หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ตลท.ชี้ปีหน้าทุนทะลัก8หมื่นล.- ลุยซื้อหุ้นไทย พีอีต่ำ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 30, 2007 7:59 am
โดย vichit
ตลท.ชี้ปีหน้าทุนทะลัก8หมื่นล.- ลุยซื้อหุ้นไทย พีอีต่ำ โดย กระแสหุ้น

ปกรณ์ ประเมินปีหน้าต่างชาติขนเงินซื้อหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท เหตุพีอีต่ำ-เงินบาทแข็ง ดูดทุนเข้ามาเก็งกำไรสองต่อ วอนรัฐบาลใหม่วางนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจน หนุนตลาดทุนเติบโตต่อเนื่อง พร้อมเข็นบริษัทเข้าจดทะเบียนเพิ่มมาร์เก็ตแคป 3 แสนล้านบาท ด้าน"วิจิตร" ชี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวปลายปีหน้า

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวในงานสัมมนา จุดเปลี่ยนและความท้าทายประเทศไทย 2551 ว่า ในปี 51 คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 49 เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(P/E) ต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ประกอบกับค่าเงินบาทมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่เงินสกุลดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงทำให้นักลงทุนนำเงินเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยนักลงทุนต่างประเทศจะได้กำไร 2 เด้ง คือกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น(แคปปิตอลเกน) และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาหุ้นในปีหน้ายังเป็นตัวกดดัน โดยปัจจุบันสัดส่วนจากนักลงทุนต่างประเทศอยู่ที่ 35% ซึ่งปกติจะต้องมากกว่านี้ คืออยู่ที่ 25-40% ขณะที่ปริมาณการซื้อขายต่อวันของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 25-30%

ทั้งนี้ หากปีหน้ามีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทางตลาดฯ อยากให้พิจารณาในเรื่องของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อตลาดฯ แต่ต้องทำให้มีความโปร่งใสและมีประโยชน์กับคนหมู่มาก โดยอยากให้นำเรื่องการแปรรูปบรรจุเป็นวาระแห่งชาติของโครงการพัฒนาตลาดทุน

โดยหากเทียบกับประเทศมาเลเซียจะพบว่ามีรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดประมาณ 40 บริษัท ขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 7 บริษัท ซึ่งการเข้ามาจดทะเบียนของรัฐวิสาหกิจนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่รัฐบาลได้และมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น รวมทั้งจะมีการกระจายรายได้ให้กับพนักงานและครอบครัว

นอกจากนั้นปัจจุบันบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหุ้นไทยที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุดมีเพียง 50 บริษัท ที่มีนักลงทุนต่างชาติเลือกเข้ามาลงทุน ดังนั้น ตลาดฯ จึงเตรียมที่จะหา บจ.ที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนเพิ่ม โดยคาดว่าในปีหน้าจะมีบจ.เพิ่มประมาณ 37 บริษัท และคาดว่าจะทำให้มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากแบงก์ชาติยังคงมาตรการสำรอง 30% ไว้ เชื่อว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีปัญหา เพราะในปีหน้ารัฐบาลมีแผนจะออกพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 5 แสนล้านบาท เพื่อดูดเงินจากระบบไปลงทุนในเรื่องเมกะโปรเจ็กมากขึ้น

ด้านนายวิจิตร สุพินิจ อดีตประธานกรรมการ ตลท. กล่าวว่า ภายหลังจากที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เชื่อว่าจะเห็นเศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปี 52 โดยการฟื้นตัวแบบก้าวกระโดดคงจะได้เห็นช่วงปลายปี 51 ส่วนในแง่ของตลาดทุนยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เนื่องจากตอนนี้ได้มีการพัฒนาไปมากแล้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ภาคการเงิน ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิดและจะต้องมีผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแล เพราะหากภาคการเงินมีปัญหาจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

ทั้งนี้ ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัวอยู่ ซึ่งหากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจคงต้องใช้เวลา เนื่องจากยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไข คือ ซับไพร์ม รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวอยู่ในระดับสูง โดยหากรัฐบาลอยากเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวควรจะมีการกระตุ้นใน 3 ประเด็นใหญ่ๆ การส่งออก การลงทุนของภาครัฐ และนโยบายการเงินการคลังที่เอื้อต่อเศรษฐกิจ