หน้า 1 จากทั้งหมด 1

'แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส' ถล่มหุ้นไทย 'กับระเบิด' ที่เก็บไม่หมด

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 01, 2008 1:26 am
โดย vichit
'แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส' ถล่มหุ้นไทย 'กับระเบิด' ที่ยังเก็บไม่หมด

วิกฤติสินเชื่อที่อยู่อาศัยเครดิตต่ำ หรือ "ซับไพรม์" ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหาย ให้กับประเทศผู้ก่อกำเนิด หรือสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่มหันตภัยนี้ได้สร้างความเสียหายไปทั่วทั้งโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย



ความเสียหายที่ ลุกลาม มาจนถึงตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวาระที่สองของวิกฤติดัชนี SET INDEX ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง จากแรงเทขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจากตัวเลขดัชนีหุ้น 858.10 จุด เมื่อสิ้นปีก่อน 28 ธันวาคม 2550 ดัชนีได้ไหล "รูด" ลงมาถึง 127.41 จุด หรือ 14.84% มาอยู่ที่ 730.69 (ณ 22 ม.ค.2551)

โดยเมื่อคิดเป็นจำนวนเงินที่สูญเสีย นักลงทุนต่างชาติได้เทขายออกไปแล้วทั้งสิ้น 35,000 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี แต่เมื่อนับรวมตั้งแต่ช่วงแรกของการเกิดวิกฤติในช่วงต้นปี 2550 เป็นต้นมา สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินว่าต่างชาติได้ขายหุ้นออกไปแล้วทั้งสิ้น 110,000 ล้านบาท หรือเท่ากับว่าขายออกไปแล้วเกือบ 1 ใน 3 ของเม็ดเงินที่ต่างชาตินำเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ประมาณ 3-4 แสนล้านบาท

ส่วนในต่างประเทศ ประมาณการว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดจากปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐ ได้ลุกลามไปถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากในปีนี้ผู้ที่ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีเครดิตต่ำ จะต้องแบกรับภาระอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามกฎเกณฑ์การปล่อยกู้ที่กำหนดดอกเบี้ยต่ำในช่วงสามปีแรกเท่านั้น

เท่ากับว่าปัญหาซับไพรม์ได้ก่อตัวมาอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครทราบว่าแท้จริงแล้ว ความเสียหายที่เท่าไรกันแน่ และมีแนวโน้มจะระเบิดขึ้นอีกในปีนี้ ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัว

"ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล" ผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาซับไพรม์ไม่ได้มีเพียงแค่การผิดนัดชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยเครดิตต่ำเท่านั้น หากแต่ส่งผลกระทบไปถึงสถาบันการเงินทั่วทั้งโลกที่เข้าไปลงทุนในตราสารประเภทซีดีโอที่อ้างอิงกับซับไพรม์ จะประสบปัญหากับพอร์ตลงทุนที่ด้อยค่าลง จนต้องมีการเทขายหุ้นออกมาเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกถึงจุดตกต่ำพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักเศรษฐศาสตร์ มองว่าสาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยตกลง มาจากปัจจัยลบ "ระยะสั้น" เท่านั้น เนื่องจากในปีนี้ตลาดหุ้นไทยจะมี "ข่าวดี" จากการได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งจะทำให้โครงการลงทุนเมกะโปรเจคกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง และความเชื่อมั่นในการลงทุนและใช้จ่ายของเอกชน ก็จะฟื้นตัวขึ้น ประกอบกับภาคการส่งออกที่ยังเติบโตได้

ในมุมมองของสถาบันการเงินต่างชาติ "คีธ เนรูดา" หัวหน้างานวิจัย บล.ยูบีเอส ประเทศไทย ยังมองว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งอยู่ แต่สาเหตุที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับลดลงนั้น เป็นเพราะอิทธิพลของซับไพรม์คอยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ตั้งแต่ตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นในย่านเอเชียทั้งหมด ในลักษณะปฏิกิริยาลูกโซ่ ไม่เว้นตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งอย่างหั่งเส็งของฮ่องกง นิกเคอิของญี่ปุ่น ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง รวมถึงตลาดหุ้นอินเดียที่รับผลกระทบรุนแรงจนต้องงัดมาตรการ "เซอร์กิต เบรกเกอร์" ขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรก

อย่างไรก็ตามคีธให้ความมั่นใจว่าปัญหาซับไพรม์ ไม่ได้สร้างความเสียหายโดยตรงต่อเศรษฐกิจที่เป็น "Real Sector" ของไทย เช่นการส่งออกเลย รวมถึงบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยหลายแห่งยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งอยู่ และยังมีราคาที่ "ถูก" เมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค

"ปัจจัยลบที่ต้องระวัง คือปัญหาต้นทุนด้านพลังงานและนโยบายภาครัฐที่ปิดกั้นโอกาสลงทุนจากต่างชาติ เช่น พ.ร.บ.ต่างด้าวและมาตรการ 30% มากกว่า" คีธกล่าว

ส่วนเครื่องหมาย "คำถาม" ที่ว่า ปัญหาซับไพรม์จะ "สิ้นสุด" ลงเมื่อใดนั้น "สุกิจ อุดมสิริกุล" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.นครหลวงไทย มองว่า แรงเทขายอย่างรุนแรงของต่างชาติและความวิตกกังวลน่าจะ "สิ้นสุด" ลงในเดือนมกราคม แต่อาจจะยังมีการไหลเข้า-ออกของเงินทุนต่างชาติเป็นระยะๆ ตลอดปีนี้ จึงน่าจะเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีเก็บเข้าพอร์ตในช่วงเวลานี้

ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ยูบีเอส ประเทศไทย ยังให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลสหรัฐจะระดมมาตรการการเงินและการคลังออกมาสกัดกั้นปัญหาซับไพรม์ตลอดทั้งปี ไม่ให้ขยายลุกลามไปมากกว่านี้ รวมถึงความเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยเครดิตต่ำอย่างจริงจัง จึงคาดว่า เมื่อถึงสิ้นปีนี้ ปัญหาอาจจะยังไม่หมดลงอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ความตื่นตระหนกของนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มผ่อนคลายลง และไม่น่าจะเกิดการเทขายอย่างรุนแรงอีกแล้ว

ทางด้านทิศทางตลาดหุ้นไทย สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในจุด "ต่ำสุด" ไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 711 จุด ในกรณีที่ปัญหาการเมืองในประเทศไม่เกิดขึ้นอีก และอาจจะมีการรีบาวด์ขึ้นเป็นช่วงๆ เมื่อวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค ส่วนดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อปิดสิ้นปี 2551 สมาคมนักวิเคราะห์คาดว่าน่าจะกลับมาเป็น "บวก" หรืออยู่เหนือ 858 จุด เมื่อสิ้นปี 2550 ได้ สำหรับจุดสูงสุด คาดว่าจะยืนอยู่ที่ระดับ 915 จุด ได้

แต่ความหวังที่จะขึ้นยืนที่ระดับ 1,000 จุดนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในปีนี้แน่นอน