อยากขี่หลังเสือ ต้องรู้ทันเสือ
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 21, 2008 8:16 am
อยากขี่หลังเสือ ต้องรู้ทันเสือ
กูรูเตือนของถูกและดีไม่มีในโลก
โบรกเกอร์ ชี้หุ้น ESSO จองซื้อได้ ระบุราคาไอพีโอ 9-13 บาท ยังมีช่องทำกำไร แต่ของถูกและดีไม่มีในโลก ดังนั้นหากได้กำไรแล้วไม่ควรรอช้า รีบขายโยกเงินลงหุ้น TOP-PTTAR มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าในระยะยาว ฟากอันเดอร์ไรท์แจงปันผล 1 บาท ต้องถือถึงเดือนมิ.ย.จึงจะมีสิทธิ
21 เม.ย.นี้ดีเดย์เปิดจองหุ้นบิ๊กดีลแห่งปี บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO ในส่วนของนักลงทุนรายย่อยที่จองซื้อผ่านธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย และต้องจ่ายเงินในราคาสูงสุด 13 บาท ก่อนจะกำหนดราคาจริงจากการ Bookbuiding จากนักลงทุนสถาบันในวันที่ 24 เม.ย.นี้ หากออกมาต่ำกว่า 13 บาทจึงจะมีการคืนเงินให้ ซึ่งหุ้น ESSO ถือว่าเป็นหุ้นที่ถูกจับตามองจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กดีล ที่จะมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ติดอันดับประมาณ 30 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นหุ้นพลังงานที่ตอนนี้อยู่ในความสนใจของนักลงทุน เพราะราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่มีแต่จะพุ่งขึ้นทุกวัน แถม ESSO ยังมีการจูงใจด้วยเงินปันผล 1 บาท ที่มีการประกาศว่าจะแจกให้กับคนซื้อหุ้นไอพีโอทันที
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ของถูกและดี ไม่มีในโลก ซึ่งหุ้น ESSO ดีหรือไม่ ถูกหรือแพง eFinanceThai.com รวบรวมความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มาฝาก...
**โกลเบล็กให้ราคาเหมาะสม 14 บ.
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็กระบุว่า ESSO หนึ่งในโรงกลั่นชั้นนำของประเทศ ประกอบธุรกิจหลักแบ่งเป็นสอง ส่วนคือ 1.) ธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมัน โดยมีโรงกลั่นน้ำมันดิบแบบ Complex กำลังการกลั่น 177,000 บาร์เรลต่อวันเป็นอันดับ 3 ของประเทศ (มีอัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 50 ที่ 81.5%) และมีสถานีบริการภายใต้ชื่อ ESSO 583 แห่งทั่วประเทศ 2.) ธุรกิจปิโตรเคมี โดยเป็นเจ้าของโรงงานอะโรเมติกส์ ซึ่งมีกำลังการผลิตพาราไซลีน 5 แสนตันต่อปี และหน่วยผลิตสารทำละลายกำลังการผลิต 5 หมื่นตันต่อปี โดยจุดแข็งของบริษัทคือ มีลักษณะการดำเนินงานที่เชื่อมต่อกันระหว่าง โรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีแบบครบวงจร ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดให้กับผลิตภัณฑ์
นอกจากนั้นยังจัดเป็นบริษัทในเครือ Exxon Mobil ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้มีความได้เปรียบในแง่การจัดหาวัตถุดิบและการตลาด รวมถึงความเชี่ยวชาญของบุคลากรในการดำเนินงาน
ในส่วนของผลประกอบการปี 50 ผ่านมากำไรสุทธิขยายตัวโดดเด่น 348%yoy ผลจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูง รวมถึงมีกำไรจากสต็อกน้ำมันจำนวนมาก สำหรับแนวโน้มผลประกอบการหลังจากนี้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังไม่มีโครงการลงทุนหรือขยายกำ ลังการผลิต ดังนั้นผลประกอบการจะขึ้นกับภาวะอุตสาหกรรมการกลั่น และปิโตรเคมีเป็นหลัก โดยเรามองว่าค่าการกลั่นและอัตรากำไรของธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะอยู่ในช่วงสูงสุดแล้วในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาและจะมีแนวโน้มทรงตัวถึงชะลอตัวลงเนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ๆที่จะทยอยเข้ามา ดังนั้นคาดอัตรากำไรของบริษัทจะเริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามเนื่องจากบริษัทมีแผนจะนำเงินจากIPO ไปใช้ชำระคืนหนี้สินระยะสั้น ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะช่วยชดเชยอัตรากำไรที่จะชะลอตัว ดังนั้นโดยรวมแล้ว เราคาดกำไรสุทธิจะทรงตัวในช่วงปี 2551-2553
บทวิเคราะห์ระบุว่า จากงบการเงินปี 50 มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.9 เท่า อย่างไรก็ตามหลัง IPO ครั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายชำระคืนหนี้ โดยเราคาดว่า D/E สิ้นปี 51 จะลดลงเหลือ 0.9 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ขณะที่กระแสเงินสดแข็งแกร่งโดยมี EBITDA ประมาณ 1หมื่นล้านบาท/ปี และเนื่องจากบริษัทยังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ๆ ดังนั้นคาดจะสามารถจ่ายปันผลได้ตามนโยบาย โดยล่าสุดคณะกรรมการบริษัทอนุมัติแผนจ่ายปันผลระหว่างกาลจำนวน 1 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 7.7%-11.1%
จากราคา IPO โดยจะประชุมเพื่ออนุมัติอีกครั้งหลังจาก IPO และคาดจะขึ้น XD ภายใน มิ.ย.51
บริษัทกำหนดราคาจองซื้อ IPO อยู่ระหว่าง 9-13 บาทซึ่งจัดว่าไม่แพงโดยคิดเป็น PER จากประมาณการปี 51 ของเราที่ 5.1-7.4 เท่า ใกล้เคียงกับ TOP และ PTTAR ที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกันซึ่งซื้อขายอยู่ที่ระดับ PER ปี 51 ที่ 7 และ 6.8 เท่า ตามลำดับ ขณะที่เราประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี P/E Relative โดยอิง P/E ที่ 8 เท่าต่ำกว่ากลุ่ม เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตที่จำกัดได้ราคาเหมาะสมปี 51 ที่ 14 บาท ดังนั้นในทางพื้นฐานสามารถเข้าลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเปรียบเทียบทั้งกลุ่มโรงกลั่นแล้ว ที่ระดับ PER ใกล้เคียงกันเรามองว่าTOP และ PTTAR มีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่าเนื่องจาก ความสามารถในการทำกำไรและการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจที่สูงกว่าขณะที่ผลประกอบการยังมีโอกาสขยายตัวได้จากหลายโครงการที่อยู่ระหว่างลงทุน
**เกียรตินาคิน ชี้จุดเด่น Dividend Yield สูง 7.6%
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่าราคากำหนดจองซื้อหุ้นบริษัทเอสโซ่(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)(ETL) ในช่วง ที่ระดับ 9-13 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง โดยหากประเมินว่าราคาขายที่แท้จริงกำหนดที่กรอบด้านบนคือ 12-13 บาท ก็จะมีส่วนต่างหรืออัพไซด์เหลือน้อย ซึ่งผู้ที่จองซื้อหุ้นจะได้กำไรส่วนต่างน้อยมาก ในขณะที่ P/E ที่จะเข้าซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 6 เท่า ซึ่งก็ใกล้เคียงกันกับหุ้นที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่นตัวอื่นๆ ที่ซื้อขายที่ 6-7 เท่า
นอกจากนี้จุดที่เป็นประเด็นต้องพิจารณาอยู่ที่วัตถุประสงค์ของการนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งไม่ระบุถึงการขยายธุรกิจใหม่หรือการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแต่อย่างใด ทำให้ประเมินว่าพื้นฐานธุรกิจนั้นทั้งในส่วนของโรงกลั่นและโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ยังถือว่าไม่โดดเด่นและเป็นรอง PTTAR และ TOP เพราะกำลังการผลิตยังน้อยกว่า และขนาดโรงงานเล็กกว่า อีกทั้งน้ำมันส่วนใหญ่ที่ผลิตเป็นน้ำมันหนัก (Heavy fractions) ซึ่งให้มาร์จิ้นได้น้อย ทำให้ประเมินว่าผลประกอบการในปี 2551 และมี 2552 จะไม่เติบโตมากนัก โดยในปี 2551 คาดว่าจะมีกำไร 6,111 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2552 กำไรมีแนวโน้มถดถอยลงไปอยู่ที่ 5,381 ล้านบาท
ทั้งนี้ บล.เกียรตินาคิน ประเมินราคาเหมาะสม ESSO ที่ 13.85 บาท โดยใช้วิธีการหามูลค่าของสินทรัพย์ แบบ DCF หรือ Discounted cash flow ในระดับ P/E ที่ 7.4 เท่า อย่างไรก็ตามจุดที่น่าสนใจคงจะเป็นเรื่องการจ่ายปันผลในระดับสูง โดยเมื่อเทียบกับราคาขายสูงสุดที่ประมาณ 13 บาท บริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลในงวดปี 2550 ด้วยหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นอัตราตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield ถึง 7.6% ซึ่งเป็นระดับที่สูงมาก
**ซิกโก้คาดปีหน้ากำไรวูบตามค่าการกลั่น แนะลงทุนระยะสั้น
นักวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ ระบุว่า หาก ESSO กำหนดไอพีโอที่ช่วงราคาสูงสุด 13 บาท ก็ยังถือว่าน่าสนใจลงทุน เนื่องจากยังมีส่วนต่างจากราคาพื้นฐานที่ 15.40 บาท อยู่พอสมควร โดยคาดว่าปีนี้ ESSO จะมีกำไรสุทธิประมาณ 7.71 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากปีก่อน แต่กำไรสุทธิในปี 52 คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 7.1 พันล้านบาท เนื่องจากมองว่าค่าการกลั่นในปีหน้ามีแนวโน้มลดลง
อย่างไรก็ตามหุ้น ESSO ถือเป็นหุ้นที่เหมาะสำหรับลงทุนช่วงสั้น ดังนั้นจึงแนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้น เมื่อเทียบกับหุ้น TOP และ PTTAR ซึ่งถือเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มผลประกอบการระยะยาวที่ดี ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว ควรเลือกลงทุนในหุ้นทั้งสองบริษัทดังกล่าว
**บีฟิท มองระยะสั้นหุ้นไม่ต่ำจอง
นักวิเคราะห์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยบล.บีฟิท ประเมินราคาพื้นฐาน ESSO ไว้ประมาณ 15-16 บาท โดยมองว่าช่วงราคาไอพีโอที่กำไหนดไว้ถือว่าไม่แพง ทำให้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นหากเทียบกับพื้นฐาน นอกจากนี้ยังมีการจ่ายเงินปันผลอีก 1 บาท/หุ้น อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่งในไตรมาส 2/51 ค่าการกลั่นปรับขึ้นมาในระดับสูง ดังนั้นในระยะสั้นราคาหุ้นไม่น่าจะต่ำกว่าจอง แต่หลังจากบริษัทจ่ายปันผลเสร็จแล้ว ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ หากเทียบกับหุ้น TOP และ PTTAR ในแง่ปัจจัยพื้นฐานมีความน่าสนใจมากกว่า ESSO เพราะมีกำลังการผลิตที่มากกว่า ดังนั้นหากราคาหุ้น ESSO ปรับขึ้นมาแรงเกินกว่าราคาพื้นฐาน นักลงทุนอาจหาจังหวะขายทำกำไร และย้ายไปลงทุนหุ้น TOP และ PTTAR
**ที่ปรึกษาฯแจงต้องถือหุ้นถึงเดือน มิ.ย.จึงได้รับปันผล
นายแมนพงษ์ เสนาณรงค์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร (PHATRA) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ESSO เปิดเผยว่าจะกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินเงินปันผล หุ้นละ 1 บาท ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ก่อนจะขึ้นเครื่องหมาย XD รับเงินปันผลในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ดังนั้นนักลงทุนซึ่งจองซื้อหุ้นไอพีโอของบริษัทฯ จะมีสิทธิได้รับเงินปันผลก็ต่อเมื่อถือหุ้นยาวไปถึงช่วงวันปิดสมุดทะเบียน ไม่ใช่กรณีที่จะได้รับเงินปันผลในทันทีที่จองซื้อ
ทั้งนี้ ESSO จะมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นหุ้นที่มาร์เก็ตแคปใหญ่เป็นอันดับที่ประมาณ 30 ของตลาดฯ และช่วยเพิ่มมาร์เก็ตแคปหุ้นกลุ่มพลังงานให้ใหญ่ขึ้น
นายแมนพงษ์กล่าวอีกว่า จากการที่ ESSO เดินทางนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุน ถือว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยจุดเด่นของบริษัทคือการควบคุมต้นทุนได้ดีและมีวินัยการลงทุน ส่วนราคา IPO ที่กำหนดไว้นั้น ถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานทั้งผลประกอบการและสถานะคุณภาพของบริษัท โดยจะกำหนดราคาที่แน่นอนได้ภายในวันที่ 23 เม.ย.หลังได้สำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบันแล้ว
ทั้งนี้ ESSO จะขายหุ้น IPO รวม 1,099.58 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 4.93 บาทโดยเป็นหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 773.33 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังไม่เกิน 326.25 ล้านหุ้น กำหนดช่วงราคาที่ 9-13 บาท
http://www.efinancethai.com/index.aspx
กูรูเตือนของถูกและดีไม่มีในโลก
โบรกเกอร์ ชี้หุ้น ESSO จองซื้อได้ ระบุราคาไอพีโอ 9-13 บาท ยังมีช่องทำกำไร แต่ของถูกและดีไม่มีในโลก ดังนั้นหากได้กำไรแล้วไม่ควรรอช้า รีบขายโยกเงินลงหุ้น TOP-PTTAR มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าในระยะยาว ฟากอันเดอร์ไรท์แจงปันผล 1 บาท ต้องถือถึงเดือนมิ.ย.จึงจะมีสิทธิ
21 เม.ย.นี้ดีเดย์เปิดจองหุ้นบิ๊กดีลแห่งปี บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO ในส่วนของนักลงทุนรายย่อยที่จองซื้อผ่านธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงไทย และต้องจ่ายเงินในราคาสูงสุด 13 บาท ก่อนจะกำหนดราคาจริงจากการ Bookbuiding จากนักลงทุนสถาบันในวันที่ 24 เม.ย.นี้ หากออกมาต่ำกว่า 13 บาทจึงจะมีการคืนเงินให้ ซึ่งหุ้น ESSO ถือว่าเป็นหุ้นที่ถูกจับตามองจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กดีล ที่จะมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ติดอันดับประมาณ 30 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นหุ้นพลังงานที่ตอนนี้อยู่ในความสนใจของนักลงทุน เพราะราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่มีแต่จะพุ่งขึ้นทุกวัน แถม ESSO ยังมีการจูงใจด้วยเงินปันผล 1 บาท ที่มีการประกาศว่าจะแจกให้กับคนซื้อหุ้นไอพีโอทันที
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ของถูกและดี ไม่มีในโลก ซึ่งหุ้น ESSO ดีหรือไม่ ถูกหรือแพง eFinanceThai.com รวบรวมความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มาฝาก...
**โกลเบล็กให้ราคาเหมาะสม 14 บ.
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็กระบุว่า ESSO หนึ่งในโรงกลั่นชั้นนำของประเทศ ประกอบธุรกิจหลักแบ่งเป็นสอง ส่วนคือ 1.) ธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายน้ำมัน โดยมีโรงกลั่นน้ำมันดิบแบบ Complex กำลังการกลั่น 177,000 บาร์เรลต่อวันเป็นอันดับ 3 ของประเทศ (มีอัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 50 ที่ 81.5%) และมีสถานีบริการภายใต้ชื่อ ESSO 583 แห่งทั่วประเทศ 2.) ธุรกิจปิโตรเคมี โดยเป็นเจ้าของโรงงานอะโรเมติกส์ ซึ่งมีกำลังการผลิตพาราไซลีน 5 แสนตันต่อปี และหน่วยผลิตสารทำละลายกำลังการผลิต 5 หมื่นตันต่อปี โดยจุดแข็งของบริษัทคือ มีลักษณะการดำเนินงานที่เชื่อมต่อกันระหว่าง โรงกลั่นและโรงงานปิโตรเคมีแบบครบวงจร ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดให้กับผลิตภัณฑ์
นอกจากนั้นยังจัดเป็นบริษัทในเครือ Exxon Mobil ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้มีความได้เปรียบในแง่การจัดหาวัตถุดิบและการตลาด รวมถึงความเชี่ยวชาญของบุคลากรในการดำเนินงาน
ในส่วนของผลประกอบการปี 50 ผ่านมากำไรสุทธิขยายตัวโดดเด่น 348%yoy ผลจากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูง รวมถึงมีกำไรจากสต็อกน้ำมันจำนวนมาก สำหรับแนวโน้มผลประกอบการหลังจากนี้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังไม่มีโครงการลงทุนหรือขยายกำ ลังการผลิต ดังนั้นผลประกอบการจะขึ้นกับภาวะอุตสาหกรรมการกลั่น และปิโตรเคมีเป็นหลัก โดยเรามองว่าค่าการกลั่นและอัตรากำไรของธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะอยู่ในช่วงสูงสุดแล้วในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาและจะมีแนวโน้มทรงตัวถึงชะลอตัวลงเนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ๆที่จะทยอยเข้ามา ดังนั้นคาดอัตรากำไรของบริษัทจะเริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามเนื่องจากบริษัทมีแผนจะนำเงินจากIPO ไปใช้ชำระคืนหนี้สินระยะสั้น ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะช่วยชดเชยอัตรากำไรที่จะชะลอตัว ดังนั้นโดยรวมแล้ว เราคาดกำไรสุทธิจะทรงตัวในช่วงปี 2551-2553
บทวิเคราะห์ระบุว่า จากงบการเงินปี 50 มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.9 เท่า อย่างไรก็ตามหลัง IPO ครั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายชำระคืนหนี้ โดยเราคาดว่า D/E สิ้นปี 51 จะลดลงเหลือ 0.9 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ขณะที่กระแสเงินสดแข็งแกร่งโดยมี EBITDA ประมาณ 1หมื่นล้านบาท/ปี และเนื่องจากบริษัทยังไม่มีโครงการลงทุนใหม่ๆ ดังนั้นคาดจะสามารถจ่ายปันผลได้ตามนโยบาย โดยล่าสุดคณะกรรมการบริษัทอนุมัติแผนจ่ายปันผลระหว่างกาลจำนวน 1 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 7.7%-11.1%
จากราคา IPO โดยจะประชุมเพื่ออนุมัติอีกครั้งหลังจาก IPO และคาดจะขึ้น XD ภายใน มิ.ย.51
บริษัทกำหนดราคาจองซื้อ IPO อยู่ระหว่าง 9-13 บาทซึ่งจัดว่าไม่แพงโดยคิดเป็น PER จากประมาณการปี 51 ของเราที่ 5.1-7.4 เท่า ใกล้เคียงกับ TOP และ PTTAR ที่มีลักษณะธุรกิจใกล้เคียงกันซึ่งซื้อขายอยู่ที่ระดับ PER ปี 51 ที่ 7 และ 6.8 เท่า ตามลำดับ ขณะที่เราประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี P/E Relative โดยอิง P/E ที่ 8 เท่าต่ำกว่ากลุ่ม เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตที่จำกัดได้ราคาเหมาะสมปี 51 ที่ 14 บาท ดังนั้นในทางพื้นฐานสามารถเข้าลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเปรียบเทียบทั้งกลุ่มโรงกลั่นแล้ว ที่ระดับ PER ใกล้เคียงกันเรามองว่าTOP และ PTTAR มีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่าเนื่องจาก ความสามารถในการทำกำไรและการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจที่สูงกว่าขณะที่ผลประกอบการยังมีโอกาสขยายตัวได้จากหลายโครงการที่อยู่ระหว่างลงทุน
**เกียรตินาคิน ชี้จุดเด่น Dividend Yield สูง 7.6%
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่าราคากำหนดจองซื้อหุ้นบริษัทเอสโซ่(ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)(ETL) ในช่วง ที่ระดับ 9-13 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูง โดยหากประเมินว่าราคาขายที่แท้จริงกำหนดที่กรอบด้านบนคือ 12-13 บาท ก็จะมีส่วนต่างหรืออัพไซด์เหลือน้อย ซึ่งผู้ที่จองซื้อหุ้นจะได้กำไรส่วนต่างน้อยมาก ในขณะที่ P/E ที่จะเข้าซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 6 เท่า ซึ่งก็ใกล้เคียงกันกับหุ้นที่ประกอบธุรกิจโรงกลั่นตัวอื่นๆ ที่ซื้อขายที่ 6-7 เท่า
นอกจากนี้จุดที่เป็นประเด็นต้องพิจารณาอยู่ที่วัตถุประสงค์ของการนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งไม่ระบุถึงการขยายธุรกิจใหม่หรือการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตแต่อย่างใด ทำให้ประเมินว่าพื้นฐานธุรกิจนั้นทั้งในส่วนของโรงกลั่นและโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ยังถือว่าไม่โดดเด่นและเป็นรอง PTTAR และ TOP เพราะกำลังการผลิตยังน้อยกว่า และขนาดโรงงานเล็กกว่า อีกทั้งน้ำมันส่วนใหญ่ที่ผลิตเป็นน้ำมันหนัก (Heavy fractions) ซึ่งให้มาร์จิ้นได้น้อย ทำให้ประเมินว่าผลประกอบการในปี 2551 และมี 2552 จะไม่เติบโตมากนัก โดยในปี 2551 คาดว่าจะมีกำไร 6,111 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2552 กำไรมีแนวโน้มถดถอยลงไปอยู่ที่ 5,381 ล้านบาท
ทั้งนี้ บล.เกียรตินาคิน ประเมินราคาเหมาะสม ESSO ที่ 13.85 บาท โดยใช้วิธีการหามูลค่าของสินทรัพย์ แบบ DCF หรือ Discounted cash flow ในระดับ P/E ที่ 7.4 เท่า อย่างไรก็ตามจุดที่น่าสนใจคงจะเป็นเรื่องการจ่ายปันผลในระดับสูง โดยเมื่อเทียบกับราคาขายสูงสุดที่ประมาณ 13 บาท บริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลในงวดปี 2550 ด้วยหุ้นละ 1 บาท คิดเป็นอัตราตอบแทนจากเงินปันผล หรือ Dividend Yield ถึง 7.6% ซึ่งเป็นระดับที่สูงมาก
**ซิกโก้คาดปีหน้ากำไรวูบตามค่าการกลั่น แนะลงทุนระยะสั้น
นักวิเคราะห์ บล.ซิกโก้ ระบุว่า หาก ESSO กำหนดไอพีโอที่ช่วงราคาสูงสุด 13 บาท ก็ยังถือว่าน่าสนใจลงทุน เนื่องจากยังมีส่วนต่างจากราคาพื้นฐานที่ 15.40 บาท อยู่พอสมควร โดยคาดว่าปีนี้ ESSO จะมีกำไรสุทธิประมาณ 7.71 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากปีก่อน แต่กำไรสุทธิในปี 52 คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 7.1 พันล้านบาท เนื่องจากมองว่าค่าการกลั่นในปีหน้ามีแนวโน้มลดลง
อย่างไรก็ตามหุ้น ESSO ถือเป็นหุ้นที่เหมาะสำหรับลงทุนช่วงสั้น ดังนั้นจึงแนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้น เมื่อเทียบกับหุ้น TOP และ PTTAR ซึ่งถือเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มผลประกอบการระยะยาวที่ดี ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว ควรเลือกลงทุนในหุ้นทั้งสองบริษัทดังกล่าว
**บีฟิท มองระยะสั้นหุ้นไม่ต่ำจอง
นักวิเคราะห์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยบล.บีฟิท ประเมินราคาพื้นฐาน ESSO ไว้ประมาณ 15-16 บาท โดยมองว่าช่วงราคาไอพีโอที่กำไหนดไว้ถือว่าไม่แพง ทำให้ราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นหากเทียบกับพื้นฐาน นอกจากนี้ยังมีการจ่ายเงินปันผลอีก 1 บาท/หุ้น อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่งในไตรมาส 2/51 ค่าการกลั่นปรับขึ้นมาในระดับสูง ดังนั้นในระยะสั้นราคาหุ้นไม่น่าจะต่ำกว่าจอง แต่หลังจากบริษัทจ่ายปันผลเสร็จแล้ว ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ หากเทียบกับหุ้น TOP และ PTTAR ในแง่ปัจจัยพื้นฐานมีความน่าสนใจมากกว่า ESSO เพราะมีกำลังการผลิตที่มากกว่า ดังนั้นหากราคาหุ้น ESSO ปรับขึ้นมาแรงเกินกว่าราคาพื้นฐาน นักลงทุนอาจหาจังหวะขายทำกำไร และย้ายไปลงทุนหุ้น TOP และ PTTAR
**ที่ปรึกษาฯแจงต้องถือหุ้นถึงเดือน มิ.ย.จึงได้รับปันผล
นายแมนพงษ์ เสนาณรงค์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร (PHATRA) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ESSO เปิดเผยว่าจะกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินเงินปันผล หุ้นละ 1 บาท ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ก่อนจะขึ้นเครื่องหมาย XD รับเงินปันผลในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ดังนั้นนักลงทุนซึ่งจองซื้อหุ้นไอพีโอของบริษัทฯ จะมีสิทธิได้รับเงินปันผลก็ต่อเมื่อถือหุ้นยาวไปถึงช่วงวันปิดสมุดทะเบียน ไม่ใช่กรณีที่จะได้รับเงินปันผลในทันทีที่จองซื้อ
ทั้งนี้ ESSO จะมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นหุ้นที่มาร์เก็ตแคปใหญ่เป็นอันดับที่ประมาณ 30 ของตลาดฯ และช่วยเพิ่มมาร์เก็ตแคปหุ้นกลุ่มพลังงานให้ใหญ่ขึ้น
นายแมนพงษ์กล่าวอีกว่า จากการที่ ESSO เดินทางนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุน ถือว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยจุดเด่นของบริษัทคือการควบคุมต้นทุนได้ดีและมีวินัยการลงทุน ส่วนราคา IPO ที่กำหนดไว้นั้น ถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานทั้งผลประกอบการและสถานะคุณภาพของบริษัท โดยจะกำหนดราคาที่แน่นอนได้ภายในวันที่ 23 เม.ย.หลังได้สำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบันแล้ว
ทั้งนี้ ESSO จะขายหุ้น IPO รวม 1,099.58 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 4.93 บาทโดยเป็นหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 773.33 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังไม่เกิน 326.25 ล้านหุ้น กำหนดช่วงราคาที่ 9-13 บาท
http://www.efinancethai.com/index.aspx