ปตท. : ประเด็นการถูกฟ้องร้อง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 02, 2007 8:33 am
ปตท. : ประเด็นการถูกฟ้องร้อง
จากกรณีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและพวกรวม 5 คน (ผู้ฟ้องคดี) ได้ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ผู้ถูกฟ้องคดี) ต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาสองฉบับที่ตราขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจฯ) ในกระบวนการแปลงสภาพจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ปตท.)
ประกอบด้วยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2544 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544 โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งลงวันที่ 4 กันยายน 2549 รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา
สำหรับประเด็นสำคัญของการฟ้องร้อง มีดังนี้คือ
๐กระบวนการตราพระราชกฤษฎีกาไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และเนื้อหาขัดต่อบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจฯ และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 (รัฐธรรมนูญ)
๐การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ มีผลทำให้มีการโอนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปให้ ปตท. ที่มีฐานะเป็นเอกชน ทำให้ ปตท. ได้รับเอกสิทธิ์เหนือเอกชนทั่วไป
๐ การที่ ปตท. ได้รับโอนอำนาจมหาชนของรัฐ ได้แก่ อำนาจเวนคืนที่ดิน อำนาจประกาศเขตและรอนสิทธิเหนือพื้นดินของเอกชน ไม่สอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญ
๐ การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ เป็นการใช้ดุลยพินิจไม่ถูกต้อง ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
๐ การตราพระราชกฤษฎีกาไม่คํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน ในขณะที่เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนและนายทุนในตลาดหลักทรัพย?ซึ่งรวมถึงนายทุนต่างชาติด้วยอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงที่จะทําให้ต้นทุนการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาถูกลงแต่อย่างใด
๐ วิธีการกระจายหุ้นของ ปตท. ไม่ได้สร้างโอกาสให้กับประชาชนโดยทั่วไปเพื่อเข้าถึงการซื้อหุ้นได้อย่างเท่าเทียมกัน และปรากฏว่าหุ้นกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น
สรุปการชี้แจงบางส่วนของ ปตท.
-ทุกขั้นตอนการแปรรูป ปตท. ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลเคยวินิจฉัยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจ สิทธิตามกฎหมาย
ปตท. มั่นใจว่าการแปรรูป ปตท. มีความโปร่งใส และดำเนินการถูกต้องทุกขั้นตอนของ พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 โดย ปตท. ได้รับโอนอำนาจ สิทธิ และประโยชน์พิเศษที่มีอยู่ตามกฎหมายเดิม มายังบริษัทใหม่เท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินงานที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมตาม พ.ร.บ.ทุนฯ และสิทธิส่วนนี้จะหมดไปเมื่อ ปตท. มิได้มีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ (รัฐถือหุ้นน้อยกว่า 50%)
ในเรื่องการวางระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อนั้น ศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีคำพิพากษาว่า ปตท. สามารถวางระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อได้ นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยว่าการยุบเลิกรัฐวิสาหกิจ ปตท. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ อีกทั้งการแปรรูป ปตท. ก็ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใด โดยคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกชุด มีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย และกรณีการถือหุ้นของคุณมนู เลียวไพโรจน์ และคุณวิเศษ จูภิบาล ได้รับยกเว้นตาม พ.ร.บ.ทุนฯ มาตรา 12 และมาตรา 18
-กระจายหุ้น IPO โปร่งใส ราคาเหมาะสม มีเม็ดเงินใหม่เพื่อปรับโครงสร้างหนี้และขยายการลงทุน
การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของ ปตท. ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใด เนื่องจากมีการกระจายหุ้นตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ ในราคา IPO ที่ 35 บาทต่อหุ้น ซึ่งการกระจายหุ้น IPO ในครั้งนั้น ได้มีการตรวจสอบโดย ก.ล.ต. ในปี 2545 และราคาหุ้น ปตท. ก็อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและในช่วงนั้น (SET Index 305 จุด) ซึ่งราคาหุ้น ปตท. ก็ขึ้นลงในระดับใกล้เคียงกับราคาจองซื้ออยู่ถึงเกือบปี และบางช่วงก็มีราคาต่ำสุดถึง 29 บาท
ทั้งนี้ด้วยเงินที่ได้จากการระดมทุน บวกกับความคล่องตัวในการบริหารจัดการหลังแปรรูป ทำให้ปตท. สามารถเร่งปรับโครงสร้างหนี้ และปรับโครงสร้างธุรกิจ ประกอบกับการขยายและต่อยอดธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จึงทำให้ราคาหุ้น ปตท. ปรับสูงขึ้นเป็นลำดับ
-อำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ ปตท. เป็นของรัฐและคนไทยตลอดไป เพราะปตท. ยังมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
หลังการแปรรูป ปตท. ยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจมาตลอด ตามมติ ครม.เมื่อปลายปี 2544 ที่กำหนดให้ภาครัฐถือหุ้นใน ปตท. มากกว่า 51% และปัจจุบัน รัฐก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 68% นอกจากนี้เมื่อรวมกับสถาบันการเงิน กองทุนไทย เช่นกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงานประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทต่างๆ และผู้ถือหุ้นรายย่อยไทย อีกประมาณกว่า 12% แล้ว รัฐและคนไทย มีสัดส่วนการถือหุ้น ปตท. รวมกันกว่า 80% จึงเห็นว่า สิทธิและผลประโยชน์ต่างๆ ของปตท. ยังคงเป็นของชาติและประชาชนไทย
-ทุนที่รัฐถือครองอยู่มีมูลค่าเพิ่มจาก 2 หมื่นล้านบาท เป็น 5 แสนล้านบาท หลังแปรรูป ปตท. ส่งเงินเข้ารัฐรวมกว่า 1.4 แสนล้านบาท
การแปรรูป ปตท. ไม่ใช่การขายสมบัติชาติ แต่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสมบัติของชาติ สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ และช่วยให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่เป็นภาระของรัฐ วันนี้ทุนที่รัฐถือครอง 68% มีมูลค่าประมาณ 500,000 ล้านบาท มากกว่าทุนที่รัฐถือครอง 100% ก่อนการแปรรูป ซึ่งมีมูลค่าเพียง 20,000 ล้านบาท เท่านั้น นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. สามารถนำเงินส่งรัฐในรูปภาษีและเงินปันผลตั้งแต่ปี 2545-ปัจจุบัน รวมกว่า 140,000 ล้านบาท และกำไรส่วนที่เหลือได้นำไปใช้เพื่อลงทุนขยายกิจการรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น สร้างความมั่นคงและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ธุรกิจ ปตท. ไม่ได้ผูกขาด ธุรกิจท่อส่งก๊าซ เอกชนลงทุนได้
ธุรกิจก๊าซของ ปตท. ไม่มีการผูกขาด บริษัทที่ได้รับสัมปทานในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสามารถจำหน่ายก๊าซโดยตรงและวางท่อส่งก๊าซได้ภายใต้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และที่สำคัญ ปตท.ไม่ได้เป็นผู้กำหนดโครงสร้างราคาขายก๊าซให้ กฟผ. หรืออัตราค่าผ่านท่อ โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมาตลอดทั้งก่อนและหลังแปรรูป
-ยืนยันการไม่แยกท่อฯ ไม่มีใครเสียประโยชน์ รัฐกำกับค่าผ่านท่อฯ 4 ปี ราคายังคงเดิม
ปตท.จะเดินหน้าแยกกิจการท่อก๊าซ ซึ่งปัจจุบันมีการแบ่งแยกทรัพย์สินและผลการดำเนินงานทางบัญชีอยู่แล้ว โดยจะนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ ปตท. และผู้ถือหุ้นต่อไป
-ปตท.ไม่มีกำไรจากราคาเนื้อก๊าซโดยตรง รายได้เป็นของผู้ผลิตที่ได้รับสัมปทาน และรัฐกำกับดูแลเช่นกัน
สำหรับราคาเนื้อก๊าซ รัฐก็เป็นผู้กำกับดูแลราคาด้วยเช่นกัน และเป็นรายได้ของกลุ่มผู้สำรวจและผลิตที่ได้รับสัมปทานทั้งหมด ปตท.ไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง และในช่วงที่ผ่านมา ปตท.ได้เจรจาลดราคาก๊าซกับกลุ่มผู้ขายได้กว่า 14,000 ล้านบาท และในอนาคตจะทยอยปรับลดอีก โดยหลังแปรรูปราคาก๊าซเพิ่มขึ้นเพียง 27% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้นถึง 143% และราคาก๊าซของไทยก็ยังถูกกว่าอีกหลายประเทศ
-แปรรูปทำให้ฐานะการเงิน ปตท. เข้มแข็ง รับภาระแทนผู้บริโภค
จากฐานะการเงินที่เข้มแข็งหลังการแปรรูป ทำให้ ปตท. เพิ่มขีดความสามารถในการดูแลบริหารกิจการพลังงานในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติได้มากกว่าก่อนการแปรรูป เช่น รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม และการสนับสนุนนโยบายพลังงานของรัฐในการลดราคาก๊าซ เพื่อพยุงค่า Ft ในช่วงวิกฤติพลังงาน สำหรับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นนั้น เป็นการปรับขึ้นตามราคาตลาดโลก แต่ขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ราคาก๊าซหุงต้มของไทยก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าตลาดโลกเช่นกัน โดยสรุปแล้ว ปตท. รับภาระแทนผู้บริโภคในส่วนของราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม และช่วยพยุงค่าไฟฟ้า
-ดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน
ปตท. มีการบริหารจัดการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชน กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี นอกจากนี้ คณะกรรมการ ปตท. ยังเป็นคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในทุกสาขา สามารถกำหนดทิศทางและนโยบายให้ ปตท.เจริญก้าวหน้าเป็นลำดับ
ความเห็นศาลปกครองก่อนหน้านี้ต่อแนวทางการพิจารณาคดี
เมื่อปลายเดือนมกราคม 2550 ตุลาการศาลปกครองสูงสุด คาดจะวินิจฉัยคดีแปรรูป บมจ.ปตท. ได้ภายในช่วง 6 เดือนนี้ (ภายในกรกฎาคม) โดยการวินิจฉัยคดีดังกล่าวไม่มีแนวทางพิเศษที่แตกต่างไปจากคดีอื่น นายจรัญ หัตถกรรม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า คำตัดสินของศาลปกครองครั้งนี้ จะถือเป็นที่สิ้นสุด เนื่องจากเป็นคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด
โดยแนวทางพิจารณาคดี ปตท.จะใช้แนวทางเดียวกับการพิจารณาคดีแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เนื่องจากประเด็นที่ยื่นฟ้อง มีลักษณะเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าคำตัดสินจะต้องออกมาเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน โดยหลักสำคัญสูงสุดของการตัดสิน ขึ้นอยู่กับว่าการแปรรูป ปตท.ขัดต่อกฎหมายตามที่ผู้ร้องยื่นฟ้องมาหรือไม่
ประเด็นการแยกอำนาจรัฐของปตท.ออกมาให้กับภาครัฐ
เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2549 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติหลักการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ ปตท. โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ให้ตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการก๊าซธรรมชาติ เพื่อรับโอนอำนาจรัฐที่อยู่กับ ปตท.มาไว้ที่องค์กรนี้ ก่อนที่จะมีกฎหมายการประกอบกิจการพลังงาน ออกมาในอนาคต อำนาจดังกล่าว ประกอบด้วยอำนาจการประกาศเขต อำนาจการรอนสิทธิเหนือพื้นดินของเอกชน และอำนาจในการเวนคืนที่ดิน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจ และควบคุมการใช้อำนาจทางกฎหมายให้เป็นไปโดยถูกต้อง
ในเรื่องดังกล่าว ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550 พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 2)) โดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 และมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันประกาศดังกล่าว ดังนั้นจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป
มองว่า การโอนอำนาจดังกล่าว ก็เพื่อสร้างความชัดเจน ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน รวมทั้งการมีองค์กรกำกับดูแลดังกล่าวในส่วนของกิจการก๊าซ จะเข้าไปดูแลเฉพาะท่อส่งก๊าซแทน ปตท.ที่เป็นผู้ดูแลก่อนหน้านั้น จะช่วยผ่อนปรนประเด็นการฟ้องร้อง ปตท.ได้ด้วย และจะสร้างเงื่อนไขที่เป็นธรรมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปตท.ยังมีสิทธิการเป็นเจ้าของท่อส่งก๊าซธรรมชาติ แม้จะโอนอำนาจการรอนสิทธิในพื้นที่ให้กลับคืนมาเป็นของรัฐ
หมายเหตุ :ฝ่ายวิจัยฯ ของดความคิดเห็นและตัดบางส่วนในบทความออก โดยเฉพาะในประเด็นที่มีการนำเสนอน้ำหนักการตัดสินครั้งนี้ เพราะคอลัมน์นี้เป็นการนำเสนอในมุมกว้าง
บทความนี้นำมาจากบริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์วันที่ 18 มิถุนายน 2550
จากกรณีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและพวกรวม 5 คน (ผู้ฟ้องคดี) ได้ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ผู้ถูกฟ้องคดี) ต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาสองฉบับที่ตราขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจฯ) ในกระบวนการแปลงสภาพจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ปตท.)
ประกอบด้วยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2544 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544 โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งลงวันที่ 4 กันยายน 2549 รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา
สำหรับประเด็นสำคัญของการฟ้องร้อง มีดังนี้คือ
๐กระบวนการตราพระราชกฤษฎีกาไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และเนื้อหาขัดต่อบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจฯ และไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 (รัฐธรรมนูญ)
๐การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ มีผลทำให้มีการโอนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปให้ ปตท. ที่มีฐานะเป็นเอกชน ทำให้ ปตท. ได้รับเอกสิทธิ์เหนือเอกชนทั่วไป
๐ การที่ ปตท. ได้รับโอนอำนาจมหาชนของรัฐ ได้แก่ อำนาจเวนคืนที่ดิน อำนาจประกาศเขตและรอนสิทธิเหนือพื้นดินของเอกชน ไม่สอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญ
๐ การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ เป็นการใช้ดุลยพินิจไม่ถูกต้อง ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
๐ การตราพระราชกฤษฎีกาไม่คํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน ในขณะที่เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนและนายทุนในตลาดหลักทรัพย?ซึ่งรวมถึงนายทุนต่างชาติด้วยอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงที่จะทําให้ต้นทุนการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาถูกลงแต่อย่างใด
๐ วิธีการกระจายหุ้นของ ปตท. ไม่ได้สร้างโอกาสให้กับประชาชนโดยทั่วไปเพื่อเข้าถึงการซื้อหุ้นได้อย่างเท่าเทียมกัน และปรากฏว่าหุ้นกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น
สรุปการชี้แจงบางส่วนของ ปตท.
-ทุกขั้นตอนการแปรรูป ปตท. ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลเคยวินิจฉัยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจ สิทธิตามกฎหมาย
ปตท. มั่นใจว่าการแปรรูป ปตท. มีความโปร่งใส และดำเนินการถูกต้องทุกขั้นตอนของ พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 โดย ปตท. ได้รับโอนอำนาจ สิทธิ และประโยชน์พิเศษที่มีอยู่ตามกฎหมายเดิม มายังบริษัทใหม่เท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินงานที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมตาม พ.ร.บ.ทุนฯ และสิทธิส่วนนี้จะหมดไปเมื่อ ปตท. มิได้มีสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ (รัฐถือหุ้นน้อยกว่า 50%)
ในเรื่องการวางระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อนั้น ศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีคำพิพากษาว่า ปตท. สามารถวางระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อได้ นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้เคยวินิจฉัยว่าการยุบเลิกรัฐวิสาหกิจ ปตท. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ อีกทั้งการแปรรูป ปตท. ก็ไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใด โดยคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกชุด มีคุณสมบัติถูกต้องตามกฎหมาย และกรณีการถือหุ้นของคุณมนู เลียวไพโรจน์ และคุณวิเศษ จูภิบาล ได้รับยกเว้นตาม พ.ร.บ.ทุนฯ มาตรา 12 และมาตรา 18
-กระจายหุ้น IPO โปร่งใส ราคาเหมาะสม มีเม็ดเงินใหม่เพื่อปรับโครงสร้างหนี้และขยายการลงทุน
การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของ ปตท. ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใด เนื่องจากมีการกระจายหุ้นตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ ในราคา IPO ที่ 35 บาทต่อหุ้น ซึ่งการกระจายหุ้น IPO ในครั้งนั้น ได้มีการตรวจสอบโดย ก.ล.ต. ในปี 2545 และราคาหุ้น ปตท. ก็อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและในช่วงนั้น (SET Index 305 จุด) ซึ่งราคาหุ้น ปตท. ก็ขึ้นลงในระดับใกล้เคียงกับราคาจองซื้ออยู่ถึงเกือบปี และบางช่วงก็มีราคาต่ำสุดถึง 29 บาท
ทั้งนี้ด้วยเงินที่ได้จากการระดมทุน บวกกับความคล่องตัวในการบริหารจัดการหลังแปรรูป ทำให้ปตท. สามารถเร่งปรับโครงสร้างหนี้ และปรับโครงสร้างธุรกิจ ประกอบกับการขยายและต่อยอดธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จึงทำให้ราคาหุ้น ปตท. ปรับสูงขึ้นเป็นลำดับ
-อำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ ปตท. เป็นของรัฐและคนไทยตลอดไป เพราะปตท. ยังมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
หลังการแปรรูป ปตท. ยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจมาตลอด ตามมติ ครม.เมื่อปลายปี 2544 ที่กำหนดให้ภาครัฐถือหุ้นใน ปตท. มากกว่า 51% และปัจจุบัน รัฐก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 68% นอกจากนี้เมื่อรวมกับสถาบันการเงิน กองทุนไทย เช่นกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงานประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทต่างๆ และผู้ถือหุ้นรายย่อยไทย อีกประมาณกว่า 12% แล้ว รัฐและคนไทย มีสัดส่วนการถือหุ้น ปตท. รวมกันกว่า 80% จึงเห็นว่า สิทธิและผลประโยชน์ต่างๆ ของปตท. ยังคงเป็นของชาติและประชาชนไทย
-ทุนที่รัฐถือครองอยู่มีมูลค่าเพิ่มจาก 2 หมื่นล้านบาท เป็น 5 แสนล้านบาท หลังแปรรูป ปตท. ส่งเงินเข้ารัฐรวมกว่า 1.4 แสนล้านบาท
การแปรรูป ปตท. ไม่ใช่การขายสมบัติชาติ แต่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสมบัติของชาติ สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ และช่วยให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่เป็นภาระของรัฐ วันนี้ทุนที่รัฐถือครอง 68% มีมูลค่าประมาณ 500,000 ล้านบาท มากกว่าทุนที่รัฐถือครอง 100% ก่อนการแปรรูป ซึ่งมีมูลค่าเพียง 20,000 ล้านบาท เท่านั้น นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. สามารถนำเงินส่งรัฐในรูปภาษีและเงินปันผลตั้งแต่ปี 2545-ปัจจุบัน รวมกว่า 140,000 ล้านบาท และกำไรส่วนที่เหลือได้นำไปใช้เพื่อลงทุนขยายกิจการรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น สร้างความมั่นคงและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ธุรกิจ ปตท. ไม่ได้ผูกขาด ธุรกิจท่อส่งก๊าซ เอกชนลงทุนได้
ธุรกิจก๊าซของ ปตท. ไม่มีการผูกขาด บริษัทที่ได้รับสัมปทานในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสามารถจำหน่ายก๊าซโดยตรงและวางท่อส่งก๊าซได้ภายใต้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และที่สำคัญ ปตท.ไม่ได้เป็นผู้กำหนดโครงสร้างราคาขายก๊าซให้ กฟผ. หรืออัตราค่าผ่านท่อ โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมาตลอดทั้งก่อนและหลังแปรรูป
-ยืนยันการไม่แยกท่อฯ ไม่มีใครเสียประโยชน์ รัฐกำกับค่าผ่านท่อฯ 4 ปี ราคายังคงเดิม
ปตท.จะเดินหน้าแยกกิจการท่อก๊าซ ซึ่งปัจจุบันมีการแบ่งแยกทรัพย์สินและผลการดำเนินงานทางบัญชีอยู่แล้ว โดยจะนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ ปตท. และผู้ถือหุ้นต่อไป
-ปตท.ไม่มีกำไรจากราคาเนื้อก๊าซโดยตรง รายได้เป็นของผู้ผลิตที่ได้รับสัมปทาน และรัฐกำกับดูแลเช่นกัน
สำหรับราคาเนื้อก๊าซ รัฐก็เป็นผู้กำกับดูแลราคาด้วยเช่นกัน และเป็นรายได้ของกลุ่มผู้สำรวจและผลิตที่ได้รับสัมปทานทั้งหมด ปตท.ไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง และในช่วงที่ผ่านมา ปตท.ได้เจรจาลดราคาก๊าซกับกลุ่มผู้ขายได้กว่า 14,000 ล้านบาท และในอนาคตจะทยอยปรับลดอีก โดยหลังแปรรูปราคาก๊าซเพิ่มขึ้นเพียง 27% ขณะที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้นถึง 143% และราคาก๊าซของไทยก็ยังถูกกว่าอีกหลายประเทศ
-แปรรูปทำให้ฐานะการเงิน ปตท. เข้มแข็ง รับภาระแทนผู้บริโภค
จากฐานะการเงินที่เข้มแข็งหลังการแปรรูป ทำให้ ปตท. เพิ่มขีดความสามารถในการดูแลบริหารกิจการพลังงานในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติได้มากกว่าก่อนการแปรรูป เช่น รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม และการสนับสนุนนโยบายพลังงานของรัฐในการลดราคาก๊าซ เพื่อพยุงค่า Ft ในช่วงวิกฤติพลังงาน สำหรับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นนั้น เป็นการปรับขึ้นตามราคาตลาดโลก แต่ขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ราคาก๊าซหุงต้มของไทยก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าตลาดโลกเช่นกัน โดยสรุปแล้ว ปตท. รับภาระแทนผู้บริโภคในส่วนของราคาน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม และช่วยพยุงค่าไฟฟ้า
-ดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน
ปตท. มีการบริหารจัดการตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชน กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี นอกจากนี้ คณะกรรมการ ปตท. ยังเป็นคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในทุกสาขา สามารถกำหนดทิศทางและนโยบายให้ ปตท.เจริญก้าวหน้าเป็นลำดับ
ความเห็นศาลปกครองก่อนหน้านี้ต่อแนวทางการพิจารณาคดี
เมื่อปลายเดือนมกราคม 2550 ตุลาการศาลปกครองสูงสุด คาดจะวินิจฉัยคดีแปรรูป บมจ.ปตท. ได้ภายในช่วง 6 เดือนนี้ (ภายในกรกฎาคม) โดยการวินิจฉัยคดีดังกล่าวไม่มีแนวทางพิเศษที่แตกต่างไปจากคดีอื่น นายจรัญ หัตถกรรม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด กล่าวว่า คำตัดสินของศาลปกครองครั้งนี้ จะถือเป็นที่สิ้นสุด เนื่องจากเป็นคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด
โดยแนวทางพิจารณาคดี ปตท.จะใช้แนวทางเดียวกับการพิจารณาคดีแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เนื่องจากประเด็นที่ยื่นฟ้อง มีลักษณะเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าคำตัดสินจะต้องออกมาเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน โดยหลักสำคัญสูงสุดของการตัดสิน ขึ้นอยู่กับว่าการแปรรูป ปตท.ขัดต่อกฎหมายตามที่ผู้ร้องยื่นฟ้องมาหรือไม่
ประเด็นการแยกอำนาจรัฐของปตท.ออกมาให้กับภาครัฐ
เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2549 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติหลักการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ ปตท. โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ให้ตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการก๊าซธรรมชาติ เพื่อรับโอนอำนาจรัฐที่อยู่กับ ปตท.มาไว้ที่องค์กรนี้ ก่อนที่จะมีกฎหมายการประกอบกิจการพลังงาน ออกมาในอนาคต อำนาจดังกล่าว ประกอบด้วยอำนาจการประกาศเขต อำนาจการรอนสิทธิเหนือพื้นดินของเอกชน และอำนาจในการเวนคืนที่ดิน ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจ และควบคุมการใช้อำนาจทางกฎหมายให้เป็นไปโดยถูกต้อง
ในเรื่องดังกล่าว ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550 พ.ร.ฎ. (ฉบับที่ 2)) โดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 และมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันประกาศดังกล่าว ดังนั้นจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป
มองว่า การโอนอำนาจดังกล่าว ก็เพื่อสร้างความชัดเจน ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน รวมทั้งการมีองค์กรกำกับดูแลดังกล่าวในส่วนของกิจการก๊าซ จะเข้าไปดูแลเฉพาะท่อส่งก๊าซแทน ปตท.ที่เป็นผู้ดูแลก่อนหน้านั้น จะช่วยผ่อนปรนประเด็นการฟ้องร้อง ปตท.ได้ด้วย และจะสร้างเงื่อนไขที่เป็นธรรมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปตท.ยังมีสิทธิการเป็นเจ้าของท่อส่งก๊าซธรรมชาติ แม้จะโอนอำนาจการรอนสิทธิในพื้นที่ให้กลับคืนมาเป็นของรัฐ
หมายเหตุ :ฝ่ายวิจัยฯ ของดความคิดเห็นและตัดบางส่วนในบทความออก โดยเฉพาะในประเด็นที่มีการนำเสนอน้ำหนักการตัดสินครั้งนี้ เพราะคอลัมน์นี้เป็นการนำเสนอในมุมกว้าง
บทความนี้นำมาจากบริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์วันที่ 18 มิถุนายน 2550