หน้า 1 จากทั้งหมด 1

AP-SPALI-SIRI อ่วมสุดรับบัญชีใหม่

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 30, 2007 7:29 am
โดย vichit
AP-SPALI-SIRI อ่วมสุดรับบัญชีใหม่
* ด้านบิ๊กอสังหาฯ สับแหลก ตัวเลขไม่สะท้อนความจริง




        วงการฯ ฟันธง AP-SPALI-SIRI อ่วมสุดในกลุ่มอสังหาฯ หากมาตรฐานทางบัญชีใหม่ ให้เปลี่ยนการรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น เหตุสร้างไปรับรู้รายได้ไป แต่ LH-QH รอดตัวเพราะสร้างบ้านเสร็จก่อนแล้วจึงขาย แนะสภาวิชาชีพบัญชี ทบทวนรายละเอียดใหม่ หวั่นรายได้ธุรกิจจากนี้แกว่งตัว ขณะที่นายกสมาคมอสังหาฯ ระบุ ผู้ประกอบการบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ ไม่กระทบ แต่คอนโดฯ หนักแน่ เพราะรับรู้รายได้ตามการก่อสร้าง แต่บิ๊ก AP-SIRI-SPALI ยันไม่สะเทือน เพราะรับรู้รายได้เมื่อสร้างเสร็จแล้ว อีกทั้งเชื่อเวลาประกาศใช้ยังอีกนานเตรียมรับมือทัน ด้านLPN-PS มั่นใจไม่กระทบเช่นกัน ส่วน ROJANA-CI ค้านแหลกไม่เห็นด้วย เหตุตัวเลขไม่สะท้อนความจริง หวั่นกระทบภาพรวมทั้งกลุ่ม
       กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับเรื่องมาตรฐานบัญชีใหม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ที่จะมีการปรับปรุงและเขียนในคลอบคลุมมากขึ้น โดยจะเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้จากเดิมที่จะรับรู้รายได้ตามสัดส่วนการก่อสร้าง รับรู้จากใบจอง รับรู้รายได้ตามการโอนสิทธิ มาเป็นรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์แล้วเท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแม้อาจจะยังไม่มีผลในทันที แต่ก็ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ หนาวๆ ร้อนๆ ไม่น้อยทีเดียว เพราะขณะนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะมีการรับรู้รายได้โดยไม่รอจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ตามมาตรฐานใหม่ ดังนั้นหากมีการเปลี่ยนแปลงก็จะส่งผลกระทบทันทีต่อการรับรู้รายได้ รวมไปถึงรายได้รวมของบริษัทอสังหาฯ ที่ยังเน้นการรับรู้รายได้แบบเดิมอยู่ เพราะฉะนั้น
หากอสังหาฯ ต้องปรับเปลี่ยนไปใช้มารตรฐานบัญชีใหม่จริง ผู้ประกอบการในปัจจุบันก็คงจะต้องเตรียมการณ์รับมือเพื่อให้ทันท่วงที เพื่อไม่ให้มาตรบัญชีมีผลต่อผลประกอบการในอนาคต
ดังนั้นจากประเด็นดังกล่าว eFinanceThai.com จึงได้รวบรวมความคิดเห็นจากวงการโบรกเกอร์ เพื่อประเมินบริษัทใดจะได้รับผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่มากที่สุด รวมไปถึงความเห็นของผู้ประกอบการอสังหาฯ ว่าได้รับผลกระทบหรือไม่อย่างไร รวมไปถึงการเตรียมการณ์รับมือหากต้องปรับมาใช้มาตรฐานดังกล่าว


** เกียรตินาคิน ระบุ LH-QH ปลอดภัยสุด เชื่อสภาวิชาชีพบัญชีน่าทบทวนใหม่
            นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เกียรตินาคิน เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า มาตรฐานทางการบัญชีแบบใหม่ ยังมีความไม่ชัดเจนในช่วงเวลาว่าจะมีการประกาศใช้เมื่อไร ดังนั้นจึงยังมีช่วงเวลาผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สามารถปรับตัวได้อยู่ นอกจากนี้คาดว่าทางสภาวิชาชีพบัญชี น่าจะมีการทบทวนรายละเอียดของการปรับปรุงมาตรฐานทางบัญชีใหม่ด้วย ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของผู้ประกอบการในแต่ละปีนั้นมีการเหวี่ยงตัวขึ้นลงมาก
ทั้งนี้ ประเมินว่าบริษัทฯที่ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับวมาตรฐานทางการบัญชีใหม่ คือ บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) และ บมจ.ควอลิตี้ เฮาส์ เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทฯ มีการสร้างบ้านเสร็จก่อนขาย ดังนั้นจึงไม่มีผลแม้ว่า จะมีการใช้มาตรฐานทางการบัญชีใหม่ ส่วนบริษัทฯที่ได้รับผลกระทบนั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ แต่มองว่าบริษัทฯที่มีการรับรู้รายได้ตามการก่อสร้างนั้นจะมีผลกระทบอย่างแน่นอน


* BLS ชี้AP-SPALI-SIRI อ่วมสุด เหตุสร้างไปรับรู้รายได้ไป
            ด้านบทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุถึงผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หากมีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการบัญชีไทยว่า ผลกระทบโดยรวมจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้การรับรู้รายได้จะล่าช้า สำหรับบริษัทที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้วิธีรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ ผลกระทบในทางลบจะเกิดกับคอนโดมิเนียมระดับบน-กลางจนถึงระดับสูง ซึ่งมีการวางเงินดาวน์สูงกว่าคอนโดมิเนียมระดับล่าง โดยในปัจจุบันได้ใช้วิธีการรับรู้รายได้ตามเปอร์เซ็นต์งานที่แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มเป็นไปได้เช่นกันว่าอาจจะมีช่วงระยะเวลาผ่อนผันบ้างสำหรับผู้ประกอบการเพื่อให้ปรับพอร์ตสินทรัพย์
            ทั้งนี้ ประเมินว่า คอนโดมิเนียมระดับสูงของ บมจ.แสนสิริ(SIRI) ทั้งหมดจะได้รับผลกระทบ รวมถึงคอนโดมิเนียม Premier Place ของ บมจ.ศุภาลัย(SPALI) และ Address condo ของบมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP) ก็อาจได้รับผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากก่อสร้างไปรับรู้รายได้ไป
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนมารับรู้รายได้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่นั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน LH และQH ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% แล้วค่อยขาย และยังไม่ส่งผลกระทบต่อ บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท (PS) และบมจ. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ( LALIN ) และ บมจ.แอลพีเอ็น ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เนื่องจากทั้ง 3 บริษัทมีนโยบายการวางเงินดาวน์ต่ำกว่า 20% ก่อนการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ
            ส่วนโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เนื่องจากทุกโครงการนิคมอุตสาหกรรมในขณะนี้ ใช้วิธีอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จในการรับรู้ราย
ได้จากการขายที่ดิน ซึ่งทำให้การรับรู้รายได้ต้องถูกเลื่อนออกไป โดยคาดว่า บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ(ROJANA) จะได้รับผลกระทบทางลบมากที่สุด เพราะนอกจากการขายที่ดิน แล้ว ROJANA กำลังพัฒนาคอนโดมิเนียมมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาทในจีน ซึ่งการลงบัญชีใหม่อาจจะทำให้การรับรู้รายได้ถูกเลื่อนออกไป ทำให้กำไรในที่คาวดว่าจะได้นั้นปรับลดลง
ทั้งนี้ แนะนำให้ ซื้อ LH ให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 9 บาท และ PS ให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 9.30 บาท และให้ ซื้อเก็งกำไร AP ให้ราคาเหมาะสมไว้ที่ 7 บาท


*นายกอสังหาฯ ชี้ ผู้ประกอบการคอนโดฯ เหนื่อยแน่ รับมาตรฐานบัญชีใหม่
           นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH ในฐานะนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า การปรับเปลี่ยนมาตรฐานทางการบัญชีใหม่เกี่ยวกับการรับรู้รายได้ของภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์นั้น ผู้ประกอบการที่ทำโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ จะไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันผู้ประการในกลุ่มดังกล่าวมีการรับรู้รายได้ เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ และรับรู้รายได้เมื่อวางเงินดาวน์เกิน 20% อยู่แล้ว ดังนั้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
           ขณะที่ ผู้ประกอบการที่มีโครงการคอนโดมิเนียม จะได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้ตามการจอง และตามการก่อสร้าง โดยหากก่อสร้างเสร็จ 10% จะมีการรับรู้รายได้เข้ามา ซึ่งการก่อสร้างคอนโดมิเนียมนั้นใช้เวลานานกว่าจะก่อสร้างเสร็จ ประมาณ 2-3 ปี ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้ จะทำให้ในช่วง 2-3 ปีแรกที่ยังไม่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ประกอบการจะไม่มีรายได้เข้ามาเลย
           อย่างไรก็ดี ในส่วนของ NCH ก็ไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากบริษัทฯ มีแต่โครงการที่เป็นบ้านเดี่ยว และบ้านจัดสรร ซึ่งมีการรับรู้รายได้เมื่อ โอนกรรมสิทธิ์ และวางเงินดาวน์เกิน 20% อยู่แล้ว


* SIRI ยันไม่กระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่ แม้สร้างโครงการไป-รับรู้รายได้ไป
            นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่าถึงแม้บริษัทฯ จะมีการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์และทยอยรับรู้รายได้ไปพร้อมๆ กันด้วย แต่คงจะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่ทางสภาวิชาชีพทางบัญชี มีการปรับเปลี่ยน มาตรฐานทางบัญชีแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้รายได้ของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมีการเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้จากเดิมที่รับรู้ตามสัดส่วนการก่อสร้าง รับรู้จากใบจอง รับรู้รายได้ตามการโอนสิทธิ เป็นรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์แล้วเท่านั้น เพราะมาตรฐานบัญชีดังกล่าวยังไม่ได้นำมาใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนที่จะนำมาใช้อย่างเป็นทางการบริษัทฯ คงจะมีการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับการบันทึกรายได้แบบใหม่
            " ไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะมาตรฐานบัญชีใหม่ยังไม่มีการนำมาใช้ ยังไม่ได้ประกาศเลย อีกอย่างเราก็มีการรับรู้รายได้จากโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จด้วย ส่วนรายได้จากโครงการที่ยังไม่เสร็จเราก็ยังไม่ได้บันทึกรายได้ หรืออาจจะมีบางโครงการที่ก่อสร้างไปรับรู้รายได้ไปก็ไม่ได้รับผลกระทบ สามารถปรับตัวได้กว่าจะนำมาใช้จริง ส่วนโบรกฯ จะมองอย่างไรไม่รู้แต่เราทำไปขายไป ไม่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว " นายเศรษฐา กล่าว


* SPALI ชี้มาตรฐานบัญชีใหม่ ไม่กระทบบริษัท
            นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ศุภาลัย (SPALI) กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานทางบัญชีใหม่นั้น ไม่มีผลกระทบต่อการรับรู้รายได้ของบริษัทฯ เนื่องจากปกติบริษัทฯจะไม่สามารถรับรู้รายได้จากงานโครงการต่างๆ จนกว่าการก่อสร้างจะใกล้เสร็จอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีขอกำหนดนี้ขึ้นมา จึงไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด
           ' ไม่มีปัญหา เพราะดูเหมือนว่ามาตรฐานที่จะเปลี่ยนนี้ ไม่น่าจะผ่าน เพราะส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย กฎตอนนี้ก็เข้มอยู่แล้วน่าจะพอได้แล้ว เพราะคอนโดฯจะสร้างได้ก็ต้องมีคนมาซื้อ และเราเองก็ขายพร้อมโอนอยู่แล้ว และจะรับรู้ไม่ได้จนกว่าตึกจะเสร็จ เพราะฉะนั้น 2 ปีผ่านไปตึกไม่เสร็จ เราก็รับรู้ไม่ได้อยู่แล้ว ' นายประทีป กล่าว
            สำหรับยอดขายในปีนี้ น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8.8 พัน ล้านบาท เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมามียอดขายอยู่ที่ 7.3 พันล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 4 มียอดขายรอโอนอยู่ รวมมูลค่า 1.73 พันล้านบาท ดังนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่ายอดขายน่าจะได้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย


*AP ยันไม่สะเทือน เหตุรับรู้รายได้ตามวงเงินดาวน์ แค่รับคอนโดฯอาจกระทบ
             นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวว่า กรณีที่สมาคมสภาวิชาชีพมีการปรับเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีใหม่โดยให้ปรับเปลี่ยนรายได้รับรู้ของผู้ประกอบการอสังหาฯต่อเมื่อโอนเสร็จ ว่า การปรับเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากระยะเวลาในการโอนสามารถทำได้รวดเร็ว
             อนึ่งบริษัทมีการรับรู้รายได้ตามวงเงินดาวน์ที่ลูกค้าวางไว้ ไม่ได้รับรู้ตามเปอร์เซนต์การก่อสร้าง แต่ก็ยอมรับว่าในด้านของคอนโดฯอาจจะมีผลกระทบบ้าง เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ที่ล่าช้ากว่าโครงการแนวราบ แต่ยังมั่นใจรายได้ปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายเติบโต 10% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 7.12 พันล้านบาท ขณะที่ในปีหน้าตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 8,000 ล้านบาทเติบโต 10% จากปีนี้ เนื่องจากมียอดขายรอรับรู้อย่างต่อเนื่อง
             ทั้งนี้ในปีหน้าบริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่รวมกว่า 10 โครงการมูลค่า ไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท โดยโครงการใหม่ดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 50% และโครงการแนวสูง 50% ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมทุนกับกลุ่มแปซิฟิค สตาร์ 2 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท โดยเตรียมจะเปิดขายไตรมาส 3/51 ได้แก่โครงการคอนโดมิเนียมในย่านสาทร และรัชดาภิเษก ขณะที่โครงการที่เหลือเป็นโครงการที่พัฒนาเอง
             นายอนุพงษ์ กล่าวต่อว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องมีการปรับตัว ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการอสังหาฯ ขนาดเล็กจะทำธุรกิจด้วยความลำบาก เนื่องจากมีปัญหาในเรื่องของเงินทุน ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่จะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้น ในด้านการเปิดโครงการทำเลที่ตั้ง
             ทั้งนี้เชื่อว่าตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยมีความน่าสนใจอย่างมาก ในมุมมองของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตอาจจะได้เห็นนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการอสังหาฯ เนื่องจากที่ดินในต่างประเทศโดยเฉพาะฮ่องกงและสิงคโปร์ มีราคาขายสูงกว่าในประเทศไทยสูงกว่า 10 เท่า ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในประเทศไทยมีมากขึ้น


* บิ๊กCI จวกมาตรฐานฯไม่สะท้อนความจริง ชี้ผู้ประกอบการอาจรวมตัวค้าน
             นายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ (CI) เปิดเผยว่า ในฐานะผู้ประกอบการ ไม่เห็นด้วยกับมาตรฐานบัญชีใหม่ ที่กำหนดให้รับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากทำให้ตัวเลขที่ออกมาไม่สะท้อนยอดขายที่แท้จริง โดยมองว่าการบันทึกบัญชีแบบเดิมคือ การรับรู้ตามสัดส่วนการก่อสร้าง จะทำให้ได้ตัวเลขที่สะ ท้อนผลการดำเนินงานของบริษัทมากกว่า
             ทั้งนี้ในแง่ของผู้ประกอบการอาจจะมีการรวมตัวกันเพื่อคัดค้านการใช้มาตรฐานบัญชีแบบใหม่ ซึ่งประเมินว่าระบบบัญชีใหม่ไม่น่าจะใช้บังคับในเร็วๆนี้
             "เข้าใจว่าธุรกิจอสังหาในต่างประเทศก็ไม่ได้บันทึกรายได้เมื่อโอนกรรมสิทธิ เพราะมันทำให้ตัวเลขไม่สะท้อนความจริง อย่างเช่นผมสร้างคอนโดฯ 3 ปีถึงจะโอน แต่ในช่วงปีที่ 1 หรือ 2 ผมมีรายได้เข้ามาแล้ว หากให้ไปรับรู้รายได้ครั้งเดียว เท่ากับว่า 2 ปีไม่มีรายได้เลย ซึ่งมันไม่ใช่"นายสงกรานต์กล่าว


* ROJANA รับบัญชีใหม่กระทบ ค้านไม่เห็นด้วยหวั่นสะเทือนภาพรวมธุรกิจ
             น.ส.อมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) (ROJANA) กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากสัดส่วนการรับรู้รายได้จะล่าช้าไม่เหมือนที่ผ่านมา
             อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ไม่กังวลเนื่องจากเชื่อว่ามาตรฐานบัญชีดังกล่าวอีกนานกว่าจะประกาศใช และในส่วนของ ROJANA มีรายได้อื่น เช่น รายได้จากสาธารณูปโภค ซึ่งคิดเป็น 50% ของรายได้รวมที่เข้ามาสนับสนุน
             ทั้งนี้โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วย เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย ทั้งในส่วนของดอกเบี้ยและต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการสต็อกสินค้า
             'เชื่อว่ามาตรฐานบัญชีใหม่นี้ต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งบริษัทอสังหาฯใด ที่มีโครงสร้างผูกติดกับอสังหาฯเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีรายได้อื่นมาเสริมก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการสต็อกสินค้าที่ต้องก่อสร้างล่วงหน้าเพื่อให้รับรู้รายได้ทันที แต่เชื่อว่ากว่าจะมีการประกาศใช้มาตรการบัญชีนี้ผู้ประกอบการคงต้องมีการปรับตัวในการรับมือ ซึ่งช่วงแรกอาจจะได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ใช้เวลาอีกสักระยะก็จะเข้าที่เข้าทาง' น.ส.อมรา กล่าว


* LPN คุยมาตรฐานบัญชีใหม่ ไม่กระทบรายได้
              นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่า ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่สภาวิชาชีพทางบัญชี มีการปรับเปลี่ยน มาตรฐานทางบัญชีแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้รายได้ของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมีการเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้จากเดิมที่รับรู้ตามสัดส่วนการก่อสร้าง,ใบจอง และ รับรู้รายได้ตามการโอนสิทธิ เป็นรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์แล้วเท่านั้น เพราะในปัจจุบันบริษัทฯ มีการบันทึกรายได้เมื่อก่อสร้างโครงการและโอนโครงการแล้วเท่านั้น
              ' เรื่องมาตรฐานทางบัญชีใหม่เป็นเรื่องที่พูดคุยกันมาเมื่อ 1-2 เดือนที่ผ่านมาแล้ว อีกทั้งบริษัทฯ ก็มีการบันทึกรายได้เมื่อก่อสร้างโครงการเสร็จและโอนเรียบร้อยอยู่แล้ว ถึงจะมีการนำมาตรฐานทางบัญชีใหม่มาใช้ก็ไม่มีผลกระทบ ' นายโอภาส กล่าว
               เขากล่าวว่า ในปี 2550 รายได้คงจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 6,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีรายได้อยู่ที่ 5,020.49 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทฯ มียอดขายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการลุมพินี สุขุมวิท 77 และโครงการลุมพินีเพลส ปิ่นเกล้า เป็นต้น เพราะมีทำเลดีใกล้แนวรถไฟฟ้า ซึ่งเดินทางสะดวกสบาย ส่วนในปี 2551 ตั้งเป้ารายได้ขยายตัว 20% หรือ 7,500-7,800 ล้านบาทจากปีนี้ ในขณะที่ปัจจุบันยังมียอดขายในมืออยู่ที่ 7,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2552
               ในขณะเดียวกันปีหน้ายังมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 6-7 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยยังคงเน้นเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเหมือนที่ผ่านมา เพราะความต้องการของผู้บริโภคยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเตรียมเงินลงทุนจำนวน 1,500-2,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อที่ดินใหม่ รองรับโครงการที่จะเปิดในอนาคต ซึ่งเงินลงทุนซื้อที่ดินส่วนใหญ่เป็นเงินจากการดำเนินงาน


* PS ระบุ ปัจจุบันรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์อยู่แล้ว
               นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่าจากกรณีที่สภาวิชาชีพทางบัญชี มีการปรับเปลี่ยน มาตรฐานทางบัญชีแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้รายได้ของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมีการเปลี่ยนวิธีการรับรู้รายได้จากเดิมที่รับรู้ตามสัดส่วนการก่อสร้าง,ใบจอง และ รับรู้รายได้ตามการโอนสิทธิ เป็นรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์แล้วเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทฯ เนื่องจากทำตามมาตรฐานทางบัญชีและรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์อยู่แล้ว โดยการบันทึกรายได้ดังกล่าวบริษัทฯ ทำมานานแล้ว
               'เรามีการเตรียมตัวและทำมานานแล้ว ก่อนที่มาตรฐานทางบัญชีใหม่จะออกมา จึงไม่มีผลกระทบต่อรายได้ของเรา แต่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางแห่งอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง ซึ่งตรงนี้เราควรที่จะมีการปรับตัวก่อนที่จะมีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการ' นายประเสริฐ กล่าว
               ส่วนในปีนี้ยังคงประมาณการรายได้ไว้ที่ 9,000-10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีรายได้อยู่ที่ 8,203.81ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักยังคงมาจากโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ส่วนการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมคงจะเริ่มรับรู้ในปี 2551 หลังจากที่บริษัทฯ เพิ่งเข้าไปลงทุนในโครงการดังกล่าวเมื่อช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้แนวโน้มของรายได้เติบโตในทิศทางที่ดี จึงตั้งเป้ารายได้ขยายตัว 20-30% จากปีนี้
               ในขณะที่ปัจจุบันมียอดขายในมืออยู่ที่ 6,100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2551 คงจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาสที่ 4/2550 มีแผนที่จะเปิด 13 โครงการ มูลค่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย โครงการทาวน์เฮ้าส์ 6 โครงการ บ้านเดี่ยว 5 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ

AP-SPALI-SIRI อ่วมสุดรับบัญชีใหม่

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 01, 2007 12:42 am
โดย MO101
ไม่มี SAMCO สงสัยไม่ได้รับผลกระทบ