Thai VI

ผมอยากขอให้ท่านที่ผ่านช่วงที่ลงจาก 1789 จุดลงมา204 ช่วงปี 2537-40(1994-98)

ช่วยแชร์ประสบการณ์กันหน่อยครับ

ว่าตอนนั้นมีเหตุการณ์อะไร....ท่านคิดว่ามันจะแย่หรือดี อย่างไร สุดท้ายคือ...ท่านกระทำ อะไร กับพอร์ตตัวเองบ้างครับ  

8) ยังเป็นวุ้นเยลลี่อยู่เลยครับ

ความเครียด ความหวัง น้ำพักน้ำแรง ความหดหู่ อยากย้อนอดีต แล้วคิดถึงตอน ไม่ได้เล่นหุ้น ชีวิตดีไง แล้วมาเล่นทำไม มีบางคน ฆ๋าตัวตายครับ

อิอิ ฟังเขามาอีกที ตอนนั้นไม่ได้เล่น เลย

เล่นปี 2532 2535 2546 2550 อิอิ

จำได้ว่าดัชนีแถว 1700 จุดนั้นเป็นวันเปิดตลาดวันแรกของปี  ซึ่งก่อนหน้านั้นประมาณ 3 เดือน  เงินทุนจากต่างประเทศไหลท่วมตลาดหุ้นไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ท่ามกลางข่าวดีที่มีมาได้ทุกวัน

และแล้วฟองสบู่ก็แตก  พร้อมกับการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของ FED

ตอนนั้น น่าจะอยู่ ม.ปลายนะ ขนาดไม่ค่อยสนใจ ยังจำข่าวนี้ได้เลย เพราะเปิดทีวีทีไร ก็ได้ยินแต่เรื่องนี้นะ

ตอนนั้น งง ว่า แค่หุ้นตก แล้วทำไมเดือดร้อนไรกันเหรอออออ (แบบว่าไม่รู้เรื่อง)

ยิ่งเคยได้ยินข่าวว่ามีคนยิงตัวตาย ก็ โอ้ว ร้ายแรงขนาดนั้น รู้แต่ว่า เค้าหมดตัว แต่ไม่รู้ว่า ทำไม ยังไง

ส่วนชาวบ้าน ญาติพี่น้อง ก็เลยพูดกันว่า นี่แหละ เล่นหุ้นมันไม่ดี จะเป็นแบบนี้ ระวังหมดตัว ใครได้ยินว่า ใครจะเล่นหุ้น ...ไซโค กันซะเลิกไปเลย

ส่วนตัว ก็คิดแบบนั้นนะ จนได้เพื่อนที่ทำงานนี่แหละ อธิบายให้ฟัง แล้วก็ลองเล่นๆ เอง ... แล้วก็อ่านหนังสือ ของ ดร.นิเวศน์

หลังจากนั้นก็เข้าเว็บ อ่านๆ จากประสบการณ์คนอื่น ...

สรุปก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

ปล.รอฟังประสบการณ์ของท่านอื่น

จำได้ว่าฝรั่งขายแหลก ไม่สนใจราคา ช่วงต้นปี 40 ประมาณ 800 จุดมั๊ง (คล้ายตอนนี้เปล่าไม่รู้ที่ขายแหลก แต่ตอนนี้เป็นปัจจัยภายนอกเมืองไทยมากกว่า) ทำให้รู้ว่าถ้าฝรั่งสั่งขาย แนวรับ (super strong support) ทั้งหลายที่นักวิแคะพูดกันไม่มีอยู่จริง  :'O
ส่วนพอรต์ไม่ได้ทำอะไร เพราะขาดทุนมาก ก็เลยได้ใบหุ้นแทน มีแต่ไฟแนนส์ จากนั้นไม่เคยสนใจหุ้นไฟแนนส์ โบรกเกอร์ทั้งหลายอีกเลย  :evil:

กระทู้รวมคนแก่ ครับ อิอิ  :lol:  :lol:

ขอแชร์ซักกะน้อยแล้วกันนะครับ

เดือนก่อน ฟัง ดร. นิเวศน์พูดว่า p/e ตลาด
ปัจจุบัน นั้น 13 เท่า ซึ่งถือเป็นจุดที่มีความเสี่ยงพอสมควร

ผมกลับไปค้นหาหนังสือประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยมาอ่าน


ช่วงปี 40

เริ่มต้นที่ 13 เท่า ก่อนที่ ต่อมา .. เศรษฐกิจไทยจะบูมบาลาก้า จน เป็น 15 - 17 ในระยะเวลาเพียงแค่ เดือนสองเดือน

ส่งผลให้ ดัชนี้ 1200 เป็น 1500 และ 1700 อย่างรวดเร็ว

ตอนนั้นเริ่มมีคนมาเตือนข่าวร้ายแล้วบ้าง  

แต่ก็ไม่ได้ยิน เพราะ fundflow บางอย่างวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

จนจังหวะ ที่หุ้นร่วงจริงๆแล้ว
มันร่วงแบบ ไม่มีคนเคาะซื้อ  มีแต่ฟลอร์และฟลอร์

แต่ก็แปลกเหมือนกัน.. ว่าตอนมันร่วงนั้น ยังไม่มีข่าวร้ายชัดๆเลย

แต่พอร่วงไปสักพัก ข่าวค่อยออกมาน่ะสิ...

หุ้นเริ่มบูมปลายปี 36 ครับ ตกอย่างแรกวันแรกของปี 37 จาก 1789 (พีอี 31 เท่า) ลงมาประมาณ 1500 จุด แล้วก็ลงมาประมาณ 1200 - 1100 จุด แกว่งไปมา 1200 - 1400 ก่อนเริ่มลงปี 39 แล้วลงหนักอย่างรวดเร็วต้นปี 40

จำได้ว่ามีนักวิพากษ์วิจารณ์หุ้นคนหนึ่งเสียงดัง ๆ ตัวเล็ก ๆ ชื่อขึ้นต้นด้วย ว. บอกว่าหุ้นธนสยาม (DS) ไม่มีทางถูกปิด ให้ไปดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ดู แต่ปรากฎว่าถูกปิดปี 42 (น่าจะเป็นไฟแนนส์สุดท้าย) เลยได้วอลเปเปอร์เพิ่มอีกใบ  :evil:

พี่พอใจเป็นวุ้น ผมพอจำได้ ยังนั่งโจ้เกมแฟมิลี่ อยู่เลยคับ ตอนนั้นที่ทำงานพี่ ประสบกับอะไรบ้างหรอครับ กระซิบหน่อยนะ นะ นะ

พี่เจ๋ง ปีที่บอกว่าเล่น คือ เข้ามาซื้อตอนของถูกแล้วถือ แล้วพอถูกได้ใจอีกก็ซื้อ แล้วถืออีก วนต่อๆไปใช่ไหมครับ

พี่ฉัตรชัยครับ ตอนนั้นที่ peak ตอน1789 เป็นตอนใหม่ปี  1994 หรือ 2537 มีปัจจัยอะไรที่มาทำให้มันลงบ้างหรอครับ

คุณ Dimsum ตอนนี้ก็ท่าทางขายดิบขายดีคล้ายกันครับ แต่คนละเหตุปัจจัยดังที่ว่า ตอนนี้ บ้านเราโดนทุบปี 37 ปัจจัยมันเป็นยังไงพอจะจำไหมครับ

คุณ Sumotin ก็ เข้าใจผิดแล้ว มีแต่คนหนุ่มๆ ที่สมัยนั้นสนใจตลาดตั้งแต่ยังเด็กๆครับ

พี่ crazyrisk ข่าวอะไรบ้างหรอครับ นึกออกไหมครับ

ปล.เอาภาพ SET มาฝาก ตั้งแต่แรกครับ คลิกดูรูปขนาดปกติได้ครับ(รูปดูกว้างใหญ่เกินจอทั่วไป แต่ขนาดไฟล์ไม่ใหญ่นะครับ เลยโพสยังงี้ไว้)

ปล.เอาภาพ SET มาฝาก ตั้งแต่แรกครับ คลิกดูรูปขนาดปกติได้ครับ(รูปดูกว้างใหญ่เกินจอทั่วไป แต่ขนาดไฟล์ไม่ใหญ่นะครับ เลยโพสยังงี้ไว้)

เอาใหม่ครับ ลิงค์ผิด http://upload.itzaa.com/uploads/125e5ef ... f366a6.PNG

ครับ ถูกก็ซื้อ แพงก็ขาย แต่ต้องดูพื้นฐานให้เป็น ไม่ใช่มัวแต่ดูราคาอยู่นั่น

ตอนนั้นบริษัทต่างๆในเมืองไทยมีหนี้สกุลดอลลาร์เยอะไม่ใช่เหรอครับ

พอเงินบาทลดค่า ดอกเบี้ย+หนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว บริษัทก็เจ๊งกันระนาว

นอกจากนั้นส่วนใหญ่ที่เจ๊งก็เป็นแบงค์กับไฟแนนซ์ ... ปล่อยกู้ให้กับอสังหาริมทรัพย์ราคาเกินจริง (คล้ายๆซับไพรม์) กับปล่อยให้คนเล่นหุ้น(ปั่น)

... แต่พื้นฐานในตลาดตอนนี้แตกต่างกับตอนนั้นมากเลยนะครับ

ป.ล. ตอนนั้นยังไม่ได้เล่นหุ้นนะครับ

ช่วงนั้นโชคดี ( ปลายปี36 ) ขายหุ้นหมด Port เลย เพื่อเอาเงินไป
ซื้อบ้าน  พอโอนบ้านต้นปี 38 ขอกู้กับบริษัท SICCA (ล้มไปแล้ว
ตอนปี 40 ) ทาง SICCA ยังยุให้กู้เงินเป็นสกุลดอลล่าร์ แต่ผมไม่เอา
กู้เป็นเงินบาท  ผ่อนบ้านได้ประมาณ 20 เดือน เข้าต้นปี 40 ( ช่วงนี้
ลงทุนในหุ้นเล็กน้อย) ติดตามข่าวเห็นท่าไม่ค่อยดี มีข่าวว่าหลาย
ธนาคารเริ่มมีปัญหา  เริ่มจากธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (ปัจจุบัน
ล้มไปแล้ว)  ผมมีบัญชีกับธนาคารนี้ทั้งออมทรัพย์และกระแสรายวัน
จึงรีบไปปิดบัญชีหมดเลย  ต่อมาก็โปะเงินกู้ของบริษัท SICCA ยอมให้
SICCA ปรับไปหลายตังค์ ฐานไถ่ถอนบ้านก่อนกำหนด  จำได้ว่าไถ่ถอน
เดือนกุมภาพันธ์ 40  พอเดือน เมษาหรือ พฤษภาคม 58 ไฟแนนท์ก็
ถูกปิด  ในช่วงนั้นติดอยู่ คือ LH=26 บาท SCB 23 บาท มาเริ่มลงเงิน
ในหุ้นอีกครั้งก็ประมาณปี 43-44

ก่อนหน้าที่มันจะร่วงหนัก
ตอนนั้น หุ้น pe 40 ยังซื้อขายกันได้
ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะโตไปกว่านี้ได้แล้ว

จำละครเรื่อง บ้านชุดสุดหรรษา
ที่มีคุณรัญยา รับบทเป็น รุ่งทิพย์ ช่างตัดผม ตอนหนึ่ง
ยังจะถือกระชอน ไปช้อนหุ้นเลย
ละคร ทำให้ขำ แต่ สะท้อนให้เห็นว่า ช่วงนั้น
หุ้นถูกกล่าวกันปากต่อปาก ว่า
เป็น หนทางรวได้ในเวลาอันรวดเร็ว

คนสนมาก ราคาพุ่งมาก
เหมือน เรื่องดอกทิวลิปที่ ฮอนแลนด์
หรือ ในเมื่องไทย ที่เคยมีต้นโป๊ยเซียน ขายต้นละ เป็นหมื่น
ท้านที่สุด ราคา มันก็ต้องลงไปสู่ ราคาที่เหมาะสมของมัน

หวังว่า ตอนนี้ คงมีหุ้นหลายตัว อยู่ในราคาที่เหมาะสม
หรือตำกว่ารคาที่เหมาะสมแล้ว นะครับ

ขอขุดนิด


ช่วงนั้น หุ้น พื้นฐานดี ผลประกอบการดี พอจะยืนเขียวสวน ตลาดได้บ้างไหมครับ หรือว่าโดนความกลัวคนขายหนีกันหมด