ตลาด MAI โชว์ผลประกอบการเยี่ยม
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 07, 2008 11:23 am
ยูเอ็มเอสคึกแต่หัวปีกำไรQ1โตเท่าตัว-ตลาดMAIโชว์ผลประกอบการเยี่ยม
UMS รับสองเด้งทั้งราคาถ่านหินพุ่ง พ่วงค่าบาทแข็ง โบรกเกอร์ประเมินกำไรไตรมาสแรกเพิ่มกว่าเท่าตัว ให้ราคาเป้าหมายที่ 35 บาท "ชัยวัฒน์" มั่นใจรายได้ Q1 โตกว่าปีก่อน 30% เล็งขึ้นราคาถ่านหินอีกรอบเม.ย.นี้ ด้านตลาดMAI เผยผลประกอบบจ.ปี 50 ดีถ้วนหน้าเย้ยตลาดใหญ่ UMS-UEC-GFM ทำสถิติกำไรสุทธิสูงสุดติด 1 ใน 5 อันดับแรกนับตั้งแต่ปี 2548
นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์สิสเซส จำกัด(มหาชน) หรือ UMS เปิดเผยกับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่าคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 30% ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากปีก่อนที่ทำได้ 2,400 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นหลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการหลายรายหันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันเตา
ทั้งนี้คาดว่ารายได้ไตรมาส 1/51 จะเติบโต 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทำให้ต้นทุนการนำเข้าถ่านหินลดลงประกอบกับปริมาณขายถ่านหินในช่วงไตรมาสนี้ดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับขึ้นราคาถ่านหินอีก 10-15% อย่างไรก็ดีคาดว่าในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้รายได้จะดีกว่าไตรมาส 1/2551 หลังจากที่คลังสินค้าก่อสร้างเสร็จและเริ่มใช้งานได้จะทำให้ต้นทุนของบริษัทลดลงประมาณ 2-3%
อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนที่จะรับขึ้นราคาขายถ่านหินอีกรอบในเดือนเม.ย.นี้ หลังจากที่ราคาถ่านหินในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับขึ้นราคาถ่านหินมาแล้ว 10-15% ทั้งนี้ปัจจุบันราคาถ่านหินในตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท/ตัน
บล.กิมเอ็ง ประเมินว่าผลประกอบการ UMS ไตรมาส 1/51 คาดว่ากำไรจะเติบโตเกินเท่าตัว เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/50 ที่มีกำไรสุทธิ 58 ล้านบาท จากปริมาณการจำหน่ายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น 21% การปรับราคาจำหน่ายถ่านหินเพิ่ม และบริษัทมีกำไรจากสต๊อกถ่านหินราคาต่ำที่ซื้อมาตอนปลายปีก่อนและการจำหน่ายถ่านหินก้อนเต็มไตรมาส
ขณะที่ทั้งปีคาดกำไร 497 ล้านบาท หรือ 2.37 บาท/หุ้น เติบโต 37% ส่วนปี 2552
ก็คาดว่ากำไรจะเติบโตได้อีก 19% เป็น 592 ล้านบาทหรือ 2.82 บาท/หุ้น จากโครงการ
coal gasification (การทำถ่านหินให้เป็นเชื้อเพลิงในรูปของก๊าซ)
นอกจากนี้คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในปีนี้ได้ 2.25 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงถึง 7.7% ดังนั้นจึงแนะนำซื้อเก็งกำไร ในราคาเหมาะสมที่ 35 บาท จากการรับอานิสงส์ราคาถ่านหินตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ ประกอบกับปริมาณถ่านหินในตลาดมีไม่เพียงพอมาทดแทนในช่วงระยะสั้น หลังความต้องการเพิ่มต่อเนื่อง จากปัญหาประเทศจีนเกิดพายุหิมะ และน้ำท่วมในออสเตรเลีย
ทั้งนี้ UMS เป็นบริษัทหนึ่งที่มีการนำเข้าสินค้า 100% มาจำหน่ายในประเทศ ซึ่งจะได้รับผลบวกจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยเราประเมินว่า UMS นำเข้าถ่านหินปีนี้ประมาณ
1.5 ล้านตัน คาดราคาเฉลี่ยที่ 50 เหรียญ/ตัน จะได้เป็นมูลค่านำเข้าที่ 75 ล้านเหรียญ/ปี หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาท จะทำให้ UMS สามารถประหยัดต้นทุนการนำเข้าได้ปีละ 75 ล้านบาท หรือ 0.36 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าที่เหมาะสมเพิ่มประมาณ 5.40 บาท (จากราคาที่เหมาะสมปัจจุบันที่ 35 บาท)
ซึ่งนับจากต้นปีมาค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาประมาณ 2 บาท จาก 33.5 บาท/เหรียญ มาอยู่ที่ประมาณ 31.5 บาท/เหรียญ ในปัจจุบัน (หากค่าเงินบาทอยู่ในระดับนี้ ณ สิ้นปี เราคาดว่าบริษัทจะมีต้นทุนการนำเข้าถ่านหินลดลง 150 ล้านบาท หรือ 0.72 บาท/หุ้น โดยสมมติให้ปัจจัยอื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลง)
นอกเหนือจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะเป็นบวกต่อผลกำไรของบริษัทแล้ว ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน เป็น 1.5 ล้านตัน รวมถึงการปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 25% และการเปิดใช้คลังสินค้าและท่าเทียบเรือใหม่ที่จะลดต้นทุนได้60-70 ล้านบาทในปีนี้และการจำหน่ายถ่านหินอัดก้อนเดือนละ 15,000 ตัน (ช่วยเพิ่มรายได้และผลกำไรประมาณ 40-50 ล้านบาท/ปี)
ด้านนายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai จำนวน 49 แห่ง รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2550 ปรากฎว่าบริษัทจดทะเบียนใน mai มีรายได้รวมทั้งสิ้น 44,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 40,179 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% โดยมีกำไรสุทธิรวม 1,961 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 2,181 ล้านบาท หรือลดลง 10% ทั้งนี้มีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 41 บริษัท คิดเป็น 84% และบริษัทที่ขาดทุนสุทธิ 8 บริษัท คิดเป็น16%
สำหรับบริษัทที่มีกำไรสุทธิประจำปี 2550 เกิน 100 ล้านบาท มีจำนวน 8 แห่ง ได้แก่บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS มีกำไรสุทธิ 364 ล้านบาท
บริษัท ยูนิมิต เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผมหาชน) หรือ UEC มีกำไรสุทธิ 330 ล้านบาท บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) หรือ มีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO มีกำไรสุทธิ 145 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท ถิรไทยจำกัด (มหาชน) หรือ TRT มีกำไรสุทธิ 121 ล้านบาท บริษัท ซี.ไอ. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CIG มีกำไรสุทธิ 107 ล้านบาท บริษัท มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL มีกำไรสุทธิ 106 ล้านบาท และบริษัท โรงพยาบาล ไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNH มีกำไรสุทธิ 101 ล้านบาท
ทั้งนี้ UMS-UEC-GFM ทำสถิติบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 1 ใน 5 อันดับแรกตั้งแต่ผลการดำเนินงานประจำปี 2548 เป็นต้นมา
นายชนิตร กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชะลอตัวทางด้านเศรษฐกิจในปี 2550 ซึ่งแม้ว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาวัสดุก่อสร้าง ราคาน้ำมันและค่าขนส่ง ตลอดจนปัจจัยค่าเงินบาท
ประกอบกับปีที่ผ่านมาการลงทุนภาครัฐชะลอตัว ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากงานด้านโครงการลดลง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสำหรับผลประกอบการปี 2550 ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง อุตสาหกรรมสื่อและบริการ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
วันที่ 07 มี.ค. 2551 แสดงข่าวมาแล้ว 1ช.ม. 37นาที
UMS Price %Change High Low P/E BV
29.00 0.00 % 29.00 28.75 11.56 6.02
UEC Price %Change High Low P/E BV
8.10 1.89 % 8.15 7.85 13.77 3.95
DEMCO Price %Change High Low P/E BV
4.98 -2.35 % 5.05 4.98 9.32 2.59
TRT Price %Change High Low P/E BV
9.60 -1.03 % 9.70 9.60 8.11 1.97
CIG Price %Change High Low P/E BV
4.72 0.00 % 4.78 4.70 11.05 1.62
MILL Price %Change High Low P/E BV
6.15 0.00 % 6.15 6.15 36.18 N.A.
TNH Price %Change High Low P/E BV
6.30 0.00 % 6.30 6.30 11.20 3.02
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=13687
UMS รับสองเด้งทั้งราคาถ่านหินพุ่ง พ่วงค่าบาทแข็ง โบรกเกอร์ประเมินกำไรไตรมาสแรกเพิ่มกว่าเท่าตัว ให้ราคาเป้าหมายที่ 35 บาท "ชัยวัฒน์" มั่นใจรายได้ Q1 โตกว่าปีก่อน 30% เล็งขึ้นราคาถ่านหินอีกรอบเม.ย.นี้ ด้านตลาดMAI เผยผลประกอบบจ.ปี 50 ดีถ้วนหน้าเย้ยตลาดใหญ่ UMS-UEC-GFM ทำสถิติกำไรสุทธิสูงสุดติด 1 ใน 5 อันดับแรกนับตั้งแต่ปี 2548
นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์สิสเซส จำกัด(มหาชน) หรือ UMS เปิดเผยกับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่าคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโต 30% ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากปีก่อนที่ทำได้ 2,400 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นหลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการหลายรายหันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันเตา
ทั้งนี้คาดว่ารายได้ไตรมาส 1/51 จะเติบโต 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทำให้ต้นทุนการนำเข้าถ่านหินลดลงประกอบกับปริมาณขายถ่านหินในช่วงไตรมาสนี้ดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับขึ้นราคาถ่านหินอีก 10-15% อย่างไรก็ดีคาดว่าในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้รายได้จะดีกว่าไตรมาส 1/2551 หลังจากที่คลังสินค้าก่อสร้างเสร็จและเริ่มใช้งานได้จะทำให้ต้นทุนของบริษัทลดลงประมาณ 2-3%
อย่างไรก็ตามบริษัทมีแผนที่จะรับขึ้นราคาขายถ่านหินอีกรอบในเดือนเม.ย.นี้ หลังจากที่ราคาถ่านหินในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับขึ้นราคาถ่านหินมาแล้ว 10-15% ทั้งนี้ปัจจุบันราคาถ่านหินในตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท/ตัน
บล.กิมเอ็ง ประเมินว่าผลประกอบการ UMS ไตรมาส 1/51 คาดว่ากำไรจะเติบโตเกินเท่าตัว เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/50 ที่มีกำไรสุทธิ 58 ล้านบาท จากปริมาณการจำหน่ายถ่านหินที่เพิ่มขึ้น 21% การปรับราคาจำหน่ายถ่านหินเพิ่ม และบริษัทมีกำไรจากสต๊อกถ่านหินราคาต่ำที่ซื้อมาตอนปลายปีก่อนและการจำหน่ายถ่านหินก้อนเต็มไตรมาส
ขณะที่ทั้งปีคาดกำไร 497 ล้านบาท หรือ 2.37 บาท/หุ้น เติบโต 37% ส่วนปี 2552
ก็คาดว่ากำไรจะเติบโตได้อีก 19% เป็น 592 ล้านบาทหรือ 2.82 บาท/หุ้น จากโครงการ
coal gasification (การทำถ่านหินให้เป็นเชื้อเพลิงในรูปของก๊าซ)
นอกจากนี้คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในปีนี้ได้ 2.25 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงถึง 7.7% ดังนั้นจึงแนะนำซื้อเก็งกำไร ในราคาเหมาะสมที่ 35 บาท จากการรับอานิสงส์ราคาถ่านหินตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ ประกอบกับปริมาณถ่านหินในตลาดมีไม่เพียงพอมาทดแทนในช่วงระยะสั้น หลังความต้องการเพิ่มต่อเนื่อง จากปัญหาประเทศจีนเกิดพายุหิมะ และน้ำท่วมในออสเตรเลีย
ทั้งนี้ UMS เป็นบริษัทหนึ่งที่มีการนำเข้าสินค้า 100% มาจำหน่ายในประเทศ ซึ่งจะได้รับผลบวกจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยเราประเมินว่า UMS นำเข้าถ่านหินปีนี้ประมาณ
1.5 ล้านตัน คาดราคาเฉลี่ยที่ 50 เหรียญ/ตัน จะได้เป็นมูลค่านำเข้าที่ 75 ล้านเหรียญ/ปี หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1 บาท จะทำให้ UMS สามารถประหยัดต้นทุนการนำเข้าได้ปีละ 75 ล้านบาท หรือ 0.36 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าที่เหมาะสมเพิ่มประมาณ 5.40 บาท (จากราคาที่เหมาะสมปัจจุบันที่ 35 บาท)
ซึ่งนับจากต้นปีมาค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาประมาณ 2 บาท จาก 33.5 บาท/เหรียญ มาอยู่ที่ประมาณ 31.5 บาท/เหรียญ ในปัจจุบัน (หากค่าเงินบาทอยู่ในระดับนี้ ณ สิ้นปี เราคาดว่าบริษัทจะมีต้นทุนการนำเข้าถ่านหินลดลง 150 ล้านบาท หรือ 0.72 บาท/หุ้น โดยสมมติให้ปัจจัยอื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลง)
นอกเหนือจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะเป็นบวกต่อผลกำไรของบริษัทแล้ว ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน เป็น 1.5 ล้านตัน รวมถึงการปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 25% และการเปิดใช้คลังสินค้าและท่าเทียบเรือใหม่ที่จะลดต้นทุนได้60-70 ล้านบาทในปีนี้และการจำหน่ายถ่านหินอัดก้อนเดือนละ 15,000 ตัน (ช่วยเพิ่มรายได้และผลกำไรประมาณ 40-50 ล้านบาท/ปี)
ด้านนายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai จำนวน 49 แห่ง รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2550 ปรากฎว่าบริษัทจดทะเบียนใน mai มีรายได้รวมทั้งสิ้น 44,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 40,179 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% โดยมีกำไรสุทธิรวม 1,961 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 2,181 ล้านบาท หรือลดลง 10% ทั้งนี้มีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 41 บริษัท คิดเป็น 84% และบริษัทที่ขาดทุนสุทธิ 8 บริษัท คิดเป็น16%
สำหรับบริษัทที่มีกำไรสุทธิประจำปี 2550 เกิน 100 ล้านบาท มีจำนวน 8 แห่ง ได้แก่บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS มีกำไรสุทธิ 364 ล้านบาท
บริษัท ยูนิมิต เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผมหาชน) หรือ UEC มีกำไรสุทธิ 330 ล้านบาท บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) หรือ มีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO มีกำไรสุทธิ 145 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท ถิรไทยจำกัด (มหาชน) หรือ TRT มีกำไรสุทธิ 121 ล้านบาท บริษัท ซี.ไอ. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CIG มีกำไรสุทธิ 107 ล้านบาท บริษัท มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL มีกำไรสุทธิ 106 ล้านบาท และบริษัท โรงพยาบาล ไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNH มีกำไรสุทธิ 101 ล้านบาท
ทั้งนี้ UMS-UEC-GFM ทำสถิติบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 1 ใน 5 อันดับแรกตั้งแต่ผลการดำเนินงานประจำปี 2548 เป็นต้นมา
นายชนิตร กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชะลอตัวทางด้านเศรษฐกิจในปี 2550 ซึ่งแม้ว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาวัสดุก่อสร้าง ราคาน้ำมันและค่าขนส่ง ตลอดจนปัจจัยค่าเงินบาท
ประกอบกับปีที่ผ่านมาการลงทุนภาครัฐชะลอตัว ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากงานด้านโครงการลดลง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสำหรับผลประกอบการปี 2550 ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง อุตสาหกรรมสื่อและบริการ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
วันที่ 07 มี.ค. 2551 แสดงข่าวมาแล้ว 1ช.ม. 37นาที
UMS Price %Change High Low P/E BV
29.00 0.00 % 29.00 28.75 11.56 6.02
UEC Price %Change High Low P/E BV
8.10 1.89 % 8.15 7.85 13.77 3.95
DEMCO Price %Change High Low P/E BV
4.98 -2.35 % 5.05 4.98 9.32 2.59
TRT Price %Change High Low P/E BV
9.60 -1.03 % 9.70 9.60 8.11 1.97
CIG Price %Change High Low P/E BV
4.72 0.00 % 4.78 4.70 11.05 1.62
MILL Price %Change High Low P/E BV
6.15 0.00 % 6.15 6.15 36.18 N.A.
TNH Price %Change High Low P/E BV
6.30 0.00 % 6.30 6.30 11.20 3.02
http://www.kaohoon.com/pg.newspaper/fir ... ?cid=13687