หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ครม.ไฟเขียวลดภาษี16ข้อกระตุ้น ศก.

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 05, 2008 9:18 am
โดย vichit
ครม.ไฟเขียวลดภาษี16ข้อกระตุ้น ศก.

แจงช่วยเหลือทุกกลุ่ม

       ครม.ไฟเขียวลดภาษี 16 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แจงช่วยเหลือทุกกลุ่มทั้งมนุษย์เงิน
เดือน-เอสเอ็มอี-เอกชน แถมเพิ่มวงเงินลดหย่อยเบี้ยประกันชีวิตจาก 5 หมื่น เป็น 1 แสน พร้อม
กระตุ้นการออมให้หักภาษีแอลทีเอฟ-อาร์เอ็มเอฟ เพิ่มเป็น 5 แสนบาท ลดภาษีนิติบุคคลให้
วิสาหกิจ -เอสเอ็มอี แถมลดภาษีให้บจ.เหลือ 25% เป็นเวลาอีก 3 ปี เตรียมไขก๊อกระลอก 2 ใน
เดือน มี.ค.นี้ ปลัดคลังชี้เป็นมาตรการภาษีครั้งใหญ่ในชีวิต ระบุไม่ได้ช่วยแค่คนรวยแต่ช่วย
ทุกกลุ่ม
        ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 12.00 น. วันที่ 4 มี.ค. นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและ รมว.
คลัง พร้อมด้วยนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการ
คลัง และนายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกันแถลงข่าวมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นและ
ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ใช้เวลานานร่วม 1 ชม. เพื่อชี้แจงรายละเอียดและตอบข้อซักถามทั้งหมด โดย
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบมาตรการดังกล่าวแล้วรวม 16 มาตร การ ซึ่งจะ
ช่วยลดรายจ่ายให้กับประชาชนเพื่อมีเงินไปจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และช่วยกระตุ้นการลงทุนของ
ภาคเอกชนให้มากขึ้น แม้ว่ารัฐต้องสูญเสียรายได้ปีละ 42,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่าเมื่อประชาชน
มีกำลังซื้อ มีการซื้อขาย มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น จะทำให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น
มากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อภาคเอกชนมีการลงทุนมากขึ้น ก็ส่งผลให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้
มากกว่าเงินที่เสียไป ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของรัฐบาลมากนัก
         นอกจากนี้ภายในเดือน มี.ค. เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกระลอกที่ 2 ซึ่งเกี่ยว
ข้องกับรากหญ้า ทั้งกองทุนหมู่บ้าน โครง การเอสเอ็มแอล การกระตุ้นการลงทุนเอกชน รวมถึง
การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจคท์ และยังมีมาตรการอย่างต่อเนื่อง ก็มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทย
ในปี 51 นี้จะเติบโตได้ถึง 6% แน่นอน โดยทุกมาตรการที่ออกมาไม่ได้เน้นที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แต่กระจายในประชาชนทุกกลุ่ม  
         นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง  กล่าวว่า ขอเรียกว่าเป็นมาตรการคืนเงินกลับ
กระเป๋าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะทำให้ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นเพื่อนำไปจับจ่ายใช้
สอย เพราะได้ลดภาษีบุคคลธรรมดาที่มีรายได้น้อยและปานกลาง ส่งเสริมให้มีการออม โดยเพิ่ม
วงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิต หน่วยลงทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรืออาร์เอ็มเอฟ กองทุนรวม
หุ้นระยะยาว หรือแอลทีเอฟ และยังช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยลดภาษีให้กับวิสาหกิจชุมชน ส่งเสริม
ตลาดทุนและระบบธรรมาภิบาล ให้เอกชนเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นมากขึ้น กระตุ้นอสังหาริม
ทรัพย์โดยเฉพาะภาษีธุรกิจเฉพาะได้รับการลดหย่อน ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ลงทุน ก่อน จะทำให้เอกชน
ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อไป มาตรการครั้งนี้มีเงินมากขึ้นและผู้ไม่ได้เสียภาษีก็ได้รับผลดี
        นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการครั้งนี้ถือเป็นมาตรการภาษี
ที่ใหญ่มาก ๆ ครั้งหนึ่งจากที่เคยปฏิรูปภาษีเมื่อปี 35 ที่เปลี่ยนภาษีการค้าเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม และ
ปรับเปลี่ยนเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีสรรพสามิต เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้มีรายได้ นัก
ธุรกิจ ผู้ลงทุน ในหลายระดับทั้งฐานราก ระดับกลางและผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ด้วย
        ทั้งนี้แยกเป็นมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนและช่วยเหลือผู้ด้อย โอกาสทาง
สังคม เช่น การเพิ่มเงินได้สุทธิที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 1 แสนบาท เป็น
1.5 แสนบาท เพิ่มวงเงินยกเว้นและหักค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตเป็น 1 แสนบาท, เพิ่มวงเงิน
หักค่าลดหย่อนเงินได้ในการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรืออาร์เอ็มเอฟ เงินสะสม
เข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการ (กบข.) เงินลงทุนใน
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว เช่น แอลทีเอฟ จากเดิม 3 แสนบาท เป็น 5 แสนบาท มีผลในปีภาษี 51
เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังเพิ่มการหักค่าลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคู่สมรส บิดา มารดา บุตร ที่
พิการอีก คนละ 30,000 บาทต่อคนพิการ 1 คน ซึ่งจะมีผลเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้
        นอกจากนี้ยังมีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจชุมชน และวิสาหกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับวิสาหกิจชุมชนที่มีรายได้
ไม่เกินเดือนละ 1 แสนบาทตั้งแต่ปี 51-53 การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับเอสเอ็มอี ใน
ส่วนของกำไรสุทธิตั้งแต่ 1.5 แสนบาทแรก ส่วนที่เหลือเสียตามปกติ ส่วนมาตรการสุดท้ายคือ
มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเอกชนไทย ทั้ง
การหักค่าเสื่อมราคาได้พิเศษหากเปลี่ยนเป็นเครื่องจักรที่ประหยัดพลังงานซึ่งหักได้ 1.25 เท่า ไป
จนถึงปี 53 และหากเอกชนลงทุนในเครื่องจักรยังหักค่าเสื่อมราคาได้มากถึง 40% ในปีแรก ส่วน
ที่เหลือหักตามปกติ เท่ากับว่าหากลงทุนในปีแรกจะหักค่าเสื่อมได้มากถึง 52% ซึ่งจะช่วยจูงใจ
ให้เอกชนเร่งลงทุนโดยเร็ว หลังจากที่รอกันมานานเพราะเครื่องจักรเต็มการผลิตเต็มทีแล้ว
       นายศุภรัตน์ กล่าวว่า มาตรการนี้ยังช่วยกระตุ้นตลาดทุนได้อีกทางหนึ่งเพราะกำหนดให้
เอกชนที่เข้ามายื่นขอการจดทะเบียนหรือไฟลิ่ง ภายในปีนี้และนำหุ้นไปซื้อขายในปี 52 จะได้รับ
ยกเว้นภาษีเหลือ 25% ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และเหลือ 20% ในตลาด
เอ็มเอไอ เป็นเวลา 3 ปี ส่วนบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้วจะได้รับสิทธิเช่นกันโดยบริษัทที่จด
ทะเบียนใน ตลท.ที่มีกำไรสุทธิไม่เกิน 300 ล้านบาท จะได้ลดภาษีเหลือ 25% ขณะที่ในตลาด
เอ็มเอไอจะได้ภาษีที่ 20% ในส่วนที่มีกำไรไม่เกิน 20 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี
      นอกจากนี้ยังได้ลดภาษีธุรกิจเฉพาะรวมภาษีท้องถิ่นให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เหลือ เพียง
0.11% จากเดิม 3.3% และลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ จาก 2%
เหลือ 0.01% เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งรวมแล้วเป็นการลดภาษีประมาณ 5% เศษ เพื่อกระตุ้นธุรกิจ
อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหญ่และมีธุรกิจต่อเนื่องมากมายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อ
ไป
       นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
กล่าวว่า การที่กระทรวงการคลังลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่นำหลักทรัพย์เข้าไป
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จาก 30% เหลือ 20% ของกำไรสุทธิ เป็นเวลา 3 รอบระยะเวลา
บัญชีต่อเนื่องกัน คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความคึกคักมากขึ้น เพราะเป็นแรงจูงใจให้
บริษัทจดทะเบียนที่เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วมีภาระด้านผลประกอบการที่ลดลง และมี
กำลังใจในการทำงานมากขึ้น รวมทั้งทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิในปี 51 เติบโตมากขึ้น แต่จะเพิ่ม
อีกเท่าใดนั้นยังระบุไม่ได้ โดยวางเป้าหมายว่าภายในปีนี้จะดึงบริษัทใหม่เข้ามาจดทะเบียนใน
ตลาดหลักทรัพย์ฯให้มากที่สุด จากจำนวนบริษัทที่ยื่นขอจดทะเบียนจำนวน 107 บริษัท

ที่มา เดลินิวส์     วันที่   05/03/08   เวลา   9:13:59