Thai VI

เพิ่งลงทุนในห้นประมาณสองสองสัปดาห์ครับ  หลังจากศึกษาการลงทุนมากว่าสี่ปี  เงินลงทุนประมาณหนึ่งแสนบาท    ผมได้จัดพอร์ท ดังนี้ครับ

ลงทุนในหุ้นสี่ตัว  ในกลุ่มอุตสาหกรรม   การเช่ารถยนต์  อิเลคโทรนิค  และการจัดอีเวนต์  โดยให้น้ำหนักการลงทุนตัวละ 18-24%  เหลือเงินสดไว้ 16%  

ขอเล่าความรู้สึกแรกๆที่มูลค่าพอร์ทในแต่ละวันขึ้นๆลงๆ   ไอ้วันที่หุ้นตกมูลค่าในพอร์ทเราเป็นบวก  แต่วันที่หุ้นลงมูลค่าพอร์ทในหุ้นเราดันติดลบ   +/- มาดู bid - offer  นี่สนุกดีครับได้ความรู้สึกเหมือนสมัยกินเหล้าเล่นไพ่เล่นไฮโลเลยครับ   แต่รู้สึกดีกว่ามากที่ได้ลุ้น มีได้-มีเสีย แต่ไม่ต้องมาซีเรียส  เพราะคิดว่าเราซื้อที่ราคามี MOS แล้ว   ยังไงมูลค่ากิจการเราต้องไปต่อได้  บริษัทยังแข็งแกร่ง ทำกำไรได้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ

อยากขอความคิดเห็นครับเรื่องเงินสดอีก 16%  ควรจะ

1. เก็บไว้เพื่อซื้อหุ้นเพิ่มในตัวที่เราคิดว่ากิจการน่าจะดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อราคาลดไปกว่าที่เป็นโดยพื้นฐานกิจการไม่เปลี่ยนแปลง
2. เฉลี่ยซื้อหุ้นให้ครบตัวละ 25%
3. ซื้อหุ้นตัวใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงครับ
4. ขายทิ้งให้หมด  แล้วกลับมาฝึกมาศึกษาใหม่หรือเดินออกจากตลาดไปเลย  เพราะใจไม่นิ่งยังสนุกกับการพนันเห็นหุ้นขึ้นลง  อาจจะมีซักวันที่ทำตัวเหลวไหล  ขายหุ้นมูลค่าแล้วมาเล่นหุ้นปั่น

ขอบคุณครับ

ขอบังอาจออกความเห็นนิดนึง

เราว่าเงินลงทุนไม่มากพอจะกระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายตัวได้นะคะ เท่าที่มีอยู่ก็ค่อนข้างเยอะ อันนี้ต้องดู style การลงทุนด้วยหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ชอบความเสี่ยง ไม่อยากกินคำโต ก็คงต้องปรับ port ให้ครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม แต่มันจะไม่ได้เสียเยอะ เพราะตัวนึงดี อีกตัวแย่ รวมๆก็เสมอตัว

สำหรับเงินสด อันนั้นต้องดู style เช่นกันค่ะ เราชอบเก็บเงินสดไว้ 25% สำหรับโอกาสและการแก้ไข port เพราะงั้นต้องยอมดองเงินไว้ก่อนเฉยๆ ถ้ามั่นใจในตัวหุ้นที่เลือก จะลงหมดก็ได้นะคะ

เป็นผม ขนาดพอร์ตลงทุน 1 แสนบาท ผมซัดตัวเดียวครับ  :8)  ...

ขอบคุณคุณ krisyและคุณbeammy  ครับ

มันยากตรงที่  ผมกลัวว่าสิ่งที่ผมคิด มันอาจจะไม่ถูกต้องนี่สิครับ เลยซื้อไว้ซะหลายตัวเลย

ผมจะลองลดจำนวนหุ้นลงเหลือซักสองตัวครับ  แล้วได้ผลเป็นยังไง  จะมารายงานให้ทราบนะครับ

ผมกลับคิดว่า จำนวนหุ้นที่ถือน่าจะขึ้นอยู่กับความมั่นใจด้วยนะครับ
ถ้ามั่นใจมากๆ ตัวเดียวก็พอไหว

ถ้ายังไม่มั่นใจตัวเองเท่าไหร่ ผมว่า 4-6 ก็ไม่เยอะจนเกินไปนักครับ

ถึงแม้เงินจะน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพร้อมเสียมันไปถูกมั้ยครับ
ดังนั้น อยู่ที่ความเสี่ยงที่เราจะสามารถรับได้ด้วยนะครับ

สำหรับผม

คิดว่า ถ้าเริ่มใหม่ๆ ยังไม่ค่อยรู้อะไร จำนวนหุ้นมาก ก็ไม่มีปัญหาครับ

แรกๆ ที่ผมเริ่ม อาศัย ลอกคนนู้น คนนี้ อ่านเองบ้าง ซัดไป 9-10 ตัว

เล่นไปสักพัก ก็ได้บทเรียน กับประสบการณือะไรหลายๆอย่าง

ก็ลดจำนวนหุ้นน้อยตัวลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ เหลือประมาณ 5 ตัว (อนาคต อยากเหลือสัก 3-4 ตัวพอ)

แต่สุดท้ายก็ขึ่นอยู่กับว่าเรามั่นใจแค่ไหนน่ะครับ ผมเล่นใหม่ๆ เอาเงินเก็บมาเล่น ก็ไม่อยากเสียมันง่ายๆหรอกครับ ถ้ายังไม่มั่นใจ กระจายๆ หน่อยก็ดี แต่ถ้ามั่นใจ ก้ซัดโครมไปเลย

ขอบคุณ  คุณหมอก้อนหินและคุณ Jung_oh ครับ

วันนี้ไปนั่งทบทวนดูว่าจะขายหุ้นบางตัวแล้วเอาเงินไปซื้อเพิ่มตัวที่เหลือ   ผลปรากฎว่า  มึนหนักยิ่งกว่าเก่าครับ  ไม่รู้จะเลือกตัวไหนเก็บไว้  ตัวไหนขายดี   แถมไปดูตัวใหม่ๆอีกก็ดันทะลึ่งอยากซื้อซะอีก

จำที่ปีเตอร์ ลินซ์ เคยเขียนไว้ใน one up wallstreet ว่า  สำหรับนักลุงทุนรายย่อยมีข้อได้เปรียบที่สามารถเลือกถือหุ้นได้ห้าถึงสิบตัวโดยไม่มีข้อจำกัดจำนวนการลงทุนเหมือนกองทุนแล้ว   การถือหุ้นห้าถึงสิบตัว  ถ้ามีตัวใดตัวนึงเป็นผู้ชนะอย่างถล่มทลายแล้วก็จะทำให้ผลตอบแทนดูดีได้

คิดว่าตอนนี้จะอยู่เฉยๆก่อนครับ  กลับไปนั่งอ่านหุ้นที่เรามีในร้อยคนร้อยหุ้นใหม่  กับอ่านงบการเงินใหม่อีกที่ครับ  หาคำตอบให้ตัวเองให้ได้ชัดเจนก่อนว่าในแต่ละตัวที่เราซื้อ  เราซื้อมันเพราะอะไร  ถึงตอนนั้นผมคงมั่นใจที่จะลดจำนวนหุ้นลงได้มั้งครับ

เห็นด้วยกับคุณก้อนหินครับ  ขอขยายเพิ่ม...

การจัด port การลงทุนขึ้นอยู่กับขนาดของ port และความมั่นใจ

การลงน้ำหนักในหุ้นแต่ละตัวว่าจะมากหรือน้อย ไม่น่าจะมีสูตรตายตัว แต่น่าจะขึ้นอยู่กับความมั่นใจในการทำกำไรของหุ้นตัว มากกว่า

port ใหญ่มักจะไม่สามารถลงทุนในหุ้นตัวเดียว เพราะเป็นการเสี่ยงมากโดยไม่จำเป็น  และ หุ้นอาจไม่มีสภาพคล่องพอ  หากต้องการเปลี่ยนเป็นเงิน

port ระดับ หนึ่งแสนบาท  น่าจะสามารถเลือกลงทุนได้  อาจ 1 ถึง 4 ตัว  ที่มีน้ำหนักแต่ละตัวไม่เท่ากัน  หรือ  อาจเลือกลงทุนเพียงตัวเดียวได้  แต่ต้องเป็นหุ้นตีแตกเท่านั้น

กรณีที่คุณ..คัดหุ้นออกไม่ได้เลย แม้ได้พยายามแล้ว ก็น่าจะถือหมดเหมือนเดิม  เพราะถือว่าไม่ทำให้เกิดผลเสียอะไร  และเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย อีกทั้งเมื่อถือไปนานเข้าก็จะได้เรียนรู้เพิ่มเติม เพิ่มมุมมองที่ดีขึ้น จากหุ้นเหล่านั้นด้วย

เริม่เล่น 2 สัปดาห์ แต่ ข้อ4 . นี่จะออกแล้วหรอครับ  :shock:
อย่าไปสนใจมันมากครับถ้าเลือก มาแล้ว  ให้เวลาหุ้นแสดง ศักยภาพก่อน ครับ

หลายท่านว่าเอาไว้ ว่าเล่นหุ้น Eq สำคัญกว่า Iq แต่ผมว่า ใจกับสมองก็ต้องไปด้วยกัน  

ผมว่าเงิน 1 แสน เริ่มเล่น กับหุ้น 4-5 ตัวก็พอดีๆ นะครับ

ส่วนเงินสด  บางท่าน ก้เล่นเต้ม 100 แต่ ผมว่าเหลือเงินเอาไว้เผื่อบ้างก็ดีครับ  บางทีของถูกก็มาโดยไม่คาดคิด

ของผมก็เพิ่งจะเริ่มลงทุนได้ประมาณ 5 เดือน ตอนนี้พอร์ทรวมทั้งหมดประมาณ 120,000 บาท มีอยู่ในพอร์ท 5 ตัวแต่เฉลี่ยนำหนักไม่เท่ากัน

กลยุทธ์การลงทุนใช้แบบ dollar cost average saving เพราะว่าอาศัยเงินเดือนทุกเดือนเติมเข้าไป ประมาณ 10,000 บาท แต่ซื้อไม่ทุกตัว ดูตัวไหนที่ลงมาและมี MOS เยอะ เลยทำให้ weight ไม่เท่ากัน

มีหุ้นกลุ่มอาหาร วัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรอุตสาหกรรม สื่อและสิ่งพิมพ์ พลังงานและสาธารณูปโภค และ ตลาดใหม่

ตัวที่คิดว่าจะเป็น defensive กลับติดลบมากที่สุด เลยดึงผลตอบแทนให้ติดลบประมาณ 5 % แต่ทุกตัวที่ซื้อมามีปันผล ผลตอบแทนจากปันผลประมาณ 4%

ตอนนี้ก็ว่าจะเก็บเงินสะสมไว้ก่อน รอโอกาศเหมาะ ๆ แต่ยังทำไม่ค่อยได้ครับ พอลงมาอยากจะเข้าไปรับอยู่เรื่อย

คงต้องใช้เวลา อาจจะกลับไปอ่านงบและรายงานประจำปี หรือรื้อหนังสือแนวคุณค่าที่ซื้อไว้แล้วอ่านจบเพียงรอบเดียวแบบลวก ๆ ใหม่อีกครั้ง

ขอบคุณครับที่มาช่วยแชร์ประสบการณ์  และแนะนำครับ

ข้อสี่ ที่ผมคิดว่าผมควรออกจากตลาดหุ้นเพราะผมยังตัดสันดานเรื่องการพนันไม่ได้  ในระยะยาวผมว่าการพนันทุกอย่างลูกขาเสียครับ  การมองเห็นพอร์ทเขียวๆแดงๆนี่มันกระตุ้นอดรีนาลินได้เหมือนกัน  เพียงแต่ว่า เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่  จากความรู้ที่เรามีอยู่ไม่ว่าพอร์ทสีอะไร เราไม่เครียดครับ เพราะหุ้นที่เราซื้อมีคนทำงานให้เราจริงๆ  เพียงแต่ว่าเรามีความรู้จริงรึเปล่า  ซึ่งข้อนี้ผมยังตอบตัวเองไม่ได้ครับ  เพราะประสบการณ์จริงน้อยเหลือเกิน  เมื่อมีความเสี่ยงมากระทบผมจะมีสติแก้ไขปัญหาได้หรือเปล่า

แต่ผมพยายามที่จะทำให้การซื้อหุ้นคือการลงทุนเพื่อไปสู่อิสรภาพทางการเงินครับ  ความรู้พอมีอยู่บ้าง  แต่ใจนี่สิครับ  การทำใจให้หนักแน่นมั่นคง  ใช้สติและเหตุผลมากกว่าอารมณ์นี่ยากมากๆ

เหมือนคำกล่าวที่ว่าชนะอะไรก็ไม่เท่าชนะใจตนเองครับ  และนี่คือสิ่งที่ผมกำลังพยายามอยู่ครับ

ตอนนี้ผมคงบริหารพอร์ทให้อยู่ในวงเงินแสนนึงที่ลงไปครับ  คงไม่ลงเงินเพิ่ม เพื่อศึกษาสร้างความเชี่ยวชาญก่อน  ขอเริ่มตั้งไข่ก่อนจะไปวิ่งครับ  หวังว่าซักวันเราจะรู้มากจนเพียงพอ  บังคับใจรู้สติในทุกภาวะการ  ก่อนจะเริ่มลงทุนให้เงินทำงานแทนเราได้เต็มตัวครับ

ถ้าอยากมีอิสรภาพทางการเงิน จงคิด และทำ ให้เหมือนคนที่มีอิสรภาพทางการเงินแล้วครับ

ไม่ว่าจะฝืนนิสัยของตนเองแค่ไหนเพียงใด อยากมีอิสรภาพฯ ก้อต้องทำให้ได้ครับ ทำไม่ได้ก้ออย่าคิดว่าจะมีวันนั้น

เมื่อมั่นใจว่ามาถูกทางและเป็นวิธีการที่ถูกต้อง สิ่งเดียวที่เราต้องอดทน คือเรื่องเวลา ครับ / ไม่มี Value Investor คนใดที่พอร์ตตัวเองโตจาก 1 แสน ไป 100 ล้านได้ในปีเดียว (ผม assume ว่า 100 ล้านคงมีอิสรภาพฯ แล้วครับ)

ส่วนเรื่องการเลือกหุ้น คงไม่ต้องแนะนำอะไร พี่ๆ หลายท่านอธิบายไว้ดีแล้วครับ

GODSPEED  :8)  ...

จับอารมณ์ของเจ้าของกระทู้ แสดงว่ายังไม่พร้อมเท่าไหร่นะ สำหรับ VI
..............
แนว VI มีหลายอย่างที่ต้องรู้และฝึกฝน (แม้แต่พวกที่พวกเจ้าสำนักก็ยังต้องเก็บตัวฝึกวิชาเลย)
1. หาความรู้แล้วลงมือทำ (คิดว่ากำลังทำอยู่มั๊ง)
2. อดทน ทั้งทนรอ และทนแรงกดดันได้ในบางครั้ง
3. มีวินัย
4. มุ่งมั่น
5. กลับไปเริ่มอ่าน(ทบทวนตัวเอง)ตามข้อ 1-4 ใหม่ แล้ว
(หลายครั้งเราเองก็ต้องทบทวนตัวเองว่า ได้ออกจากแนวทาง VI แล้วหรือไม่ แบบว่ามันมีสิ่งเร้ามากระทบตลอด)
...............

อ่าน  comment ของคุณ  dark bot แล่วอึ้งเลยครับ

ขอบคุณมากๆครับ

ดูจากที่เลือกหุ้น คาดว่าคงจะมี MOS พอสมควรนะครับ

ในส่วนของเงินสด ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะมีนะครับ

เพราะถ้ามีหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เกิด panic sell ขึ้นมา เราสามารถนำเงิน
ที่เหลือมาลงทุนได้ ถ้าเคยศึกษาการลงทุนมา 4 ปี คงจำวันที่
ออกมาตรการ 30 % ได้นะครับ เรามีโอกาสที่จะเก็บหุ้นเพิ่มได้

ส่วนตัว เมื่อเพิ่มพอร์ตการลงทุน จะเพิ่มที่เงินสดก่อนนะครับ
จะไม่ได้รีบเข้าไปซื้อหุ้นทันที  เนื่องจากจะมีรอจังหวะที่มีการปรับตัวลง
นะครับ  :o

ขอร่วมแชร์ประสบการณ์ครับ ...
เพราะสำหรับเงินสดในพอร์ตผมนี่ แทบไม่มีเลยครับ หุ้นหนึ่งร้อย %
สาเหตุก็เพราะเจ้า MOS นี่แหละ

เวลาที่เกิด panic ผมก็แค่เปรียบเทียบเจ้า Value กับ MOS แล้วก็ Glowth
จากนั้นก็แค่ปรับพอร์ต...

ปล.
ปกติผมก็ปรับพอร์ตเรื่อยๆ นะครับ เพราะผมไม่รู้หรอกครับว่า...
เมื่อไหร่จะเกิด panic ?

และที่แน่ๆ ผมมีเงิน 1 ดอลล่าร์อยู่ในกระเป๋า ทั้งๆ ที่แลกมาด้วยเงิน 50 เซนต์

เงินสดที่เก็บไว้ในพอร์ท   ของผมแยกไว้ต่างหากกับเงินในธนาคารน่ะครับ  ก็คือถ้าต้องซื้อทันทีทันใดก็ใช้เงินในพอร์ทครับ  ไม่กล้าเอาเงินในแบงค์ไปฝากโบรคเกอร์ไว้ก่อน  กลัวเสียโอกาสเรื่องดอกเบี้ยครับ

aezy เขียน:เงินสดที่เก็บไว้ในพอร์ท   ของผมแยกไว้ต่างหากกับเงินในธนาคารน่ะครับ  ก็คือถ้าต้องซื้อทันทีทันใดก็ใช้เงินในพอร์ทครับ  ไม่กล้าเอาเงินในแบงค์ไปฝากโบรคเกอร์ไว้ก่อน  กลัวเสียโอกาสเรื่องดอกเบี้ยครับ

เข้าใจผิดละครับ โบรกให้ดอกดีกว่าแบงเยอะุเลย(ออมทรัพย์)
ที่สำคัญ คำนวณดอกให้รายวันครับ ไม่ต้องรอครึ่งปี

ผมก็เพิ่งเริ่มต้นประมาณก่อนสงกรานต์นี่เอง หลังจากอ่าน .. และอ่าน ทั้งหนังสือ และเว็บ TVI มาหลายปี มีเท่าไหร่ลงหุ้นหมด 100% ตอนนี้มีอยู่ในพอร์ตแล้ว 11 ตัว ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งอาหาร ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง เทคโนโลยี สิ่งพิมพ์ สิ่งทอ และ MAI .. เรียกว่ากระจายแบบสุดๆ โดยเน้นหุ้นที่จ่ายปันผลแถวๆ 7 % ขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ (แต่ต้องมีอัตราเติบโตที่ดีเป็นตัวนำมาก่อนนะครับ) มีบางตัวเท่านั้นที่โตดีมาก จ่ายปันผลน้อย ...  ตอนนี้ มีอยู่ตัวหนึ่ง ลบไปแล้วประมาณ 13% แต่ผมยังนิ่งอยู่นะครับ
ผ่านมาประมาณ 1 เดือน กำลังคิดจะขายบางตัวแล้วครับ เพื่อเอาไปทุ่มในบางตัวที่คิดว่าใช่ (หลังจากเห็นงบการเงิน Q1)
พอจะมีแววที่จะไปได้ไหมครับ