หยุดเทรด แล้วเทรดใหม่ เท่าไหร่ดี
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 13, 2007 8:58 am
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 13 ธันวาคม 2550 07:27 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ตลาดหุ้นไทยซึมนักลงทุนรอผลตัดสินคดีปตท.ศุกร์ 14 ธ.ค.นี้ วอลุ่มแค่ 1.3 หมื่นล้าน ขณะที่เฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่คาดการณ์ฉุดหุ้นร่วงทั่วโลก บล.ไทยพาณิชย์ ระบุชัดหากถอนปตท.หุ้นไทยมีโอกาสรูดแตะ 400-550 จุด "สุชาย" เชื่อหุ้นซึมยาวเหตุสารพัดปัจจัยลบยังไม่มีความชัดเจน ลุ้นการจัดตั้งรัฐบาลกระตุ้นความเชื่อมั่น ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมแผนรับมือ ประสานงานทุกหน่วยงานเพื่อไม่ให้กระทบนักลงทุน
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (12 ธ.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ แต่ผลการปรับลดกลับไม่สูงอย่างที่คาดไว้ โดยเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 4.25% ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันด้วยการรอผลคำตัดสินคดีแปรรูปของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 834.09 จุด ลดลง 6.36 จุด หรือ 0.76% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 834.67 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 829.80 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 13,188.10 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 853.08 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,004.84 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,857.92 ล้านบาท
ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ประเมินแนวทางการตัดสินของศาลปกครองออกเป็น 4 แนวทาง แนวทางแรก ศาลตัดสินให้บริษัทไม่ต้องพ้นจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะส่งผลทำให้ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้น
แนวทางที่ 2. ตัดสินให้บริษัทไม่ต้องออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน แต่ให้แยกธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับท่อก๊าซออกมาโดยอาจะให้เป็นการตั้งบริษัทย่อย ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้นของปตท.ประมาณ 3.5-4 บาท และบริษัทจะต้องจ่ายภาษีอากรในเรื่องดังกล่าวให้กรมสรรพากรประมาณ 10,000 ล้านบาท
แนวทางที่ 3. ภาครัฐจะซื้อคืนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับท่อก๊าซ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าทางบัญชีอาจจะสูงถึง 3,000 ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะกระทบต่อราคาหุ้นประมาณ 35-40 บาท และแนวทางสุดท้าย คำสั่งให้ถอดถอนปตท. ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และให้ทำการเสนอซื้อหุ้นคืนทั้งหมดในราคาที่เสนอขายครั้งแรก (IPO) ที่ 35 บาท ซึ่งกรณีดังกล่าวจะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงโดยประเมินว่าดัชนีอาจจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 400-550 จุด
"การแยกธุรกิจท่อก๊าซ หรือรัฐจะเอาท่อก๊าซกลับคืนไปถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงและประชาชน ส่วนกรณีการถอดถอนบริษัทออกจากตลาดหุ้นนั้น จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศได้ จึงคาดว่าศาลจะไม่ตัดสินให้ต้องถอดถอนบริษัทออกจากตลาด"
***หลีกเลี่ยงลงทุนรอผลสรุดที่ชัดเจน
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงวานนี้สอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ลดลงตามดาวโจนส์ บวกกับนักลงทุนมีความกังวลเรื่องการตัดคิดคดีปตท. จึงทำให้มีแรงขายหุ้นปตท.ออกมา
ขณะเดียวกัน ได้มีแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ตามภาวะตลาดที่ปรับตัวลดลง โดยนักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ขายทำกำไรออกมา ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนรอดูความชัดเจนคดีปตท.ก่อน เพราะมีความไม่แน่นอนสูง โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 827-829 จุด แนวต้านที่ระดับ 838-840 จุด
นางศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% มาอยู่ที่ 4.25% ซึ่งน้อยกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 0.50%
นอกจากนี้ กระแสข่าวที่ระบุว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจขึ้น SP หุ้น PTT ในวันที่ 14 ธ.ค.50 เพื่อรอคำสั่งศาลปกครองสูงสุดในคดีเพิกถอนการแปรรูปให้ชัดเจน ทำให้มีแรงเทขายหุ้น PTT ออกมาโดยประเมินแนวรับไว้ที่ 828 จุด ส่วนแนวต้านประเมินไว้ที่ 838 จุด
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากที่รอความชัดเจนการตัดสินคดีของปตทขณะที่ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยลบอื่นเข้ามากระทบ โดยเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนต่อเนื่องจนกว่าผลการตัดสินคดี
**หุ้นซึมยาวปัจจัยลบไม่จบ
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล กรรมการผู้จัดการบล.ฟิลลิป กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นโดยเฉพาะตลาดหุ้นต่างประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลงมากกว่าที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยลบทั้งในเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันเกิดมาจากผลกระทบปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะสรุปอย่างไร ประกอบกับความมั่นใจของนักลงทุนต่อการลงทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยลบหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อยุติ
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นปี 51 มีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในโลกที่ยังน่าจะเคลื่อนไหวในทางลบ แต่ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับข่าวดีบางในเรื่องผลการเลือกตั้งในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นมากน้อยเพียงใดจะต้องติดตามในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะมีเสถียรภาพมากน้อย
**ตลาดหุ้นเตรียมแผนรับมือเต็มที่
แหล่งข่าวระดับสูง กล่าวว่า แผนการในเบื้องต้นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมไว้เพื่อรองรับคำตัดสินที่อาจจะออกมาส่งผลกระทบที่รุนแรงกับตลาดหุ้นไทย เนื่องจากบมจ.ปตท. รวมทั้งบริษัทในเครืออีกหลายบริษัทไม่ว่าจะเป็นบมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP บมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP บมจ.ปตท.เคมีคอล หรือ PTTCH เป็นต้น มีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 30% หากเกิดผลกระทบทางจิตวิทยาก็อาจจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อตลาดหุ้น
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการทดสอบการใช้ระบบบเซอร์กิต เบรคเกอร์ ซึ่งเป็นระบบที่จะหยุดการซื้อขายทันทีเป็นเวลา 30 นาทีหากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงถึงระดับ 10% โดยกรณีดังกล่าวแม้ว่าจะเป็นระบบที่ถูกตั้งไว้อัตโนมัติแต่เพื่อความแน่นอนจึงต้องมีการทดสอบระบบ
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือกับบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เกี่ยวกับคำสั่งซื้อขายในช่วงเวลาดังกล่าวที่อาจจะเข้ามาอย่างหนาแน่นเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบการซื้อขาย และอาจจะกระทบต่อการซื้อขายหุ้นบริษัทอื่นๆ รวมทั้งได้มีการประเมินถึงระบบการจัดการชำระราคาหุ้น หรือ เคลียริ่งเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ
"ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่มีตลาดไหนที่มีหุ้นบริษัทหนึ่งบริษัทใด หรือกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่จนเกือบจะกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นได้อย่างตลาดหุ้นไทย ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่กับตลาดหุ้นไทยว่าจะมีทิศทางอย่างไรต่อไปเพราะผลคำตัดสินที่จะออกมาจะมีผลต่อตลาดหุ้นในทางบวกหรือทางลบโดยตรง" แหล่งข่าวระดับสูง
นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานกำกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.จะประสานงานไปยังบริษัทถ้าหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นโดยจะมีการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องข้อมูลบริษัทที่จะแจ้งให้กับผู้ลงทุนได้ทราบอย่างรวดเร็วที่สุด รวมทั้งจะมีการประสานงานไปยังหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย
"หน้าที่ของเราคือการประสานการนำข้อมูลจากบริษัทจดทะเบียนไปสู่ผู้ลงทุนให้ชัดเจนและเร็วที่สุด โดยบริษัทจะแจ้งผลผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่เท่าเทียมกัน"นายศักรินทร์กล่าว