รัฐเปิดทางต่างชาติอุ้มสถาบันการเงินไทย
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 29, 2007 7:31 am
รัฐเปิดทางต่างชาติอุ้มสถาบันการเงินไทย
ฤกษ์ดีรัฐบาลไทยเปิดทางต่างชาติอุ้มสถาบันการเงินแล้ว ล่าสุดให้โอกาสเข้าถือหุ้นได้เต็มเพดานสูงสุด 49% ด้านผู้ว่า ธปท. ระบุ ต้องรออีก 3 เดือนจึงจะมีผลบังคับใช้ ขณะที่โบรกเกอร์ประเมิน ดีต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ฐานะทางการเงินจะได้แข็งแกร่งขึ้น แต่ บล.กิมเอ็งฯ เตือน อย่าเข้าใจผิดประเด็นสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ ชี้เรื่องนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากกฎหมายปัจจุบัน ที่สถาบันการเงินต้องขออนุญาตเป็นรายกรณี ไม่ใช่ทุกรายได้ทั้งหมด
* สนช. เห็นชอบร่างพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยวานนี้ (28 พ.ย.) ว่า ที่ประชุม สนช. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินในวาระ2 และ 3 แล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยที่ประชุม สนช. มีมติเห็นชอบ 75 ไม่เห็นชอบ 1 และไม่ลงคะแนน 2
เสียง
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบตามคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ของ สนช.ที่แก้ไขจากร่างเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยกำหนดให้สถาบันการเงิน ต้องมีคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% และมีกรรมการที่เป็นคนไทย ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 แต่ในกรณีที่เห็นสมควร ธปท.อาจจะอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 49% และเป็นกรรมการได้มากหนึ่งในสี่ แต่ไม่เกินครึ่งหนึ่ง จากร่างเดิมที่ ธปท.เสนอให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 49% และมีกรรมการเป็นคนไทยไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
นอกจากนี้ ได้เพิ่มเติมในกรณีที่เป็นการแก้ไขฐานะการดำเนินการ หรือเพื่อสร้างความมั่นคงของสถาบันการเงิน ให้อำนาจ รมว.คลัง โดยคำแนะนำของ ธปท. สามารถผ่อนผันให้ต่างชาติสามารถมีหุ้นและมีกรรมการในสถาบันการเงินได้มากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือมากกว่า 49%
ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับแก้ไขนี้ เสนอโดย ธปท. เป็นการรวมกฎหมายธนาคารพาณิชย์ และกฎหมายประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจฟองซิเอร์เข้าด้วยกัน
* โบรกฯ ชี้ดีต่อแบงก์เล็กที่ต้องการพันธมิตร ทั้ง ACL, SCIB, TBANK, BT
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า การที่สภานิติบัญญัติ หรือ สนช. ผ่านร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน เป็นการเปิดทางให้นักลงทุนต่างประเทศสามารถเข้ามาถือครองหุ้นในสถาบันการเงินไทยได้ถึง 49% ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อสถาบันการเงิน
โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่อยู่ระหว่างหาพันธมิตรเข้าร่วมธุรกิจ อาทิ ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL, ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB, ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TBANK, ธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) หรือ BT ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งอยู่แล้ว มองว่าไม่ได้เปิดทางให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นได้
อย่างไรก็ดี การที่นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นเพิ่มในธนาคารพาณิชย์ ก็น่าสนับสนุนเรื่องฐานะความมั่นคงทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และเทคโนโลยีต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ โดยมองว่าการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์จากนี้จะรุนแรงมากขึ้นภายหลังนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพระบบธนาคารพาณิชย์ไทยให้ดีทิศทางเดียวกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ช่วงนี้ ยังแนะนำหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK,ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL,ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY
ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ช่วงนี้ยังไม่แนะนำ โดยหากในอนาคตมีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นและสร้างความแข็งแกร่งให้ คงต้องมาพิจารณาคำแนะนำอีกครั้ง
* ผู้ว่า ธปท. ระบุ กรณี BBL ขายหุ้น ACL ต้องรออีก 3 เดือน
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. จะพิจารณาอีกครั้งว่า กรณีที่กำหนดให้ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ขายหุ้นธนาคารสินเอเชีย (ACL) ให้กับ ICBC ซึ่งเป็นสถาบันการเงินจีนจำเป็นต้องผ่อนผันระยะเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการภายในสิ้นปีนี้ออกไปหรือไม่ เนื่องจากกว่ากฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ที่ผ่านการพิจารณาของ สนช. จะบังคับใช้ ก็อาจใช้เวลาอีกราว 3 เดือน
"หลังจากกฎหมายผ่านการพิจารณาในขั้นตอนของ สนช.แล้ว ยังจำเป็นต้องให้เวลาในการเตรียมการก่อนกฎหมายบังคับใช้ เนื่องจากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่อง" ผู้ว่า ธปท. กล่าว
* กิมเอ็งฯ แนะอย่าเข้าใจผิดประเด็นสัดส่วนถือหุ้นต่างชาติ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า สรุป สนช. ให้ความเห็นชอบต่อร่าง พรบ. สถาบันการเงินดังกล่าว....แต่เป็นร่างที่ กมธ. ได้ปรับแก้ไขจากร่างเดิมที่ ธปท. เป็นผู้เสนอ
1) เรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างชาติ....ตามร่างฯที่ผ่านความเห็นชอบ ยังคงจำกัดไว้ที่ 25% แต่มีข้อยกเว้นให้ถือหุ้นได้มากกว่ากำหนด หรือแม้แต่มากกว่า 49% ก็ได้ ซึ่งจะพิจารณาเป็นกรณีๆไป โดยต้องขออนุญาตไปยัง ธปท. และ กระทรวงการคลัง (สรุปคือคล้ายๆ กฎหมายปัจจุบันที่ใช้อยู่)
2) ทางด้านกรรมการนั้นให้เป็นต่างชาติได้เพียง 1 ใน 4 แต่มีข้อยกเว้น เช่นกันให้สามารถมีได้มากกว่า 1 ใน 4 แต่ไม่เกิน ครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป
สำหรับเหตุผลที่สามารถขออนุญาตเพื่อให้เข้าข้อยกเว้น คือ กรณีที่เป็นการแก้ไขในฐานะการดำเนินการ หรือเพื่อสร้างความมั่นคงของสถาบันการเงิน
บล.กิมเอ็งฯ ให้ความเห็นว่า ร่าง พรบ. ที่ผ่านความเห็นชอบ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจ ธปท. รองรับการกำกับควบคุมดูแลสถาบันการเงิน ให้สามารถขยายขอบเขตธุรกิจในลักษณะกลุ่มธุรกิจ (Consolidated Supervision) ได้ ส่วนในเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นและการเป็นกรรมการของคนต่างชาตินั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักจากกฎหมายปัจจุบัน กล่าวคือ ต้องมีการขออนุญาตเป็นกรณีไป ไม่ได้เปิดทางให้ 49% ทุกรายตามที่เป็นข่าว......อีกทั้ง Foreign Limit ของธนาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ใกล้เคียง 49% ไปแล้ว ยกเว้น BBL, KTB, SCIB, TBANK และ ACL ที่มี Foreign Limit เพียง 25%
ดังนี้ เราจึงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อประเด็นข่าวดังกล่าว แต่หากมีการขยาย Foreign Limit ให้เป็น 49% เลยก็จะเป็นผลดีต่อ BBL, KTB, SCIB, TBANK และ ACL ซึ่งในระยะสั้นราคาหุ้น ACL, TCAP และ SCIB อาจได้รับประโยชน์จากประเด็นข่าวดังกล่าวเนื่องจากความเข้าใจผิดของข่าวที่ออกมา
ฤกษ์ดีรัฐบาลไทยเปิดทางต่างชาติอุ้มสถาบันการเงินแล้ว ล่าสุดให้โอกาสเข้าถือหุ้นได้เต็มเพดานสูงสุด 49% ด้านผู้ว่า ธปท. ระบุ ต้องรออีก 3 เดือนจึงจะมีผลบังคับใช้ ขณะที่โบรกเกอร์ประเมิน ดีต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ฐานะทางการเงินจะได้แข็งแกร่งขึ้น แต่ บล.กิมเอ็งฯ เตือน อย่าเข้าใจผิดประเด็นสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ ชี้เรื่องนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากกฎหมายปัจจุบัน ที่สถาบันการเงินต้องขออนุญาตเป็นรายกรณี ไม่ใช่ทุกรายได้ทั้งหมด
* สนช. เห็นชอบร่างพ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน
นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยวานนี้ (28 พ.ย.) ว่า ที่ประชุม สนช. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินในวาระ2 และ 3 แล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วัน หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยที่ประชุม สนช. มีมติเห็นชอบ 75 ไม่เห็นชอบ 1 และไม่ลงคะแนน 2
เสียง
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบตามคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ของ สนช.ที่แก้ไขจากร่างเดิมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยกำหนดให้สถาบันการเงิน ต้องมีคนไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% และมีกรรมการที่เป็นคนไทย ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 แต่ในกรณีที่เห็นสมควร ธปท.อาจจะอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นได้ถึง 49% และเป็นกรรมการได้มากหนึ่งในสี่ แต่ไม่เกินครึ่งหนึ่ง จากร่างเดิมที่ ธปท.เสนอให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ถึง 49% และมีกรรมการเป็นคนไทยไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
นอกจากนี้ ได้เพิ่มเติมในกรณีที่เป็นการแก้ไขฐานะการดำเนินการ หรือเพื่อสร้างความมั่นคงของสถาบันการเงิน ให้อำนาจ รมว.คลัง โดยคำแนะนำของ ธปท. สามารถผ่อนผันให้ต่างชาติสามารถมีหุ้นและมีกรรมการในสถาบันการเงินได้มากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือมากกว่า 49%
ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับแก้ไขนี้ เสนอโดย ธปท. เป็นการรวมกฎหมายธนาคารพาณิชย์ และกฎหมายประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจฟองซิเอร์เข้าด้วยกัน
* โบรกฯ ชี้ดีต่อแบงก์เล็กที่ต้องการพันธมิตร ทั้ง ACL, SCIB, TBANK, BT
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า การที่สภานิติบัญญัติ หรือ สนช. ผ่านร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน เป็นการเปิดทางให้นักลงทุนต่างประเทศสามารถเข้ามาถือครองหุ้นในสถาบันการเงินไทยได้ถึง 49% ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อสถาบันการเงิน
โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ที่อยู่ระหว่างหาพันธมิตรเข้าร่วมธุรกิจ อาทิ ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL, ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB, ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TBANK, ธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) หรือ BT ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งอยู่แล้ว มองว่าไม่ได้เปิดทางให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นได้
อย่างไรก็ดี การที่นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นเพิ่มในธนาคารพาณิชย์ ก็น่าสนับสนุนเรื่องฐานะความมั่นคงทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และเทคโนโลยีต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ โดยมองว่าการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์จากนี้จะรุนแรงมากขึ้นภายหลังนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพระบบธนาคารพาณิชย์ไทยให้ดีทิศทางเดียวกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ช่วงนี้ ยังแนะนำหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK,ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL,ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY
ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ช่วงนี้ยังไม่แนะนำ โดยหากในอนาคตมีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นและสร้างความแข็งแกร่งให้ คงต้องมาพิจารณาคำแนะนำอีกครั้ง
* ผู้ว่า ธปท. ระบุ กรณี BBL ขายหุ้น ACL ต้องรออีก 3 เดือน
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. จะพิจารณาอีกครั้งว่า กรณีที่กำหนดให้ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ขายหุ้นธนาคารสินเอเชีย (ACL) ให้กับ ICBC ซึ่งเป็นสถาบันการเงินจีนจำเป็นต้องผ่อนผันระยะเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการภายในสิ้นปีนี้ออกไปหรือไม่ เนื่องจากกว่ากฎหมายธุรกิจสถาบันการเงินฉบับใหม่ที่ผ่านการพิจารณาของ สนช. จะบังคับใช้ ก็อาจใช้เวลาอีกราว 3 เดือน
"หลังจากกฎหมายผ่านการพิจารณาในขั้นตอนของ สนช.แล้ว ยังจำเป็นต้องให้เวลาในการเตรียมการก่อนกฎหมายบังคับใช้ เนื่องจากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่อง" ผู้ว่า ธปท. กล่าว
* กิมเอ็งฯ แนะอย่าเข้าใจผิดประเด็นสัดส่วนถือหุ้นต่างชาติ
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า สรุป สนช. ให้ความเห็นชอบต่อร่าง พรบ. สถาบันการเงินดังกล่าว....แต่เป็นร่างที่ กมธ. ได้ปรับแก้ไขจากร่างเดิมที่ ธปท. เป็นผู้เสนอ
1) เรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างชาติ....ตามร่างฯที่ผ่านความเห็นชอบ ยังคงจำกัดไว้ที่ 25% แต่มีข้อยกเว้นให้ถือหุ้นได้มากกว่ากำหนด หรือแม้แต่มากกว่า 49% ก็ได้ ซึ่งจะพิจารณาเป็นกรณีๆไป โดยต้องขออนุญาตไปยัง ธปท. และ กระทรวงการคลัง (สรุปคือคล้ายๆ กฎหมายปัจจุบันที่ใช้อยู่)
2) ทางด้านกรรมการนั้นให้เป็นต่างชาติได้เพียง 1 ใน 4 แต่มีข้อยกเว้น เช่นกันให้สามารถมีได้มากกว่า 1 ใน 4 แต่ไม่เกิน ครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป
สำหรับเหตุผลที่สามารถขออนุญาตเพื่อให้เข้าข้อยกเว้น คือ กรณีที่เป็นการแก้ไขในฐานะการดำเนินการ หรือเพื่อสร้างความมั่นคงของสถาบันการเงิน
บล.กิมเอ็งฯ ให้ความเห็นว่า ร่าง พรบ. ที่ผ่านความเห็นชอบ เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเพิ่มอำนาจ ธปท. รองรับการกำกับควบคุมดูแลสถาบันการเงิน ให้สามารถขยายขอบเขตธุรกิจในลักษณะกลุ่มธุรกิจ (Consolidated Supervision) ได้ ส่วนในเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นและการเป็นกรรมการของคนต่างชาตินั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักจากกฎหมายปัจจุบัน กล่าวคือ ต้องมีการขออนุญาตเป็นกรณีไป ไม่ได้เปิดทางให้ 49% ทุกรายตามที่เป็นข่าว......อีกทั้ง Foreign Limit ของธนาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ใกล้เคียง 49% ไปแล้ว ยกเว้น BBL, KTB, SCIB, TBANK และ ACL ที่มี Foreign Limit เพียง 25%
ดังนี้ เราจึงมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) ต่อประเด็นข่าวดังกล่าว แต่หากมีการขยาย Foreign Limit ให้เป็น 49% เลยก็จะเป็นผลดีต่อ BBL, KTB, SCIB, TBANK และ ACL ซึ่งในระยะสั้นราคาหุ้น ACL, TCAP และ SCIB อาจได้รับประโยชน์จากประเด็นข่าวดังกล่าวเนื่องจากความเข้าใจผิดของข่าวที่ออกมา