กลยุทธ์ลงทุน 'กองทุน' ปี 2551 แนะลงทุนผสม 'หุ้น-ตราสารหนี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 07, 2008 3:08 am
กลยุทธ์ลงทุน 'กองทุน' ปี 2551 แนะลงทุนผสม 'หุ้น-ตราสารหนี้'
เปิดกลยุทธ์ลงทุนในกองทุนรวมปี 2551 ท่ามกลางความเสี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นที่สูงขึ้น ตลอดจน "การเปลี่ยนทิศ" อัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะเป็นขาขึ้น จำเป็นที่นักลงทุนจะต้องบริหารพอร์ตลงทุนอย่างระแวดระวังยิ่งขึ้น
ผู้บริหารกองทุนรวม แนะจัดพอร์ตลดเสี่ยง "ยืดหยุ่น" ไปมาระหว่างกองทุน "หุ้น" กองทุน "ตราสารหนี้" ตลอดจนกระจายไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม..
--
ปี 2551 เป็นอีกปีที่ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูง และแม้แต่ตลาดตราสารหนี้ ก็กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง จากการคาดการณ์ปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุนรวมต่างมองสอดคล้องกันว่า การลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้เป็นปีที่ท้าทายนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์การลงทุนมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะปัจจัยกระทบจากภายนอกประเทศเป็นสำคัญ
"ตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีนี้ว่า การลงทุนจะมีความผันผวนในช่วงครึ่งแรกของปีจากปัจจัยกระทบภายนอก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และปัญหาซับไพรม์ ตลอดจนราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติผันผวน หรือมีโอกาสที่เงินทุนนอกจะไหลออกจากตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ.."การเมือง" ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
"แม้หุ้นเรายังถูก แต่มีหุ้นให้เลือกลงทุนน้อย ขณะที่ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะสวิงตัวสูงจากผลกระทบปัจจัยภายนอก และการเมืองไทย จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนปีนี้"
เช่นเดียวกับ "กำพล อัศวกุลชัย" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บลจ.ไทยพาณิชย์ ที่มองว่าตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงจากปัจจัยที่ต้องระวังด้านการเมือง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จะเข้ามากระทบการลงทุนของตลาดหุ้นไทย ทำให้เกิดความผันผวนสูงเป็นช่วงๆ
แต่ผู้บริหาร บลจ.ยังเชื่อมั่นว่า โอกาสที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็มีอยู่สูงเช่นกัน
กลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ กำพลบอกว่า สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นด้วยตัวเอง ควรจะเลือกหุ้น "รายตัว" ที่อยู่ในกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่เติบโต เช่น โครงการเมกะโปรเจค หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันสูงขึ้น รวมถึงธุรกิจที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เป็นต้น
"ยามที่ตลาดหุ้นผันผวน ถ้าหากเมื่อใดที่หุ้นตกหรือเป็นขาลง นักลงทุนควรจะเข้าซื้อและขายช่วงหุ้นขึ้น เพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นเป็นระยะๆ เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) หรือกองทุนอาร์เอ็มเอฟ ก็ควรจะทยอยซื้อเมื่อยามหุ้นตกเช่นกัน" ด้านการเลือกลงทุนใน "กองทุนหุ้น" นั้น กำพลให้แนวทางว่า หากสามารถรับความเสี่ยงได้พอควร แนะนำว่าควรจะเลือกลงทุนในกองทุนประเภท "Passive" เช่น กองทุนดัชนี (SET Index) หรือกองทุนดัชนี 50 ซึ่งจะเติบโตตามตลาดรวม ในสัดส่วนรวมกัน 60-70%
ส่วนที่เหลือควรเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นที่เน้น "จ่ายปันผล" ตลอดจนกองทุนที่ลงทุนในหุ้นมูลค่า หรือ Value Stock ซึ่งราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้น สัดส่วนไม่เกิน 10-20%
และให้เลือกลงทุนกองทุนประเภทหุ้นขนาดเล็ก หรือหุ้นที่เติบโตสูง (Growth Stock) ซึ่งน่าจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี แต่ความผันผวนของกองทุนอาจจะสูงไปด้วยอีกราว 10-20%
ส่วนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านลงทุนในกองทุนรวมต่างประเมินว่า ทิศทางของดอกเบี้ยน่าจะเป็น "ขาขึ้น" ในปีนี้ หลังจากที่ดอกเบี้ยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปีที่ผ่านมา แต่เป็นการปรับขึ้นอย่างช้าๆ มากกว่าการปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทั้งปีคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับราว 0.5-1% และคาดว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
"บุญชัย เกียรติธนาวิทย์" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต บอกว่า การที่นักลงทุนจะเลือกลงทุนแบบระยะยาว 1-2 ปี หรือลงทุนแบบมีอายุ (Roll Over) ไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนว่าจะมองแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยอย่างไร
"การที่นักลงทุนตัดสินใจล็อกเงินระยะยาว หรือหมุนรอบไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ลงทุนคิดว่าเทรนด์ดอกเบี้ยปีนี้จะเป็นอย่างไร หากคิดว่าอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นเร็วและแรง เลือกลงทุนแบบโรล โอเวอร์ จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เราเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวอย่างช้าๆ จึงแนะนำว่าควรจะเลือกลงทุนแบบล็อกไว้ระยะสั้น 3-6 เดือน ไว้ก่อนจะเหมาะสมกว่า"
กลยุทธ์ลงทุนในตลาดตราสารหนี้.. กำพลให้แนวทางด้วยว่า นักลงทุนควรจะ "ปรับ" ระยะเวลาการลงทุนให้สั้นลง จะเหมาะสมกว่าในช่วงปีนี้ เพื่อรองรับแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะปรับตัวเป็นขาขึ้น
"โดยควรจะลงทุนในระยะ 3-6 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี จากนั้นเมื่อเงินลงทุนครบอายุ ก็จะได้ลงทุนใหม่ ได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น"
แล้วควรจะเลือกลงทุนในสินค้าแบบไหนในปีนี้..
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน บอกว่า ยังมีสินค้าลงทุนให้เลือกลงทุนไม่น้อยทีเดียว ไล่เรียงตั้งแต่ กองทุนรวมมันนี่มาร์เก็ต กองทุนตราสารหนี้ระยะปานกลาง กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (ECP) และกองทุนพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ควรจะลงทุนระยะสั้น 3-6 เดือน ทั้งที่เป็นตราสารหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ไว้ก่อน
ส่วนแนวทางการ "จัดพอร์ต" ลงทุนให้เหมาะสมสำหรับปีนี้นั้น ตระกูลจิตรให้แนวทางว่า นักลงทุนจำเป็นต้อง "MIX" หรือผสมผสานน้ำหนักการลงทุน หรือยืดหยุ่นระหว่างการลงทุนในกองทุนหุ้น และกองทุนตราสารหนี้ ทั้งที่เป็นการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงลงทุน
ตลอดจนการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ (Non Core) เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจพลังงานทดแทน เป็นต้น
"กรณีนักลงทุนที่ไม่มีเวลา แนะนำว่าให้ลงทุนในกองทุนหุ้นแบบยืดหยุ่นหุ้นและตราสารหนี้ แต่หากมีเวลามากพอ ก็ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนหุ้นหรือหุ้น มากกว่ากองทุนตราสารหนี้ และควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ พลังงานทดแทนไม่เกิน 10% ของพอร์ต"
ขณะที่ "กำพล" ให้แนวทางว่า การจัดสัดส่วนลงทุนรวมปี 2551 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปควรจะแบ่งเงินลงทุนในพอร์ตกองทุนหุ้นราว 30-40% กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นหรือมันนี่มาร์เก็ต 20% และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะ 3, 6 และ 12 เดือน ราว 30% ผลตอบแทนที่ได้รับคาดว่าจะอยู่ราว 5-8%ต่อปี
ส่วนแนวทางการจัดพอร์ตของ "ดร.สมจินต์ ศรไพศาล" กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ แนะแนวว่า การจัดสรรเงินลงทุนในปีนี้ควรแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก ควรเก็บเงินไว้สำหรับสภาพคล่อง เป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน 3-6 เดือน โดยแนะนำให้ฝากเงินกับแบงก์พาณิชย์ หรือลงทุนกับกองทุนมันนี่มาร์เก็ต
ส่วนที่สอง..เป็นส่วนของ "เงินลงทุน" แนะนำให้เลือกโมเดลการลงทุน 3 แบบ ตามความเสี่ยงของตัวเอง โมเดลแรกสำหรับคนที่อนุรักษนิยม ควรแบ่งเงินลงทุนในหุ้น 30% ส่วนที่เหลืออีก 70% ลงทุนในตราสารหนี้
โมเดลสอง.. ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนเท่าๆ กัน และโมเดลสาม..สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 70% และตราสารหนี้ 30%
ด้าน "บุญชัย" ให้คำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนปี 2551 ไว้ว่า ผู้ที่มีเงินออมควรเริ่มมองหาโอกาสในการขยับขยายเงินทองอย่างจริงจัง หากตอนนี้ยังฝากเงินอย่างเดียว ก็ควรจะขยับขยายไปยังสินทรัพย์ลงทุนเสี่ยงขึ้นบ้าง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ตลอดจนเรียนรู้สินค้าการเงิน
ผู้ลงทุนควรลงทุนเพิ่มระดับเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้นราว 10-20% และแนะนำให้สวิตช์ลงทุนเพิ่มไปยังกองทุน "บาลานซ์ ฟันด์" หรือเอฟไอเอฟที่เป็นบาลานซ์ หรือลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น น้ำมัน ทองคำ สินค้าเกษตร เพราะราคาสินค้าคอมโมดิตี้ยังไปได้อยู่
"ในการจัดพอร์ตลงทุนที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม ผมแนะนำให้ฝากแบงก์ 30% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นและปานกลางราว 40% ลงทุนในกองทุนต่างประเทศราว 30% ส่วนที่เหลือลงทุนในกองทุนหุ้น 5-10%" บุญชัยกล่าว
แม้ตลาดการลงทุนในปีนี้จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากผู้ลงทุนรู้จักจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมแต่ละสถานการณ์ ก็จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีไม่ยาก..
++++++++
"กำพล อัศวกุลชัย"
"ผู้ลงทุนทั่วไปควรจะแบ่งเงินลงทุนในพอร์ตกองทุนหุ้นราว 30-40% กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นหรือมันนี่มาร์เก็ต 20% และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะ 3, 6 และ 12 เดือน ราว 30% ผลตอบแทนที่ได้รับคาดว่าจะอยู่ราว 5-8% ต่อปี"
----------
"ดร.สมจินต์ ศรไพศาล"
"ส่วนของเงินลงทุน แนะนำให้เลือกโมเดลการลงทุน 3 แบบ ตามความเสี่ยงของตัวเอง โมเดลแรกสำหรับคนที่อนุรักษนิยม ควรแบ่งเงินลงทุนในหุ้น 30% ส่วนที่เหลืออีก 70% ลงทุนในตราสารหนี้
โมเดลสอง ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนเท่าๆ กัน และโมเดลสาม..สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 70% และตราสารหนี้ 30%"
---------
"บุญชัย เกียรติธนาวิทย์"
"ในการจัดพอร์ตลงทุนที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม ผมแนะนำให้ฝากแบงก์ 30% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นและปานกลางราว 40% ลงทุนในกองทุนต่างประเทศราว 30% ส่วนที่เหลือลงทุนในกองทุนหุ้น 5-10%
เปิดกลยุทธ์ลงทุนในกองทุนรวมปี 2551 ท่ามกลางความเสี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นที่สูงขึ้น ตลอดจน "การเปลี่ยนทิศ" อัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะเป็นขาขึ้น จำเป็นที่นักลงทุนจะต้องบริหารพอร์ตลงทุนอย่างระแวดระวังยิ่งขึ้น
ผู้บริหารกองทุนรวม แนะจัดพอร์ตลดเสี่ยง "ยืดหยุ่น" ไปมาระหว่างกองทุน "หุ้น" กองทุน "ตราสารหนี้" ตลอดจนกระจายไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม..
--
ปี 2551 เป็นอีกปีที่ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูง และแม้แต่ตลาดตราสารหนี้ ก็กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง จากการคาดการณ์ปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุนรวมต่างมองสอดคล้องกันว่า การลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้เป็นปีที่ท้าทายนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์การลงทุนมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะปัจจัยกระทบจากภายนอกประเทศเป็นสำคัญ
"ตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีนี้ว่า การลงทุนจะมีความผันผวนในช่วงครึ่งแรกของปีจากปัจจัยกระทบภายนอก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และปัญหาซับไพรม์ ตลอดจนราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติผันผวน หรือมีโอกาสที่เงินทุนนอกจะไหลออกจากตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ.."การเมือง" ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
"แม้หุ้นเรายังถูก แต่มีหุ้นให้เลือกลงทุนน้อย ขณะที่ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะสวิงตัวสูงจากผลกระทบปัจจัยภายนอก และการเมืองไทย จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนปีนี้"
เช่นเดียวกับ "กำพล อัศวกุลชัย" ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บลจ.ไทยพาณิชย์ ที่มองว่าตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงจากปัจจัยที่ต้องระวังด้านการเมือง เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จะเข้ามากระทบการลงทุนของตลาดหุ้นไทย ทำให้เกิดความผันผวนสูงเป็นช่วงๆ
แต่ผู้บริหาร บลจ.ยังเชื่อมั่นว่า โอกาสที่ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็มีอยู่สูงเช่นกัน
กลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ กำพลบอกว่า สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นด้วยตัวเอง ควรจะเลือกหุ้น "รายตัว" ที่อยู่ในกลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่เติบโต เช่น โครงการเมกะโปรเจค หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันสูงขึ้น รวมถึงธุรกิจที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เป็นต้น
"ยามที่ตลาดหุ้นผันผวน ถ้าหากเมื่อใดที่หุ้นตกหรือเป็นขาลง นักลงทุนควรจะเข้าซื้อและขายช่วงหุ้นขึ้น เพราะเชื่อว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นเป็นระยะๆ เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) หรือกองทุนอาร์เอ็มเอฟ ก็ควรจะทยอยซื้อเมื่อยามหุ้นตกเช่นกัน" ด้านการเลือกลงทุนใน "กองทุนหุ้น" นั้น กำพลให้แนวทางว่า หากสามารถรับความเสี่ยงได้พอควร แนะนำว่าควรจะเลือกลงทุนในกองทุนประเภท "Passive" เช่น กองทุนดัชนี (SET Index) หรือกองทุนดัชนี 50 ซึ่งจะเติบโตตามตลาดรวม ในสัดส่วนรวมกัน 60-70%
ส่วนที่เหลือควรเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นที่เน้น "จ่ายปันผล" ตลอดจนกองทุนที่ลงทุนในหุ้นมูลค่า หรือ Value Stock ซึ่งราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้น สัดส่วนไม่เกิน 10-20%
และให้เลือกลงทุนกองทุนประเภทหุ้นขนาดเล็ก หรือหุ้นที่เติบโตสูง (Growth Stock) ซึ่งน่าจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี แต่ความผันผวนของกองทุนอาจจะสูงไปด้วยอีกราว 10-20%
ส่วนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านลงทุนในกองทุนรวมต่างประเมินว่า ทิศทางของดอกเบี้ยน่าจะเป็น "ขาขึ้น" ในปีนี้ หลังจากที่ดอกเบี้ยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปีที่ผ่านมา แต่เป็นการปรับขึ้นอย่างช้าๆ มากกว่าการปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทั้งปีคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับราว 0.5-1% และคาดว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
"บุญชัย เกียรติธนาวิทย์" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต บอกว่า การที่นักลงทุนจะเลือกลงทุนแบบระยะยาว 1-2 ปี หรือลงทุนแบบมีอายุ (Roll Over) ไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนว่าจะมองแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยอย่างไร
"การที่นักลงทุนตัดสินใจล็อกเงินระยะยาว หรือหมุนรอบไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ลงทุนคิดว่าเทรนด์ดอกเบี้ยปีนี้จะเป็นอย่างไร หากคิดว่าอัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นเร็วและแรง เลือกลงทุนแบบโรล โอเวอร์ จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เราเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวอย่างช้าๆ จึงแนะนำว่าควรจะเลือกลงทุนแบบล็อกไว้ระยะสั้น 3-6 เดือน ไว้ก่อนจะเหมาะสมกว่า"
กลยุทธ์ลงทุนในตลาดตราสารหนี้.. กำพลให้แนวทางด้วยว่า นักลงทุนควรจะ "ปรับ" ระยะเวลาการลงทุนให้สั้นลง จะเหมาะสมกว่าในช่วงปีนี้ เพื่อรองรับแนวโน้มดอกเบี้ยที่จะปรับตัวเป็นขาขึ้น
"โดยควรจะลงทุนในระยะ 3-6 เดือน แต่ไม่เกิน 1 ปี จากนั้นเมื่อเงินลงทุนครบอายุ ก็จะได้ลงทุนใหม่ ได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น"
แล้วควรจะเลือกลงทุนในสินค้าแบบไหนในปีนี้..
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน บอกว่า ยังมีสินค้าลงทุนให้เลือกลงทุนไม่น้อยทีเดียว ไล่เรียงตั้งแต่ กองทุนรวมมันนี่มาร์เก็ต กองทุนตราสารหนี้ระยะปานกลาง กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (ECP) และกองทุนพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ควรจะลงทุนระยะสั้น 3-6 เดือน ทั้งที่เป็นตราสารหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ไว้ก่อน
ส่วนแนวทางการ "จัดพอร์ต" ลงทุนให้เหมาะสมสำหรับปีนี้นั้น ตระกูลจิตรให้แนวทางว่า นักลงทุนจำเป็นต้อง "MIX" หรือผสมผสานน้ำหนักการลงทุน หรือยืดหยุ่นระหว่างการลงทุนในกองทุนหุ้น และกองทุนตราสารหนี้ ทั้งที่เป็นการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงลงทุน
ตลอดจนการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ (Non Core) เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจพลังงานทดแทน เป็นต้น
"กรณีนักลงทุนที่ไม่มีเวลา แนะนำว่าให้ลงทุนในกองทุนหุ้นแบบยืดหยุ่นหุ้นและตราสารหนี้ แต่หากมีเวลามากพอ ก็ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนหุ้นหรือหุ้น มากกว่ากองทุนตราสารหนี้ และควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ พลังงานทดแทนไม่เกิน 10% ของพอร์ต"
ขณะที่ "กำพล" ให้แนวทางว่า การจัดสัดส่วนลงทุนรวมปี 2551 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปควรจะแบ่งเงินลงทุนในพอร์ตกองทุนหุ้นราว 30-40% กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นหรือมันนี่มาร์เก็ต 20% และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะ 3, 6 และ 12 เดือน ราว 30% ผลตอบแทนที่ได้รับคาดว่าจะอยู่ราว 5-8%ต่อปี
ส่วนแนวทางการจัดพอร์ตของ "ดร.สมจินต์ ศรไพศาล" กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ แนะแนวว่า การจัดสรรเงินลงทุนในปีนี้ควรแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก ควรเก็บเงินไว้สำหรับสภาพคล่อง เป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน 3-6 เดือน โดยแนะนำให้ฝากเงินกับแบงก์พาณิชย์ หรือลงทุนกับกองทุนมันนี่มาร์เก็ต
ส่วนที่สอง..เป็นส่วนของ "เงินลงทุน" แนะนำให้เลือกโมเดลการลงทุน 3 แบบ ตามความเสี่ยงของตัวเอง โมเดลแรกสำหรับคนที่อนุรักษนิยม ควรแบ่งเงินลงทุนในหุ้น 30% ส่วนที่เหลืออีก 70% ลงทุนในตราสารหนี้
โมเดลสอง.. ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนเท่าๆ กัน และโมเดลสาม..สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 70% และตราสารหนี้ 30%
ด้าน "บุญชัย" ให้คำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนปี 2551 ไว้ว่า ผู้ที่มีเงินออมควรเริ่มมองหาโอกาสในการขยับขยายเงินทองอย่างจริงจัง หากตอนนี้ยังฝากเงินอย่างเดียว ก็ควรจะขยับขยายไปยังสินทรัพย์ลงทุนเสี่ยงขึ้นบ้าง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ตลอดจนเรียนรู้สินค้าการเงิน
ผู้ลงทุนควรลงทุนเพิ่มระดับเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้นราว 10-20% และแนะนำให้สวิตช์ลงทุนเพิ่มไปยังกองทุน "บาลานซ์ ฟันด์" หรือเอฟไอเอฟที่เป็นบาลานซ์ หรือลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น น้ำมัน ทองคำ สินค้าเกษตร เพราะราคาสินค้าคอมโมดิตี้ยังไปได้อยู่
"ในการจัดพอร์ตลงทุนที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม ผมแนะนำให้ฝากแบงก์ 30% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นและปานกลางราว 40% ลงทุนในกองทุนต่างประเทศราว 30% ส่วนที่เหลือลงทุนในกองทุนหุ้น 5-10%" บุญชัยกล่าว
แม้ตลาดการลงทุนในปีนี้จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากผู้ลงทุนรู้จักจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมแต่ละสถานการณ์ ก็จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีไม่ยาก..
++++++++
"กำพล อัศวกุลชัย"
"ผู้ลงทุนทั่วไปควรจะแบ่งเงินลงทุนในพอร์ตกองทุนหุ้นราว 30-40% กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นหรือมันนี่มาร์เก็ต 20% และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะ 3, 6 และ 12 เดือน ราว 30% ผลตอบแทนที่ได้รับคาดว่าจะอยู่ราว 5-8% ต่อปี"
----------
"ดร.สมจินต์ ศรไพศาล"
"ส่วนของเงินลงทุน แนะนำให้เลือกโมเดลการลงทุน 3 แบบ ตามความเสี่ยงของตัวเอง โมเดลแรกสำหรับคนที่อนุรักษนิยม ควรแบ่งเงินลงทุนในหุ้น 30% ส่วนที่เหลืออีก 70% ลงทุนในตราสารหนี้
โมเดลสอง ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในสัดส่วนเท่าๆ กัน และโมเดลสาม..สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 70% และตราสารหนี้ 30%"
---------
"บุญชัย เกียรติธนาวิทย์"
"ในการจัดพอร์ตลงทุนที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม ผมแนะนำให้ฝากแบงก์ 30% ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นและปานกลางราว 40% ลงทุนในกองทุนต่างประเทศราว 30% ส่วนที่เหลือลงทุนในกองทุนหุ้น 5-10%