หน้า 1 จากทั้งหมด 1
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 12:11 pm
โดย humdrum
ช่วแรก ๆ ในชีวิตการลงทุนนั้น...
บัฟเฟตกับมังเกอร์เริ่มจากการซื้อกิจการคนอื่นไปเรื่อยๆ กิจการที่ไม่มีใครรู้จัก ....จากเงินน้อยๆ ถึงเริ่มมีเงินมากขึ้น เขาลงทุนทั้งบริษัท และเขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่องการลงทุนจากตรงนั้น ลงทุนให้เหมือนเราทำธุรกิจนั้นเอง เหมือนกับที่เราได้ยินบ่อยๆ ลงทุนจนเข้าใจสิ่งที่เขาทำ ไม่เพียงแค่รู้จัก
ผมลองสะกดรอยเท้าแบบเขาบ้างครับ เพราะผมคิดทักษะการทลงทุนผมจะพัฒนาขึ้นก็ต่อเมื่อผมลงไปทำธุรกิจสักอย่างเองบ้าง
และการสะกดไปสะกดมานี่เอง ที่ทำทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างมาก
ผมเรียนรู้เมื่อวานว่า การใช้หลักวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
เมื่อวานผม แวะไป ดูกิจการทีเจ้าของมีความประสงค์จะขายกิจการ
แวะไปตามปกติ เพื่อไปดูจำนวนลูกค้าที่เข้า และ ตรวจดูคุณภาพอาหารไปที่กินด้วย
ตังค์ที่ผมพกไปในน้อยกว่าความเป็นวีไอมาก ความคิดเรื่องการลงทุนแบบการลงทุนเน้นคุณค่านั้นตุงกระเป๋าไปทั้งสองข้าง
ผมโชคร้ายเจอเจ้าของ......55555
การสนทนาภาษาวีไอก็ทั่วไป ผมถามราคา ยอดขาย มาร์จิน อนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า มาเกตgrowth มาเกตแชร์ มาจินgrowth ถามอะไรก็ตอบผมไมได้เลย ถามเสร็จผมก็ตอบไปว่า ราคานี้แพงไป overvalue ไปมากครับ เป็นผม ผมจะไม่ซื้อ เพราะเปรียบเทียบกับการลงทุนอย่างอื่นแล้ว ถือไม่คุ้มค่า
ช่วงนี้ร้านมีคนมาขอซื้อหลายท่าน mr.market ให้ราคาสูงน่าดู คนขายดูมั่นใจมาก ทำไมผมมาพูดอย่างนี้
เกิดอะไรขึ้นไหมครับ
เขาโกรธผม หาว่าผมมาว่าธุรกิจเขา ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนใครๆ จะพากันมาง้อซื้อกินการเขา เขาดูเชื่อมั่นว่ากิจการเขาประสบความสำเร็จมาก แต่พอผมถามว่าแล้วคุณจะทำอย่างไรอีก 5 ปี ข้างหน้า เขาตอบผมไมได้ ผมถามว่า ถ้าผมซื้อกิจการแล้วอีก 10 ปีข้างหน้าผมให้คุณบริหาร ผมไปติดเกาะ 10 ปี ธุรกิจคุณจะยังอยู่ไหม ตอบผมไม่ได้ ผมยกตัวอย่าง ร้านประเภทเดียวกัน ที่เขามีอัตรการหมุนเวียนสินค้าที่สูงกว่านี้มาก โดยที่สามารถสร้างกำไร 1 บาท ได้ โดยที่ลงเงินเพียง 5 บาทเท่านั้น เทียบกับร้านเขา ถ้าจะหากำไร 1 บาท
ลงเงินมากถึง 10 บาททีเดียว
โอ๊.....คราวนี้ ไม่ค่อยดีแล้ว ครับ ไล่ผมออกเลยครับ
ผมพึ่งนึกได้ครับ
เขาเป้น.........มะเร็งครับ.......
ผมรูจักข้างบ้านบางทีเขาก็คลุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อย่างเหมือนกันเพราะผลกระทบจากการใช้ยาอะไรสักอย่างครับ
คุณหมอพอจะทราบไหมครับ ว่าเกิดจากอะไร
ผมรู้สึกผิดจริงๆ ครับ บางทีการเป้นวีไอนั้น ต้องใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาถูกคนด้วยนะครับ ดูว่าคนฟังอยู่ในสถานะไหน ถ้าเขารักในธุรกิจเขามาก แล้วเราไปวิจารณือย่างนั้น เขาก็อาจรับไม่ได้ และ ยิ่งเป็นคนไข้อยู่ด้วย
ขอโทษจริงๆ ครับ........
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 1:11 pm
โดย Tit
หลักเกณฑ์แห่งสัมมาวาจาขั้นสูงสุด
ราชกุมาร ! ตถาคตรู้ชัดซึ่ง วาจาใด อันไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่เป็นที่รักเป็นที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่ง วาจาใด อันจริง อันแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่ง วาจาใด อันจริง อันแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ แต่ไม่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมเลือกให้เหมาะกาล เพื่อกล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่ง วาจาใด อันไม่จริง อันไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่ง วาจาใด อันจริง อันแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่ก็เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่ง วาจาใด อันจริง อันแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ และเป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้จักกาละที่เหมาะสม เพื่อกล่าววาจานั้น.
(อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคปลาย รวบรวมโดยท่านพุทธทาส)
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 1:27 pm
โดย Akajon
ไม่น่าจะใช่โรค หรือตัวยาครับ น่าจะเป็นคำถามที่เค้ารู้สึกไม่พอใจมากกว่าครับ
ถ้าผมขายธุรกิจที่ทำอยู่ แล้วผู้ซื้อถามคำถามลักษณะที่ไม่ไว้ใจ หรือไม่ให้เกียรติ ผมก็คงไม่ขายให้ แต่บางคนอาจจะไม่พอใจ หรือหงุดหงิดได้ครับ
ความสามารถในการทำกำไร การอยู่รอดของบริษัท อันนี้เรา (ผู้ซื้อ) ต้องตอบเองครับ
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 1:31 pm
โดย humdrum
[quote="โจซิงซิง"]หลักเกณฑ์แห่งสัมมาวาจาขั้นสูงสุด
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 1:36 pm
โดย humdrum
wazzu เขียน:ไม่น่าจะใช่โรค หรือตัวยาครับ น่าจะเป็นคำถามที่เค้ารู้สึกไม่พอใจมากกว่าครับ
ถ้าผมขายธุรกิจที่ทำอยู่ แล้วผู้ซื้อถามคำถามลักษณะที่ไม่ไว้ใจ หรือไม่ให้เกียรติ ผมก็คงไม่ขายให้ แต่บางคนอาจจะไม่พอใจ หรือหงุดหงิดได้ครับ
ความสามารถในการทำกำไร การอยู่รอดของบริษัท อันนี้เรา (ผู้ซื้อ) ต้องตอบเองครับ
ขอบคุณมากครับ.......
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 1:49 pm
โดย MindTrick
555 นึกว่าผิดตรงไหน
เถ้าแก่ ส่วนมาก ก็บริหารแบบลูกทุงล่ะครับ ไม่มีใครรู้แผนเผิน ตัวเลข แบบนักลงทุนหรอก เอาแค่เดือนนขายดี ไม่ดี เพราะอะไร ของขาดไม่ขาด
จะขยายหรือไม่ ก็พอแล้ว ...เพราะผมก็เคยเป็นแบบนี้ :lol:
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 2:10 pm
โดย humdrum
MindTrick เขียน:555 นึกว่าผิดตรงไหน
เถ้าแก่ ส่วนมาก ก็บริหารแบบลูกทุงล่ะครับ ไม่มีใครรู้แผนเผิน ตัวเลข แบบนักลงทุนหรอก เอาแค่เดือนนขายดี ไม่ดี เพราะอะไร ของขาดไม่ขาด
จะขยายหรือไม่ ก็พอแล้ว ...เพราะผมก็เคยเป็นแบบนี้ :lol:
ขอบคุณมากครับ.....
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 3:48 pm
โดย << New >>
ผมเองยังงงๆว่าอยู่อยู่ Buffett ไปตกลงกับเจ้าของกิจการต่างๆให้ขายพร้อมกับยอมเป็นผู้บริหารต่อได้ไง .....
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 3:56 pm
โดย por_jai
ผมว่าการเจรจาทาบทาม
เป็นแค่เบื้องต้นของธุรกิจ
ต่อไปยังต้องมีการต่อรองกันอีกมากนัก
ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ทนกันไม่ได้ก่อนน่ะดีแล้วครับ
ทำอย่างนี้จะเจรจากันต่อได้อย่างไร
การเจรจาที่ช่างถามอย่างโหน่งดูดีออก
ผิดตรงไหนหรือครับ
อยู่ดีๆจะให้เอาเงินไปให้เขา
ผมจำได้ว่าเป็นร้านกาแฟ-ของว่าง ใช่ไหมครับ
ทำกิจการไม่ใหญ่โตนักอย่างนี้
ข้อแม้ข้อแรกคือหาทำเลดีๆอย่างเดียวครับ
ข้อสองก็ทำเล
ข้อสามก็ทำเล
ทำเลมีมากมาย
ทำให้พออยู่ได้ง่ายนิดเดียว
ทำให้ขยายได้เยอะๆ ก็ยากหน่อย
ทำให้มีแบรนด์ด้วย ยากอิ๊บ
คุยกับผมได้
ผมอยู่ในธุรกิจประเภทนี้มานานเหมือนกัน
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 4:00 pm
โดย por_jai
nandeandw เขียน:ผมเองยังงงๆว่าอยู่อยู่ Buffett ไปตกลงกับเจ้าของกิจการต่างๆให้ขายพร้อมกับยอมเป็นผู้บริหารต่อได้ไง .....
น้องนิวหาหนังสือที่ป๋าเวบแปลมาอ่านสิครับ
ประมาณว่า
when I sold my business to Warren
คนแต่งเป็นกิจการจิวเวลรี่ที่อเมริกา
เรื่องที่ Buffett ไปตกลงนั้นตอบตามที่เคยอ่านได้ว่า
วันๆมีแต่คนแย่งกันเสนอขายกิจการให้ Buffettเองทั้งนั้นครับ
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 5:21 pm
โดย KB
ก็ต้องคุยเพื่อต่อรองราคาให้พอใจทั้งสองฝ่าย จริงๆ แล้วคำถามบางคำถามเราไม่ควรถามตรงๆ แต่เราต้องตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วสอบถามข้อมูลกับเจ้าของแบบอ้อมๆ หรือบางคำถามเรารู้และมองเห็นคำตอบอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องถาม ในการเจรจาต่อลองธุรกิจ ทักษะการเจรจานั้นสำคัญมาก ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย เราควรจะเป็นมิตรกับคนที่เราติดต่อด้วย
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 5:34 pm
โดย Akajon
รู้สึกดีขึ้นรึยังเอ่ย
มาให้กำลังใจครับ สู้ๆ
ว่าแต่คุณโหน่งทำหมัน พักฟื้นกี่วันครับ ถึงออกกำลังกายตามปกติได้
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 6:02 pm
โดย humdrum
ขอบคุณทุกท่านครับ ขอบคุณป๋ามากครับ
เรื่องทำหมัน ประมาณ 3-4 อาทิตย์ครับ
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 9:25 pm
โดย << New >>
por_jai เขียน:
น้องนิวหาหนังสือที่ป๋าเวบแปลมาอ่านสิครับ
ประมาณว่า
when I sold my business to Warren
คนแต่งเป็นกิจการจิวเวลรี่ที่อเมริกา
เรื่องที่ Buffett ไปตกลงนั้นตอบตามที่เคยอ่านได้ว่า
วันๆมีแต่คนแย่งกันเสนอขายกิจการให้ Buffettเองทั้งนั้นครับ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ เล่มอื่นของพี่ web รู้สึกอ่านไปแล้ว แต่เล่มนี้ยังไม่ได้อ่านเลยครับ
.............................................................................
เท่าที่เคยเห็นประกาศขายธุรกิจนอกตลาด เคยเห็นแต่ขายเฉพาะธุรกิจแล้วไปบริหารกันเอง ส่วนใหญ่ที่ประกาศขาย ธุรกิจก็มักไม่ค่อยรุ่งนัก หรือไม่ก็เป็นเพราะเจ้าของไม่อยากทำแล้วเลยขายขายไป มีใครเคยซื้อธุรกิจนอกตลาดพร้อมผู้บริหารเก่าบริหารอยู่หรือป่าวครับ
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 9:48 pm
โดย romulus
ผมมองว่าที่เขาหยุดหงิด เพราะกำลังจะเสียการควบคุมในการเจรจา
คุณมีข้อมูลหักล้างได้มากกว่า เขาแย้งกลับไม่ได้ เลยทำให้เขาต้องแสดงการไล่คุณออกไปแบบนี้
ส่วนตัวคิดว่าแสดงว่า จขกท ทำถูก แล้วการซื้อธุรกิจไม่ใช้ซื้อขนม การไม่พูดไม่ถามจู่ๆจะให้ซื้อก็บ้าแล้วครับ
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 22, 2008 7:04 am
โดย pat4310
ถ้าคุณซื้อกิจการนี้ได้จริง เขาเรียกว่าเข้าซื้อกิจการแบบไม่เป็นมิตร (Hostile Takeover) เพราะเจ้าของไม่ชอบหน้าคุณ :D
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 22, 2008 7:15 am
โดย terati20
Buffet มีข้อเสนอบางอย่างที่ เราๆ ทำไม่ได้ครับ
คือ ให้ผู้ขายกิจการเลือกได้ ว่าจะรับเป็นเงิน หรือ
หุ้น
เบิกร์ไชน์ ครับ คนขายก็รู้ว่ามันเป็นหุ้นทองคำ ใครก็อยากจะรับไว้...
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 22, 2008 9:45 pm
โดย chatchai
ผมคิดว่าถ้าเจ้าของร้านตอบคุณโหน่งได้ คงเป็นเรื่องแปลก
บริษัทระดับเล็ก กลาง กู้เงินเป็นสิบๆล้าน ส่วนใหญ่ก็ยังตอบไม่ได้เลยครับ ถึงตอบได้ก็แบบจุดเทียนมั่วๆเกือบทั้งนั้น
เรื่องจุดเทียนว่าไปก็คล้ายๆกับอุสาหกรรมใกล้ตัวพวกเรานะครับ :lol:
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 22, 2008 11:46 pm
โดย por_jai
[quote="chatchai"]ผมคิดว่าถ้าเจ้าของร้านตอบคุณโหน่งได้
การเป็นวีไอก็มีข้อเสียเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกที่ถูกคนถูกเวลา
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 24, 2008 12:49 pm
โดย RONNAPUM
อ่านเจอมาแล้วชอบ เลยนำมาฝากครับ
เรียนธรรมในธุรกิจ : มงคล 38 กลยุทธ์เติบโตอย่างยั่งยืน (9) วาจาสุภาษิต
โกศล อนุสิม
สังคมไทยให้ความสำคัญเรื่องมารยาทในการพูด ดังจะเห็นได้จากมีสุภาษิตและคำพังเพย เกี่ยวกับเรื่องการพูดอยู่เป็นจำนวนมาก ที่คุ้นหูกันเป็นอย่างดี เช่น ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี พูดดีเป็นศรีแก่ปาก เป็นต้น ดังนั้น การจะพูดอะไรจึงต้องพิจารณาให้เหมาะสมว่าถูกต้องตามกาลและสถานที่หรือไม่ เหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์หรือไม่
เพราะการพูดนั้น ก่อนพูดเราเป็นนายของคำพูด เมื่อพูดแล้วคำพูดเป็นนายเรา คือนำมาถึงความเสื่อมหรือความเจริญแก่ผู้พูดได้ ขึ้นอยู่กับว่าพูดอะไรออกไป
ความสำคัญของเรื่องการพูดนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ในมงคล 38 ประการ ข้อที่ 10 ว่า สุภาษิตา จ ยา วาจา : วาจาสุภาษิต เป็นหนึ่งในมงคลสูงสุดของชีวิต
วาจาสุภาษิตคือ คำพูดที่ผ่านกลั่นกรองมาแล้ว ไม่ใช่สักแต่พูด และเป็นคำพูดที่มีสาระ เป็นประโยชน์ ซึ่งองค์ประกอบของวาจาสุภาษิตนั้น ประกอบด้วย
1. ต้องเป็นคำจริง ไม่ใช่คำพูดที่ปั้นแต่งขึ้นไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่บิดเบือนจากความจริง ไม่เสริมความ ไม่อำความ ต้องเป็นเรื่องจริง จริง จริง
2. ต้องเป็นคำสุภาพ เป็นคำพูดไพเราะที่กลั่นออกมาจากน้ำใจที่บริสุทธิ์ ไม่เป็นคำหยาบ คำด่า คำประชดประชัน คำเสียดสี คำหยาบนั้นฟังก็ระคายหู แค่คิดถึงก็ระคายใจ
3. พูดแล้วก่อให้เกิดประโยชน์ เกิดผลดีทั้งแก่คนพูดและคนฟังถึงแม้คำพูดนั้นจะจริงและเป็นคำสุภาพแต่ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรกลับจะทำให้เกิดโทษ ก็ไม่ควรพูด
4. พูดไปด้วยจิตเมตตา พูดด้วยความปรารถนาดี อยากให้คนฟังมีความสุข มีความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ในข้อนี้หมายถึงว่า แม้จะพูดจริง เป็นคำสุภาพ พูดแล้วเกิดประโยชน์ แต่ถ้าจิตยังคิดโกรธ มีความริษยาก็ยังไม่สมควรพูด
5. พูดถูกกาลเทศะ แม้ใช้คำพูดที่ดี เป็นคำจริง เป็นคำสุภาพเป็นคำพูดที่มีประโยชน์ และพูดด้วยจิตที่เมตตา แต่ถ้าผิดจังหวะไม่ถูกกาลเทศะผู้ฟังยังไม่พร้อมที่จะรับแล้ว จะก่อให้เกิดผลเสียได้เช่น จะกลายเป็นประจานกันหรือจับผิดไป
- พูดถูกเวลา (กาล) คือ รู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนยังไม่ควรพูด ควรพูดนานเท่าไร ต้องคาดผลที่จะเกิดขึ้นไว้ด้วย
- พูดถูกสถานที่ (เทศะ) คือ รู้ว่าในสถานที่เช่นไร เหตุการณ์แวดล้อมเช่นไร จึงควรที่จะพูดหากพูดออกไปแล้วจะมีผลดีหรือผลเสียอย่างไร เช่นมีความหวังดีอยากเตือนเพื่อนไม่ให้ดื่มเหล้าแต่ไม่เตือนขณะที่กำลังมาอยู่อย่างนี้นอกจากเขาจะไม่ฟังแล้ว เราเองอาจเจ็บตัวได้ "คนฉลาดไม่ใช่เป็นแต่พูดเท่านั้น ต้องนิ่งเป็นด้วย" "คนที่พูดเป็นนั้น ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูดให้ยิ่งกว่าสิ่งที่ควรพูด (อ้างจาก
http://mongkhol.cjb.net)
ลองพิจารณาตามหลักทั้ง 5 ข้างต้นดูว่า เป็นความจริงหรือไม่ ในโลกนี้มีใครบ้างที่ ไม่ต้องการฟังคำพูดที่เป็นความจริง ไม่ต้องการฟังคำพูดที่สุภาพ ไม่ต้องการฟังคำที่มีประโยชน์ ไม่ต้องการฟังคำพูดที่มีแต่ความเมตตา ไม่ต้องการฟังคำพูดที่เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการฟังคำพูดดังกล่าวทั้งสิ้น
ในองค์กรทั้งหลาย ลูกน้องกับเจ้านายต้องการคำพูดที่เป็นความจริงจากกันและกัน คู่ค้าก็ย่อมต้องการคำพูดที่เป็นความจริงจากกันและกัน ไม่ว่าผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ ก็ล้วนแต่ต้องการคำพูดที่สุภาพ ให้เกียรติ ให้ความเคารพ ให้ความนับถือจากอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้ค้าผู้ขาย ก็ย่อมจะต้องการคำพูดที่เป็นประโยชน์ เกิดผลดีจากคู่เจรจา หากต่างฝ่ายต่างพูดไม่จริง พูดไร้สาระ หาประโยชน์อันใดไม่ได้ การทำธุรกรรมที่จะก่อให้เกิดการตกลงทางธุรกิจ ก็คงเกิดขึ้นได้ยาก
ลองพิจารณาดูนะครับ ว่าในองค์กรของเรานั้น มีการพูดวาจาสุภาษิตกันบ้างหรือไม่ หรือว่ามีแต่วาจาทุภาษิตที่ไร้ประโยชน์ มีแต่คำโกหกหลอกลวง ผู้น้อยโกหกผู้ใหญ่เพื่อเอาตัวรอด ผู้ใหญ่โกหกผู้น้อยเพื่อเอารัดเอาเปรียบ แบบนี้องค์กรก็คงหาความเติบโตและยั่งยืนได้ยาก
หันมามองบ้านเมืองเราทุกวันนี้ (เขียนต้นฉบับเมื่อ 10 เมษายน 2551) ในหมู่นักการเมืองที่มีหน้าที่รับผิดชอบบริหารราชการแผ่นดิน กุมชะตาของบ้านเมืองและประชาชน ดูแล้วก็ให้น่าเป็นห่วงอยู่มาก เพราะพูดแต่วาจาที่ไม่เป็นสุภาษิตเสียเป็นส่วนมาก แทบจะหาข้อหนึ่งข้อใดในหลักการทั้ง 5 ข้อของวาจาสุภาษิตไม่มีเลย ทั้งๆ ที่นักการเมืองทั้งหลายเหล่านั้น เกือบทั้งหมดได้ชื่อว่านับถือพุทธศาสนา ประกาศตัวเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ดูแล้วน่ากลัวว่าจะละเมิดทั้งคำสั่งคือศีลและคำสอนคือธรรมของพระศาสดาไปหมด
ขอฝากไว้ให้เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายพิจารณาครับ.
http://www.bangkokbizweek.com/