

                      ความเดิมตอนที่แล้ว ผู้น้อย มังกรในสระ ได้เสนอวิธีหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการ
ตาม ตำราพิชัยสงครามซุนวู ภาคทฤษฎีไปแล้ว ต่อไปก็จะขอนำเสนอภาคปฏิบัติเพื่อให้นายท่าน
ได้ศึกษาดูว่า แนวทางในการนำหลักการหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทรของจอมปราชญ์แห่งบุรพสมัยผู้นี้
จะมีความวิจิตรพิสดารประการใดเมื่อนำมาใช้กับการลงทุนในหุ้น ทว่าก่อนที่ผู้น้อยจะ
แสดงกระบวนยุทธ์ให้ดูนั้น ก็ต้องขอทวนสักหน่อยว่า ตัวแปรแห่งการหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการนั้น
ประกอบด้วย
                      1.จังหวะเวลา (ฝ่ายใดรู้ว่าควรรบหรือไม่ควรรบ ฝ่ายนั้นชนะ)
                     2.การจัดสรรงบประมาณ (ฝ่ายใดรู้ว่าควรใช้กำลังทหารมากน้อยเพียงใด ฝ่ายนั้น
ชนะ)
                     3.ความมุ่งมั่นในจุดมุ่งหมายเดียวกัน (ฝ่ายใดเบื้องบนกับเบื้องล่างมีเจตจำนงตรง
กัน ฝ่ายนั้นชนะ)
                    4.ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง (ฝ่ายใดเตรียมพร้อมรับมือข้าศึกที่ไม่
เตรียมพร้อม ฝ่ายนั้นชนะ)  
                    5.ความมีอิสระในการดำเนินงาน (ฝ่ายใดแม่ทัพมีสติปัญญาความสามารถ อีกทั้ง
นายเหนือหัวไม่แทรกแซงกิจการของกองทัพ ฝ่ายนั้นชนะ)
                   ทั้งหมดนี้คือ ตัวแปรที่จะใช้ตัดสินชัยชนะในสมรภูมิตลาดหุ้น นายท่านคนใดอยาก
จะทดสอบว่า ตัวแปรเหล่านี้จะประยุกต์ใช้กับการลงทุนในตลาดหุ้นได้จริงหรือไม่ หรือ ถ้าจะให้ได้
อรรถรสมากขึ้น จะลองสมมุติดูก็ได้ว่า ถ้านายท่านเป็นนักลงทุนรายใหญ่ระดับประเทศ เอ! ดูจะ
เล็กไปสำหรับนายท่าน ถ้าอย่างนั้นสมมุติว่า เป็นนักลงทุนระดับโลกก็แล้วกัน จะได้สมกับการใช้
หลักวิชาของมหากุนซือที่โลกไม่ลืม จากนั้นลองหาคำตอบดูว่า นายท่านจะทำอย่างไรให้การลงทุน
ประสบความสำเร็จท่ามกลางทางเลือกมากมายที่มีทั้งโอกาสและอุปสรรค ท่ามกลางเส้นทางคด
เคี้ยวที่มีทั้งราบรื่นและเต็มไปด้วยขวากหนาม และท่ามกลางความเสี่ยง หลุมพราง กับดัก กลศึก
ไปจนถึงหุบเหวมรณะ แล้วค่อยชมการแสดงวรยุทธ์ของผู้น้อยแบบเต็มๆ ซึ่งถ้าจะออกมาเก้ๆ
กังๆ หรือ ทุลักทุเลบ้าง วอนนายท่านอภัยผู้น้อยด้วยนะขอรับ

                 เริ่มแสดงวรยุทธ์ เพลงกระบี่หยั่งรู้ชัยชนะห้าประการ
                การใช้หลักการหยั่งรู้ชัยชนะห้าประการเพื่อการลงทุนในหุ้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น
นักลงทุนจำเป็นต้องนำตัวแปรทั้งห้าไปใช้ในสองมิติด้วยกันได้แก่ การประเมินปัจจัยแห่งชัยชนะ
ของตนเอง และ การประเมินปัจจัยแห่งชัยชนะในหุ้นที่จะเข้าไปลงทุน และเพื่อให้การแสดง
วรยุทธ์ในภาคปฏิบัตินี้เป็นไปอย่างครอบคลุมทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง จะขอยกตัวอย่างการใช้หลัก
การดังกล่าวในระดับนักลงทุน หรือ ผู้จัดการกองทุนชั้นนำของโลก เพราะเชื่อว่านายท่านทุกคน
ย่อมคิดการใหญ่ไม่แพ้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ จอร์จ โซรอส หรือ จอร์จ ตัน (เอ! คนหลังนี้เขามี
สัญชาติอะไรหนอ?) เป็นแน่ทีเดียว อีกทั้งยังเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้ล่วงรู้ความคิดของกอง
ทุนยักษ์ใหญ่ทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะซื้อหุ้นสักตัว ต้องผ่านกระบวนการพินิจพิจารณากี่
ขั้นและมากน้อยเพียงใด
                เริ่มที่การใช้หลักการหยั่งรู้ชัยชนะในมิติแรกก่อน นั่นคือ การประเมินปัจจัยแห่งชัย
ชนะของตนเอง เมื่อผู้กุมบังเหียนกองทุนยักษ์ใหญ่ระดับโลกจะออกทำศึกในสมรภูมิตลาดหุ้นนั้น
เขาย่อมประเมินปัจจัยแห่งชัยชนะของตนเองก่อนเป็นลำดับแรกเริ่มจาก
                1.จังหวะเวลา ซึ่งนับว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะหากเลือกจังหวะเวลาที่ผิดย่อมหมาย
ถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับกองทุน ผู้บัญชาการกองทุนนั้นจำเป็นต้องเชี่ยวชาญในจังหวะการ
รุก รับ และถอย ไม่เช่นนั้นอาจเสียทัพได้ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับกองทุนชั้นนำของ
โลกหลายแห่งที่ต้องสูญเสียไพร่พลเสบียงม้าศึกจำนวนมหาศาล เมื่อจู่ๆวิกฤตตลาดสินเชื่อ
อสังหาริมทรัพย์กลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตสกอร์ระดับ C หรือ ซับไพร์มในสหรัฐฯเกิดประทุขึ้นในไตร
มาส 3 ของปี 2007 ผู้ที่ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับตลาดซับไพร์มสหรัฐฯย่อมหน้าชื่นอกตรมไป
ตามๆกัน อันเป็นผลจากการเลือกจังหวะเวลาการรุก รับ และถอยที่ผิดมหันต์นั่นเอง
                 ดังนั้น ก่อนเคลื่อนทัพ กองทุนชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องประเมินตน
เองอย่างเคร่งครัดว่ามีความสามารถ และความเชี่ยวชาญในการเลือกจังหวะการลงทุนหรือไม่
หากผลีผลามทำศึกโดยที่ยังขาดความชำนาญในส่วนนี้ ย่อมหมายถึงการนำพาชีวิตทางการเงิน
ของผู้ถือหน่วยลงทุนนับล้านไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นเอง (ซึ่งสิ่งนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นกับเบิร์กไชร์แฮ
ทธาเวย์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้ไม่เคยว่างเว้นจากการประเมินตนเองโดยรอบด้านกระทั่งห่าง
ไกลจากความประมาทตลอดชีวิตการลงทุนของเขา )
                  2. การจัดสรรงบประมาณ สำหรับกองทุนนั้นย่อมหมายถึงการจัดพอร์ตการลงทุนนั่น
เอง เมื่อผู้เป็นแม่ทัพประเมินตนเองจนแน่ใจแล้วว่า มีความเชี่ยวชาญในด้านจังหวะเวลาการลง
ทุนสูงพอ จากนั้นจึงประเมินต่อไปว่า ตนเองรู้ซึ้งเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุนมากเพียงใด
เนื่องจากความเชี่ยวชาญด้านนี้ย่อมมีความสำคัญไม่แพ้ความสามารถในการเลือกจังหวะเวลา
กล่าวคือ หากแม่ทัพใหญ่ของกองทุนรู้ว่า ควรจะลงทุนเมื่อไร แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญพอจะ
พิจารณาว่า ควรจัดสรรเงินลงทุนเท่าไรสำหรับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ย่อมคาดหวังชัยชนะในการทำศึก
ได้ยาก เปรียบเสมือนผู้ที่มีตาแต่ไร้แวว ฉลาดแต่ไม่เฉลียว ไม่ทราบว่า ควรใช้กำลังเท่าไรจึงจะ
สามารถยึดเมืองที่เป็นเป้าหมายได้ ในการลงทุนนั้น หากผู้จัดการกองทุนใช้เงินน้อยลงทุนในหุ้น
ที่มีอนาคตไกลย่อมได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควร ในทางกลับกัน หากผู้จัดการกองทุนใช้เงินมาก
ลงทุนในหุ้นที่ผ่านความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดมาแล้ว ย่อมหวังจะได้รับผลตอบแทนที่สูงไม่ได้ ดีไม่ดี
อาจถึงขั้นขาดทุน
                   ดังนั้น ก่อนเคลื่อนทัพ กองทุนชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องประเมินตน
เองอย่างเคร่งครัดว่ามีความสามารถและความเชี่ยวชาญในการจัดพอร์ตการลงทุนหรือไม่ หาก
ผลีผลามทำศึกโดยที่ยังขาดความชำนาญในส่วนนี้ ย่อมหมายถึงการนำพาชีวิตทางการเงินของผู้
ถือหน่วยลงทุนนับล้านไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นเอง
                  3.ความมุ่งมั่นในจุดมุ่งหมายเดียวกัน ข้อนี้อาจคาดได้ว่า กองทุนระดับโลกทั้งหลาย
ย่อมสามารถสร้างและรักษาให้คงอยู่ได้ไม่ยาก เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการที่เคร่งครัดรัดกุม
พอที่จะทำให้นโยบายหลักของกองทุนเข้าไปอยู่ในหัวใจของบุคลากรทุกระดับ ทว่าข้อนี้จะเป็น
ปัญหาที่มักเกิดกับกองทุนส่วนบุคคลมากกว่า เนื่องจากมีลักษณะการบริหารจัดการแบบไม่เป็น
ทางการสูง นโยบายการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาทำให้ขาดเป้าหมายหลักที่จะร่วมกัน
ไปให้ถึง เช่นในกรณีที่ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียคนหนึ่งต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตรา
30% ต่อปี และยินดีให้ผู้จัดการกองทุนดำเนินกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไม่
เป็นไร ขณะที่อีกคนหนึ่งต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตรา 10% ต่อปี และต้องการให้ผู้
จัดการกองทุนดำเนินกลยุทธ์การลงทุนอย่างระมัดระวัง หรือ เสี่ยงเป็นไม่ว่า อย่าเสี่ยงตายก็แล้ว
กัน เป็นต้น
                   4.ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง ปัจจัยแห่งชัยชนะในข้อนี้จะแปรผกผันกับ
จุดมุ่งหมายการลงทุน กล่าวคือ หากเป็นกองทุนที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนสูงๆ ก็จำเป็นต้อง
ยอมให้ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงมีจำกัด หากเป็นกองทุนที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบ
แทนปานกลาง ก็จำเป็นต้องคงความสามารถในการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม  
และหากเป็นกองทุนที่มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำไม่มากนัก ก็
แทบจะไม่ต้องทำอะไรที่เสี่ยงเลย ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงย่อมมีอยู่สูงเป็น
ธรรมดา ซึ่งความสามารถในการบริหารความเสี่ยงในที่นี้ หมายถึง ความสามารถในการรักษาเงิน
ต้นไม่ให้ถูกลิ้นไต่ ไรตอมนั่นเอง
                 ดังนั้น ก่อนเคลื่อนทัพ กองทุนชั้นนำที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องประเมินตน
เองอย่างเคร่งครัดว่ามีความสามารถและความเชี่ยวชาญในการบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับ
เป้าหมาย หรือ นโยบายการลงทุนหรือไม่ หากผลีผลามทำศึกโดยที่ยังขาดความชำนาญในส่วนนี้
ย่อมหมายถึงการนำพาชีวิตทางการเงินของผู้ถือหน่วยลงทุนนับล้านไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นเอง
                 5.ความมีอิสระในการดำเนินงาน ข้อนี้อาจคาดได้ว่า กองทุนระดับโลกทั้งหลายย่อม
สามารถสร้างและรักษาให้คงอยู่ได้ไม่ยาก เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการที่เคร่งครัดรัดกุมพอที่
จะทำให้คณะกรรมการกองทุนไม่เข้าไปก้าวก่ายงานของแม่ทัพผู้บัญชาการรบ ทว่าข้อนี้จะเป็น
ปัญหาที่มักเกิดกับกองทุนของรัฐบาล และ กองทุนส่วนบุคคลมากกว่า เนื่องจากมีลักษณะการ
บริหารจัดการแบบ น้อมรับคำสั่ง ผู้น้อยของดเว้นที่จะพูดถึงรายละเอียดของการบริหารจัดการใน
ลักษณะนี้ ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียพอๆกัน
                 การใช้หลักการหยั่งรู้ชัยชนะในมิติแรกก็จบลงเพียงเท่านี้ ต่อมาก็เป็นการใช้หลักการ
เดียวกันนี้ในมิติที่สอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลือกหุ้นที่จะลงทุน ทว่าเนื้อที่ให้เขียนหมดพอดี พบกัน
ใหม่สัปดาห์ละกันนะขอรับ........สวัสดี


By : มังกรในสระ
        [email protected]
        eFinanceThai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   25/04/08   เวลา   15:07:56