หน้า 1 จากทั้งหมด 1

14 ธ.ค. ปลดล็อค PTT โบรกฯเชื่อหลุดคดีแปรรูป

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 01, 2007 8:31 am
โดย vichit
14 ธ.ค. ปลดล็อค PTT โบรกฯเชื่อหลุดคดีแปรรูป




        14 ธ.ค. ปลดล็อคหุ้น PTT วงการฟังธงหลุดคดีแปรรูปแน่นอน ประเมินแนวทางเป็นไปได้มากที่สุด โอนสินทรัพย์-ท่อก๊าซ ออกไปยังบริษัทใหม่ แต่มูลค่าหุ้นจะลดลง 3.6-4.3 บาทต่อหุ้น ขณะที่ พ.ร.บ.พลังงานฉบับใหม่ แก้ข้อครหาผูกขาดธุรกิจ โบรกฯยังตบเท้าเชียร์ซื้อ ฟินันซ่าให้เป้าหมายสูงลิ่ว 500 บาท พร้อมระบุสตอรี่ใหม่ขยายการลงทุนในอียิปต์ เพิ่มมูลค่าในอนาคต  
       ในวันศุกร์ที่ 14 ธ.ค. นี้คดีประวัติศาสตร์ กรณีมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้ศาลฯ มีคำสั่งยกเลิก พรก. กำหนดอำนาจสิทธิประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และ พ.ร.ฎ กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 เพื่อแปรรูป การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ที่มีการยื่นฟ้องกันตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 2549 จะถึงจุดสิ้สุด เมื่อศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำตัดสินในเวลา 10.00 น. ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่กดดันราคาหุ้นของ ปตท. หรือ PTT มาโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นหุ้นที่มาร์เก็ตแคปใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นเป้าหมายของกองทุนทั้งในและต่างประเทศก็ตาม แต่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง ก็จะถูกหยิบยกประเด็นการฟ้องร้องขึ้นมา กดให้ราคาหุ้นต้องอ่อนตัวลงไปทุกครั้ง
         ในวันที่ 14 ธ.ค. นี้จึงถือเป็นวันที่ PTT จะพ้นจากมลทินและปัจจัยลบดังกล่าว เพราะเป็นที่คาดหมายกันว่าคำตัดสินของศาลฯ น่าจะออกมาในลักษณะที่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดทุน ที่ถือเป็นอีกภาคหนึ่งที่มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมไปถึงความน่าเชื่อถือในสายตาของต่างชาติ

**ศาลฯ นัดชี้ชะตา 14 ธ.ค. นี้ 10.00 น.
         นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) เปิดเผยว่า ศาลปกครองสูงสุดได้นัดพิจารณาคดีทางวาจาระหว่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีกับ บมจ.ปตท.ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้อง โดยในวันนี้ทั้ง 2 ฝ่ายได้เข้าแถลงด้วยวาจาและเอกสารพร้อมทั้งเสนอปิดคดีทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 ธ.ค.2550 ในเวลา 10.00 น.
         'ส่วนตัวเชื่อมั่นคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดและเคารพในการตัดสินใจของศาลฯ โดยที่ผ่านมาทำงานด้วยเจตนาสุจริตและทำเพื่อสังคมมาโดยตลอด'นาย
ประเสริฐกล่าว
         ด้านแหล่งข่าวจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายได้เข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยในส่วนของปตท.ได้ชี้แจงการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ.กำกับธุรกิจพลังงานที่ผ่านร่าง สนช. โดยระบุว่า หลังจาก พ.ร.บ.ดังกล่าวออกมาจะทำให้ทุกอย่างมีความชัดเจนขึ้น มีเรคกูเลเตอร์กำกับดูแลท่อก๊าซ ไฟฟ้า และธุรกิจอื่นๆ ของปตท.
         นางสาวรสนา โตสิตระกูล ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า เชื่อว่าคำฟ้องและเอกสารที่ยื่นต่อศาลปกครอง มีหลักฐานที่หนักแน่นพอ ที่จะทำให้ผลการตัดสินเป็นไปตามที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟ้องร้อง บมจ.ปตท. นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวม 3 คน โดยขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอน พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจสิทธิประโยชน์ของ บมจ.ปตท. พ.ศ.2544 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544
         นางสาวรสนา กล่าวต่อว่า ล่าสุดที่ราคาก๊าซ LPG มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นนั้น หาก ปตท.คืนแหล่งผลิตก๊าซที่อ่าวไทยให้เป็นสมบัติของชาติก็อาจจะไม่ส่งผลให้ราคาก๊าซและราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นแพงเหมือนเช่นปัจจุบันนี้

**ดีบีเอส เปิด 3 แนวทาง ตัดสินคดี ปตท.
         แม้ว่าขณะนี้ตลาดมองว่าผลการตัดสินจะส่งผลกระทบต่อ PTT ไม่มาก แต่เราก็ไม่สามารถละเลยความเสี่ยงทั้งหมด และได้วิเคราะห์ในทางที่เป็น Downside risk 3 กรณี คือ 1) การ De-listed เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะต้องใช้เม็ดเงินมากถึง 4.87 แสนล้านบาทมาซื้อหุ้น PTT คืน (คิดจากราคาตลาดปัจจุบัน), 2) การโอนท่อส่งก๊าซออกจาก PTT ไปยังหน่วยงานรัฐ กรณีนี้มองว่ามีโอกาสน้อย แต่หากเกิดขึ้นจะทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และหนี้สิน PTT ลดลง ยังผลให้มูลค่าหุ้นจะลดลง 44 บาท หรือ 10% จาก 458 บาทเป็น 414 บาท ซึ่งยังมี Upside จากราคาปิด 14%, และ 3) การโอนท่อส่งก๊าซไปยังบริษัทอื่น แต่ PTT ยังถือหุ้นในบริษัทนี้ 100% ซึ่งตามหนังสือชี้ชวนตอนทำ IPO ทาง PTT ได้ระบุถึงแผนที่จะทำอยู่แล้ว และปัจจุบันได้มีการแยกบัญชีของธุรกิจท่อส่งก๊าซออกมา แต่ยังไม่ได้โอนไปยังบริษัทใหม่ หากต้องทำในกรณีนี้ จะมีภาษีจากการโอนสินทรัพย์เกิดขึ้น เราประมาณการไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ถ้า PTT รับเองทั้งหมด จะทำให้มูลค่าหุ้นลดลง 3.6 บาทต่อหุ้น คือ จาก 458 บาทเป็น 454.4 บาท ซึ่งยังมี Upside จากราคาปัจจุบัน 25%
         ทั้งนี้ เมื่อประมวลภาพทั้งหมดแล้ว เรามองว่า PTT ยังมี Upside สำหรับการลงทุน เพียงแต่ราคาหุ้นมีโอกาสปรับลดลงในระยะสั้นหากความเห็นของศาลออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่ถ้าผลออกมาไม่รุนแรง ก็เป็นโอกาสในการซื้อ

**เคจีไอ ประเมินมูลค่าหุ้นวูบ 4.30 บ. หากต้องโอนสินทรัพย์ให้บริษัทใหม่
         ด้านบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่าแม้ว่าจะไม่สามารถคาดเดาคำตัดสินได้ แต่เราเชื่อว่าโอกาสในการเพิกถอน PTT ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีน้อย เนื่องจากสิทธิในการเวนคืนที่ดินได้ถูกถ่ายโอนไปยังผู้ควบคุมภาครัฐ อย่างไรก็ดี หาก PTT ต้องจัดตั้งบริษัทใหม่ซึ่ง PTT ถือหุ้น 100% PTT จะต้องจ่ายภาษีหากบริษัทฯ มีการถ่ายโอนทรัพย์สินสู่บริษัทฯ ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 12 พันล้านบาท (4.3 บาทต่อหุ้น) หรือ 12.6% ของประมาณการกำไรสุทธิในปี 2551 ของเรา แม้ว่าเราและตลาดฯจะคาดการณ์ผลที่ออกมาในด้านบวก อย่างไรก็ตามเราคาดว่าประเด็นการตัดสินของศาลฯ จะส่งผลกดดันการปรับเพิ่มขึ้นของ PTT จนกว่าคำตัดสินจะมีความชัดเจน

**สตอรี่ใหม่ลงทุนท่อก๊าซในอียิปต์ เพิ่มมูลค่าหุ้น 3.5-7.0 บ./หุ้น
         ทั้งนี้หากไม่นับแรงกดดันในเรื่องของคดีแปรรูปที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ปตท.ถือว่าเป็นบริษัทที่มีแนวทางการขยายการลงทุนที่ดีและเป็นที่จับตา โดยล่าสุดประกาศว่าบริษัทย่อย คือ PTT International (PTT Inter) จะเข้าซื้อหุ้น 25% (36.75 ล้านหุ้น) ใน East Mediteranean Gas Company S.A.E. (EMG) ที่ได้รับสิทธิวางท่อก๊าซในประเทศอียีปต์เป็นมูลค่า 486.9 ล้าน US$ หรือ 13.25 US$/หุ้น คาดว่าดีลจะแล้วเสร็จในกลางธ.ค.50 ทั้งนี้เงินลงทุน 380 ล้านUS$ จะเป็นเงินกู้จาก The National Bank of Egypt
         โดย EMG เป็นบริษัทซึ่งจดทะเบียนใน Free Zone ประเทศอียิปต์ และเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับสิทธิในการวางท่อเพื่อส่งก๊าซจากประเทศอียิปต์ไปขายให้ประเทศอิสราเอลภายใต้ MOU ระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ การก่อสร้างท่อคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธ.ค.50 และปริมาณการซื้อก๊าซอยู่ที่ 7 พันล้านลบ.ม.ต่อปี หรือ 677 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน อายุสัญญา 15 ปี หลังจากนั้นต่ออายุได้ครั้งละ 5 ปี
         บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ ระบุว่า นับเป็นการลงทุนในต่างประเทศใหญ่สุดของ PTT และเป็นไปตามแผนงานของบริษัทที่จะขยายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งประเมินอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ในเบื้องต้นที่ 15% และคาดว่าโครงการนี้จะมีส่วนแบ่งกำไรเข้ามาปีละ 30-60 ล้านUS$ หรือ 1-2 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดเป็น 0.35-0.70 บาทต่อหุ้น PTT และทำให้มูลค่าหุ้น PTT เพิ่มขึ้นประมาณ 3.5-7.0 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิและราคาตามพื้นฐาน เนื่องจากรอรายละเอียดเพิ่มเติม เราคงคำแนะนำซื้อ PTT ราคาตามพื้นฐาน 468 บาท
         ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ต้นทุนการซื้อที่ประมาณ 486.9 ล้านเหรียญถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับงบลงทุนของ PTT ในปี 2550-2554 ที่ 5.5 พันล้านเหรียญ ดังนั้นผลประโยชน์จากการลงทุนดังกล่าวคาดว่าจะไม่ส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญ ต้นทุนการซื้อที่ 13.25 ต่อหุ้น (12.6x ของมูลค่าทางบัญชี) สูงกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ 1.05 ต่อหุ้นอยู่มาก เราเห็นว่าราคาดังกล่าวสูงเกินไปแม้ว่าเราจะเข้าใจว่า PTT จะต้องซื้อในราคาสูงเนื่องจากโครงการ
         1) ได้ผ่านช่วงที่การลงทุนมีความเสี่ยงและพร้อมจะเดินหน้าในเดือน ธ.ค. 2550, 2) มีลูกค้าพร้อมจากการเซ็นสัญญากับ Egyptian General Petroleum Corporation (EGPC) และ Egyptian Natural Gas Holding Company (EGAS) เพื่อซื้อ 677 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน (20% ของการบริโภคในประเทศไทย) เป็นระยะเวลา 15 ปีเพื่อขายให้ลูกค้าหลักคือบริษัทพลังงานแห่งชาติอิสราเอล (Israel Electric Corporation หรือ IEC) เป็นจำนวน 206 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน ในระยะเวลา 15 ปี อย่างไรก็ดีที่ราคาดังกล่าว PTT อ้างว่า
โครงการยังคงจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล ซึ่งคิดเป็นค่า IRR ที่สูงกว่า 15%
         ทั้งนี้ในปัจจุบัน EMG กำลังก่อสร้างระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อ (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 26 นิ้ว ยาว 87.6 กม. ใต้ทะเลและ 2.8 กม. บนบก) จากอียิปต์ไปอิสราเอลโดยมีมูลค่าการลงทุนรวม US$469 ล้านเหรียญ เราเห็นว่าต้นทุนต่อ กม. ที่ 5.2 ล้านเหรียญค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับต้นทุนที่ 1 ล้านเหรียญต่อ กม. ของท่อส่งก๊าซฯ ที่สามของ PTT ในประเทศไทย อย่างไรก็ดี PTT ชี้แจงว่ามีความแตกต่างทางด้านเทคนิคระหว่างการวางท่อส่งก๊าซใต้ทะเลในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอ่าวไทย และการลงทุนนี้ยังรวมศูนย์ส่งออกที่ Al-Arish ในตอนเหนือของอียิปต์และศูนย์นำเข้าที่ Ashqelon ในอิสราเอล
         บทวิเคราะห์ระบุว่า คาดว่าประเทศไทยจะต้องพึ่งก๊าซธรรมชาตินำเข้ามากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในประเทศ ดังนั้นอียิปต์ ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อันดับต้นๆของโลกจึงเป็นประเทศสำคัญในแผนการลงทุนของ PTT เพื่อรักษาการขยายตัวในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในอนาคต ยิ่งกว่านั้นการลงทุนดังกล่าวจะเป็นโอกาสที่ดีของ PTT ในการขยายธุรกิจในตะวันออกกลางและอาฟริกาเหนือเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราคงแนะนำ ซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 450 บาท

**ฟินันซ่าให้เป้าหมายสูงลิ่ว 500 บ.
         ด้าน บล.ฟินันซ่า ระบุว่าข่าวนี้ตอกย้ำแผนการรุกธุรกิจไปต่างประเทศของเครือ PTT อย่างชัดเจน แม้ราคาที่จ่ายซื้อจะมีพรีเมี่ยมกว่า 10 เท่าจาก BV @ 1.05 USD/หุ้น ก็ตาม แต่คุ้มในระยะยาว เพราะโครงการดังกล่าวความเสี่ยงต่ำ (EMG มีสัญญาซื้อวัตถุดิบระยะยาว 15 ปี และมีสัญญาขายก๊าซระยะยาวกับลูกค้าแล้วเช่นกัน) และเงินลงทุนก็ถือว่าน้อยมาก (แค่ ~2% ของสินทรัพย์รวมของ PTT เท่านั้น) จริงๆสิ่งที่ PTT หวังคือจะได้ซื้อก๊าซ LNG และปูทางสู่การลงทุนเพิ่มในอิยิปต์ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงมากด้านปิโตรเลียมโดยเป็นผู้ส่งออก LNG อันดับต้นๆของโลก ซึ่งสอดคล้องกับแผนการนำเข้าก๊าซ LNG เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศเรา (ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีจำกัดและอาจไม่พอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี) ปัจจุบัน PTT อยู่ระหว่างศึกษาโครงการ LNG Receiving Terminal เพื่อรับซื้อ LNG จากต่างประเทศ คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2011
         ส่วนคดีประวัติศาสตร์กรณีแปรรูป เชื่อว่าผลการพิจารณาอาจจะยืดเยื้อ เพื่อรอให้พ.ร.บ. ประกอบกิจการพลังงานมีผลบังคับใช้เสียก่อน ซึ่งขณะนี้นายกฯได้ลงนามร่าง พ.ร.บ. ประกอบกิจการพลังงาน และทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ อำนาจในการดูแลเรื่องการเวนคืน การรอนสิทธิเพื่อสร้างสายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และการรอนสิทธิการสร้างท่อก๊าซฯของ PTT รวมทั้งการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อ จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
         ยังแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 500 บาท Upside 34%
         ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTT เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวน โดยหุ้นเปิดการซื้อขายในแดนบวก มีจุดต่ำสุดที่ 372 บาท และสูงสุดที่ 384 บาท ก่อนที่จะปิดการซื้อขายที่ 380 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเป็นอันดับ 1 ที่ 2,449.23 ล้านบาท