ขอมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 20, 2004 2:57 pm
ตอนนี้ มีข่าวร้ายมากมายมากระทบกับตลาดหุ้น ไม่ว่าข่าวหวัดนก ข่าวภาคใต้ ข่าวหวัดนกกลายพันธ์ ข่าวคุมเน็ตเซตเติลเมนท์
แต่จริงๆ ผมว่าปัจจัยที่กระทบอย่างตรงไปตรงมาที่สุดกับภาวะตลาดหุ้นตอนนี้ก็คือ ผลประกอบการไตรมาสหนึ่งที่ออกมาครับ ซึ่งเป็นผลประกอบการที่ผสมผสานระหว่างการเติบโตกับการลดลงของกำไรสุทธิ ครับ แล้วทำไมหุ้นเกือบทุกตัวในตลาดร่วงกันหมดละ
ลองดูนะครับ ปูนใหญ่ประกาศผลประกอบการเติบโต 30% ปี 2546 ผลตอบแทนระหว่างราคาวันผลประกอบการกับวันนี้ติดลบครับ
แอดวานซ์ อินโฟร์ เพิ่งประกาศผลประกอบการวันนี้ เติบโตดีมากเกือบร้อยเปอร์เซนต์ และปันผลอีก 2.5 บาท ราคาวันนี้ เท่าเดิมครับ
PSL ประกาศเหมือนกันวันนี้ โตไม่รู้กี่ร้อยเปอร์เซนต์ ราคาวันนี้ ติดลบครับ
ผมคงไม่กล้าบอกว่าราคาในช่วงสั้นบอกอะไรอย่างเป็นนัยะเกี่ยวกับราคาในอนาคตของหุ้นหลายๆ ตัวนี้หรอกครับ แต่ทุกๆ อย่างมันบอก message อันนึงที่ตลาดมองราคาหุ้นครับ นั่นก็คือ ตลาดมีความคาดหวังกับผลประกอบการ ถ้าผลประกอบการเป็นไปตามคาด ก็จะมีผลบวกกับราคาหุ้น ถ้าความคาดหวังกับความจริง ผิดกันไป ราคาหุ้นก็จะมีความผันผวนครับ
ดังนั้นผมมองว่าการที่ตลาดลงในช่วงนี้เป็นช่วงที่ปรับอารมณ์ของนายตลาดให้กลับมามองตลาดหุ้นเมืองไทยแบบมีเป้าหมายที่ลดลงกว่าเดิมครับ ไม่เว่อร์มากเหมือนปีที่แล้ว ที่บรรดาพวกโบรกเกอร์ต้องปรับประมาณการราคาหุ้นและ EPS ให้สูงขึ้นเกือบเป็นรายวัน
ต่อจากตรงนี้กลับมาดูพื้นฐานหุ้นกันว่ามันจะสร้าง EPS ได้มากเท่ากับราคาที่เราจ่ายไปและความเสี่ยงของกิจการได้หรือไม่ ถ้าได้หุ้นนั้นก็ขึ้น ถ้าไม่ได้ หุ้นนั้นก็ลง หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ
อ่านมาตั้งนานแล้วมันเป็นการมองแง่ดียังไงหรือครับ ผมยังมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจนะครับ ว่าปีนี้ การลงทุนภาคเอกชนและรัฐจะเป็นตัวนำเศรษฐกิจในปีนี้ครับ บวกกับการส่งออกที่แม้จะเติบโตลดลงแต่ก็เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจได้อีกปีครับ ดังนั้นผมมองในมุมมองของผมเองว่า ตลาดหุ้นพักฐานเพื่อปรับความคาดหวังในผลประกอบการให้มัน "สมเหตุสมผล" มากขึ้นและไม่เวอร์จนเกินไป หุ้นที่มีผลประกอบการดีเท่ากับความคาดหวัง จะให้ผลตอบแทนดีครับ ถ้าหุ้นไหนมีการคาดหวังกันมากเกินไป ก็โปรดระวังครับ ผลตอบแทนจะลดลงแน่ๆ ถ้ากำไรที่ได้ไม่ได้ตามคาดถึงแม้ว่าจะดีกว่าปีที่แล้วก็เฮอะ
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการเลือกหุ้นในปีนี้ครับ
แต่จริงๆ ผมว่าปัจจัยที่กระทบอย่างตรงไปตรงมาที่สุดกับภาวะตลาดหุ้นตอนนี้ก็คือ ผลประกอบการไตรมาสหนึ่งที่ออกมาครับ ซึ่งเป็นผลประกอบการที่ผสมผสานระหว่างการเติบโตกับการลดลงของกำไรสุทธิ ครับ แล้วทำไมหุ้นเกือบทุกตัวในตลาดร่วงกันหมดละ
ลองดูนะครับ ปูนใหญ่ประกาศผลประกอบการเติบโต 30% ปี 2546 ผลตอบแทนระหว่างราคาวันผลประกอบการกับวันนี้ติดลบครับ
แอดวานซ์ อินโฟร์ เพิ่งประกาศผลประกอบการวันนี้ เติบโตดีมากเกือบร้อยเปอร์เซนต์ และปันผลอีก 2.5 บาท ราคาวันนี้ เท่าเดิมครับ
PSL ประกาศเหมือนกันวันนี้ โตไม่รู้กี่ร้อยเปอร์เซนต์ ราคาวันนี้ ติดลบครับ
ผมคงไม่กล้าบอกว่าราคาในช่วงสั้นบอกอะไรอย่างเป็นนัยะเกี่ยวกับราคาในอนาคตของหุ้นหลายๆ ตัวนี้หรอกครับ แต่ทุกๆ อย่างมันบอก message อันนึงที่ตลาดมองราคาหุ้นครับ นั่นก็คือ ตลาดมีความคาดหวังกับผลประกอบการ ถ้าผลประกอบการเป็นไปตามคาด ก็จะมีผลบวกกับราคาหุ้น ถ้าความคาดหวังกับความจริง ผิดกันไป ราคาหุ้นก็จะมีความผันผวนครับ
ดังนั้นผมมองว่าการที่ตลาดลงในช่วงนี้เป็นช่วงที่ปรับอารมณ์ของนายตลาดให้กลับมามองตลาดหุ้นเมืองไทยแบบมีเป้าหมายที่ลดลงกว่าเดิมครับ ไม่เว่อร์มากเหมือนปีที่แล้ว ที่บรรดาพวกโบรกเกอร์ต้องปรับประมาณการราคาหุ้นและ EPS ให้สูงขึ้นเกือบเป็นรายวัน
ต่อจากตรงนี้กลับมาดูพื้นฐานหุ้นกันว่ามันจะสร้าง EPS ได้มากเท่ากับราคาที่เราจ่ายไปและความเสี่ยงของกิจการได้หรือไม่ ถ้าได้หุ้นนั้นก็ขึ้น ถ้าไม่ได้ หุ้นนั้นก็ลง หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ
อ่านมาตั้งนานแล้วมันเป็นการมองแง่ดียังไงหรือครับ ผมยังมั่นใจในสภาพเศรษฐกิจนะครับ ว่าปีนี้ การลงทุนภาคเอกชนและรัฐจะเป็นตัวนำเศรษฐกิจในปีนี้ครับ บวกกับการส่งออกที่แม้จะเติบโตลดลงแต่ก็เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจได้อีกปีครับ ดังนั้นผมมองในมุมมองของผมเองว่า ตลาดหุ้นพักฐานเพื่อปรับความคาดหวังในผลประกอบการให้มัน "สมเหตุสมผล" มากขึ้นและไม่เวอร์จนเกินไป หุ้นที่มีผลประกอบการดีเท่ากับความคาดหวัง จะให้ผลตอบแทนดีครับ ถ้าหุ้นไหนมีการคาดหวังกันมากเกินไป ก็โปรดระวังครับ ผลตอบแทนจะลดลงแน่ๆ ถ้ากำไรที่ได้ไม่ได้ตามคาดถึงแม้ว่าจะดีกว่าปีที่แล้วก็เฮอะ
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการเลือกหุ้นในปีนี้ครับ