หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ตรวจแนวรบหุ้นไอพีโอส่งท้ายปี

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 24, 2007 2:03 am
โดย vichit
ตรวจแนวรบหุ้นไอพีโอส่งท้ายปี


             
            ตรวจแนวรบหุ้นไอพีโอส่งท้ายปลายปี 2550 พบ 6 บจ. เรียงแถวเตรียมเข้าเทรด ไม่สนภาวะตลาดผันผวน หวังเกาะกระแสหุ้นไอพีโอรุ่นพี่โชว์ฟอร์มดี แต่โบรกฯแนะทำใจ หุ้นน้องใหม่อาจไม่ร้อนเหมือนเดิม เหตุบรรยากาศตลาดหุ้นไม่หนุน แนะดูการตั้งราคา-รายใหญ่ร่วมวง สร้างความคึกคัก
        หุ้นไอพีโอในช่วงปลายปี เป็นสิ่งที่นักลงทุนจับตามอง เพราะอาจเรียกได้ว่าเป็นความหวังเดียวในการหาช่องทางทำกำไร โดยที่ไม่เสี่ยงเกินไปนัก เพราะหากดูหุ้นที่เข้า
เทรดไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) (MILL) ซึ่งเข้าซื้อขายในตลาด mai เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ปรากฎว่าหุ้นเปิดการซื้อขายที่ 4.90 บาท และปิดการซื้อขายที่ 5.80 บาท จากราคาจอง 2.90 บาท หรือสูงกว่าจอง 100% จากนั้น บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) (BWG) เข้าซื้อขายเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ปรากฎว่าราคาหุ้นเปิดที่ 8 บาท จากราคาจอง 3 บาท โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 10 บาท ในช่วงเช้าของการซื้อขาย ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 7.40 บาท สูงกว่าราคาจองถึง 146.66% กล่าวได้ว่าปาฏิหาริย์หุ้นจอง ที่สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ ทำให้ทั้งนักลงทุนและบรรดาบริษัทที่จะดันหุ้นเข้าตลาดต่างจับจ้องตาเป็นมัน ในฟากของชาวหุ้นก็รอคอยหุ้นไอพีโอตัวต่อไป ขณะที่ผู้ประกอบการหลายรายที่เร่งนำหุ้นเข้าตลาดในปีนี้เพื่อหวังเกาะกระแส
         eFinanceThai.com รวบรวมหุ้นที่เตรียมเข้าเทรดในโค้งสุดท้ายของปีนี้ มีทั้งหมด 6 บริษัทด้วยกัน เพื่อตรวจแนวรบและเตรียมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน


**เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) เทรด 27 พ.ย. นี้
         บมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ กิจการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ในกรุงเทพฯ เข้าจดทะเบียนซื้อขายในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เริ่ม 27 พ.ย. นี้
หลังระดมทุน 940 ล้านบาทเพื่อรองรับการขยายธุรกิจและชำระคืนเงินกู้
         นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการสายงานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติรับบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อขายในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน2550 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า MJD
         MJD มีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 700 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
โดยระหว่างวันที่ 16 และ 19 - 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้ขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 200 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.7 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 940 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาโครงการปัจจุบันและอนาคต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยส่วนหนึ่งจะนำไปชำระคืนเงินกู้ ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและ สำรองต่างๆ
         ราคาหุ้นไอพีโอ ได้มาจากการสอบถามปริมาณความต้องการซื้อหุ้นของผู้ลงทุนสถาบัน (Book Building) มี ระดับราคาในช่วง 4.30 - 4.70 บาท ซึ่งเป็นราคาประเมินมูลค่าหุ้นสามัญของ MJD เปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ในหมวดเดียวกัน คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price-to-Earnings Ratio-P/E Ratio) ในช่วง 11.6 - 12.6 เท่า ซึ่งการกำหนดอัตราส่วนราคาต่อกำไรดังกล่าว คำนวณโดยใช้กำไรสุทธิของบริษัทฯ ในปี 2549 และจำนวนหุ้นรวมภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้จำนวน 700 ล้านหุ้น โดย MJD มีบริษัท ไทยสแตรทีจิค แคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด จะเป็นแกนนำผู้รับประกันการจำหน่าย
         MJD ประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์อยู่ในเขตตัวเมืองหรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ โดยมีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนา 8 โครงการ ได้แก่ โครงการ ฟูลเลอตันสุขุมวิท โครงการวอเตอร์มาร์คเจ้าพระยาริเวอร์ (ทาวเวอร์เอและบี) โครงการแมนฮัตตัน ชิดลมโครงการวินด์ สุขุมวิท 23 และรัชโยธิน โครงการอกัสตัน สุขุมวิท 22 และโครงการมิคโคนอส หัวหินมูลค่ารวม 13,800 ล้านบาท โดยคาด ว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งหมดและพร้อมโอนภายใน 1-2 ปีข้างหน้า
         ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MJD ได้แก่ ตระกูลพูลวรลักษณ์ ที่ถือหุ้นรวมกันในอัตราร้อยละ 71.40 ของทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วหลังไอพีโอ

**บล.กิมเอ็ง ให้ราคาเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่ 5.10 บาท
         บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานของ MJD ที่ 5.10 บาทต่อหุ้น โดยประเมินราคาที่เหมาะสมของ MJD ด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดอิสระ โดยใช้อัตราคิดลด 10.75% และ Terminal growth ที่ 1.5% และได้ราคาตามปัจจัยพื้นฐานที่ 5.10 บาท/หุ้น ณ ราคาที่เหมาะสม MJD จะซื้อขายกันที่ PER ปี 2551 ที่ 6.6 เท่า และ P/BV ที่ 1.5 เท่า

**บอดี้ โกลฟ (BGT) เข้าเทรด 11 ธ.ค.
         นายนพดล ธรรมวัฒนะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บอดี้ โกลฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (BGT) กล่าวว่า บริษัทพร้อมจะเปิดจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 20 ล้านหุ้นให้แก่ประชาชน ซึ่งเป็นลูกค้าและผู้มีอุปการคุณของผู้จัดจำหน่ายและของบริษัทในราคา 4.70 บาทต่อหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท โดยจะเปิดจองในวันที่ 23,26-27 พ.ย.นี้และจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในันที่ 11 ธ.ค.นี้
         สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปขยายร้านค้าและเคาน์เตอร์จัดจำหน่ายจำนวน 60-80 ล้านบาทที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยในปีหน้าบริษัทมีโครงการขยายเคาน์เตอร์และร้านค้าจัดจำหน่ายรวมจำนวนประมาณ 20 แห่ง สำหรับในต่างประเทศมีโครงการที่จะขยายร้านค้าอย่างน้อย 1 แห่ง ในฟิลิปปินส์หรือเวียดนาม
         ทั้งนี้ มั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะผลประกอบการของบริษัทดีต่อเนื่อง โดย 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้ 333.38 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 21.38 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 14.15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทเป็น 80 ล้านบาท และสัดส่วนการเพิ่มทุนคิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นยังมีแนวโน้มการปรับตัวตามสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
         ทั้งนี้ บริษัท บอดี้ โกลฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (accessories) ภายใต้เครื่องหมายการค้า Body Glove พร้อมรูปมือประดิษฐ์สีดำบนพื้นเหลือง บริษัทมีเว็บไซด์ชื่อ www.bodyglove.co.th บริษัทได้มีการเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการขยายการดำเนินธุรกิจ จากจำนวน 10 ล้านบาท ในปี 2531 เป็นจำนวน 20 ล้านบาท ในปี 2534 เป็นจำนวน 40 ล้านบาท ในปี 2537 และเป็นจำนวน 60 ล้านบาท ในปี 2543 ตามลำดับ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2550 บริษัทได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
          ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ เมษายน 2532 ประกอบด้วยนายนพดล ธรรมวัฒนะ (ร้อยละ 20) บริษัท ไทยเซกเวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด1 (ร้อยละ 20) และตระกูลมหิทธิวาณิชชา (ร้อยละ 16.84) บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นที่สำคัญ โดย ณ เมษายน 2545 สัดส่วนการถือหุ้นของนายนพดล ธรรมวัฒนะ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 55.04 สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ไทยเซกเวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ลดลงเหลือร้อยละ 5 และสัดส่วนการถือหุ้นของตระกูลมหิทธิวาณิชชาลดลงเหลือร้อยละ 8.98 ต่อมาในเดือนเมษายน 2547 บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและโครงสร้างกรรมการ โดยมีนายเกา โก๊ะ เชง และนายเกา โก๊ะ เบง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นสัญชาติมาเลเซีย เข้าถือหุ้นบริษัทรวมกันในสัดส่วนร้อยละ 49 รวมทั้งเข้าเป็นกรรมการของบริษัท โครงสร้างการถือหุ้นล่าสุด ณ วันที่ 29 มิถุนายน 2550 ประกอบด้วย ครอบครัวธรรมวัฒนะ ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วนร้อยละ 49.78 (ประกอบด้วยนางสาวดลนภา ธรรมวัฒนะ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 33.55 และนายนพดล ธรรมวัฒนะ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 16.23) และกลุ่มผู้ถือหุ้นสัญชาติมาเลเซีย ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วนร้อยละ 48.83(ประกอบด้วย นายเกา โก๊ะ เชง ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 24.42 และนายเกา โก๊ะ เบง ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 24.42)

**ไซแมท เทคโนโลยี (SIMAT) เข้าเทรด 12 ธ.ค.
         นายวิชา โตมานะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำกัด(มหาชน) หรือ SIMATธุรกิจเป็นผู้ให้บริการจัดจำหน่ายคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และพัฒนาโปรแกรมการใช้งานคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่แบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาหุ้นที่จะเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ที่ราคา 3.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เทียบกับพี/อีประมาณ 8 เท่า โดยพิจารณาจากผลประกอบการปี 2549 และถือเป็นระดับราคาที่นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจจองซื้อมากกว่าจำนวนที่จัดสรรให้
         'สาเหตุที่เลือกระดับราคา 3.80 บาท เพราะเห็นว่าเป็นราคาที่เหมาะสมและพบว่าความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจที่จะจองซื้อในระดับราคาดังกล่าว โดยความสนใจนั้นมีมากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรและระดับราคานี้จะมีค่าพี/อีราว 8 เท่าพิจารณาจากผลประกอบการปี49'นายวิชากล่าว
         ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ SIMAT รวมทั้งภาวะตลาดช่วงปลายปีที่เชื่อว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นน่าจะทำให้การซื้อขายหุ้นในวันแรกออกมาไม่ผิดหวัง
         อนึ่ง SIMAT จะขายหุ้น IPO จำนวน 18.75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์)หุ้นละ 1 บาท หรือ 25% ของทุนชำระแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้กำหนดช่วงราคาที่ระดับ 3.50-3.80 บาท โดยจะเสนอขายหุ้น IPO ในวันที่ 27-29 พ.ย.นี้และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) ประมาณวันที่ 12 ธ.ค.นี้

**บล.ฟินันซ่า ให้ราคาเป้าหมาย SIMAT ที่ 4.42 บาท
         บทวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า ระบุว่า SIMAT เป็นผู้ให้บริการจัดจำหน่ายระบบคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และพัฒนาโปรแกรมการใช้งานควบคู่แบบครบวงจร สำหรับระบบการจัดเก็บข้อมูลในองค์กร (EDCCS) เพื่อช่วยให้การตัดสินใจถูกต้องแม่นยำมากขึ้น เช่น ข้อมูลสินค้าคงคลัง, บริหารพนักงานขาย & ทรัพยากร โดยลูกค้าสำคัญของบริษัท คือ Modern Trade ที่รู้จักกันดี Tesco Lotus
         ธุรกิจค้าปลีกใน 2H07 มีแนวโน้มฟื้นตัว จาก 1. อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง 2.การคงภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 7% และ 3 การเลือกตั้งช่วงปลายปี และคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปี 08 โดยเราประเมินแนวโน้มการเติบโตธุรกิจค้าปลีกช่วงปี 07-09 ไว้เฉลี่ยปีละ 10% ขณะที่ธุรกิจ RFID แม้ในไทยยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วที่ Walmart ของอเมริกา และเมื่อต้นทุนลดลงจนสามารถนำมาใช้เชิงพาณิชย์ได้ เชื่อว่าจะเป็นธุรกิจดาวเด่นในอนาคต โดยNECTEC ประเมินขนาด RFID ไว้ที่ 1.2 พันลบ./ปี
         รายได้ปี 07 คาดว่ายังโต 12% YoY เป็น 320 ลบ. แต่ GPM ที่ลดต่ำกว่าปกติ (เหลือ 30.2% จาก36.9% ปีก่อน) เพราะลดราคาให้ลูกค้าใหม่แต่ใหญ่มากอย่างร้านสะดวกซื้อ 7-11 กดให้กำไรสุทธิปี 07 ลดลง 9% YoY เหลือ 30 ลบ. แต่ปีหน้า (08) จะได้แรงหนุนจากทั้ง 2 ทาง คือ คำสั่งซื้อของ Lotus ที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งขยายสาขาดักหน้า พ.ร.บ.ค้าปลีก และการรีบาวน์ของ GPM เป็น32.8% ทำให้กำไรดีดตัวขึ้น 37% YoY เป็น 41 ลบ.
         ทั้งนี้ ประเมินเป้าหมายโดย Implied PE ที่ 8x ซึ่งถือว่าเหมาะสมและอนุรักษ์นิยม (เพราะต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยของตลาด MAI และบจ.ที่ธุรกิจใกล้เคียง) ได้ราคาเป้าหมายที่ 4.42 บาท/หุ้น พ่วงปันผลเฉลี่ยอีกปีละ 7-8%

** โลหะกิจ เม็ททอล จ่อเทรด 18 ธ.ค.
         ด้านบมจ.โลหะกิจ เม็ททอล จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป(IPO)จำนวน 80 ล้านหุ้น หรือ 25% ของจำนวนหุ้นเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ในวันที่ 7, 10-11 ธ.ค. พร้อมคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในวันที่ 18 ธ.ค.2550
         บมจ. โลหะกิจ เม็ททอล และบริษัทย่อย 2 บริษัท คือ บริษัท ออโต้ เม็ททอล จำกัด และบริษัท ดี-สเตนเลส จำกัด เป็นศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สเตนเลส ทั้งการให้บริการสเตนเลสรีดเย็นชนิดม้วนและแผ่น, ท่อสเตนเลสกลม, ท่อสเตนเลสประเภทท่อไอเสียรถยนต์, สเตนเลสเกรมเฉพาะ, เหล็กชุบสังกะสีชนิดม้วนและแผ่น, เหล็กเคลือบสังกะสีชนิดม้วนและแผ่น รวมถึงบริการตัด เจาะ และขัดผิว สเตนเลส ตามความต้องการของลูกค้า
         บริษัทฯมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ วันที่ 27 ก.ค.50 ประกอบด้วย กลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 90% ภายหลังการขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 67.50% และนายนุชา วัฒโนภาส ถือหุ้น 10% ภายหลังการขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 7.50%
         บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) (บริษัท) ตั้งอยู่เลขที่ 66/1 หมู่ 6 ซอยสุขสวัสดิ์ 76 ถนนสุขสวัสดิ์ ต.บางจาก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ 10130 ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2532 ด้วยทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้ว 20 ล้านบาท ในนามบริษัท ศูนย์บริการเหล็กโลหะกิจ จำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์สเตนเลส ผู้ถือหุ้นใหญ่เมื่อเริ่มก่อตั้ง คือ กลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ ถือหุ้นรวมกันร้อยละ 80 ต่อมาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2532 บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท โตเมนคอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นบริษัทในกลุ่มโตเมน1 ซึ่งดำเนินธุรกิจจำหน่ายเหล็ก โดยบริษัทได้เพิ่มทุนเป็น 39.22 ล้านบาท และบริษัท โตเมนคอร์ปอเรชั่น จำกัด เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วนร้อยละ 49 ในขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นของ
         กลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ ลดลงเหลือร้อยละ 40.80 บริษัทได้นำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนดังกล่าวใช้ในการซื้อสินทรัพย์ได้แก่ ที่ดิน เครื่องจักร และสินค้าคงคลัง จากบริษัท โลหะกิจ เชียริ่ง จำกัด2 ซึ่งเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ กลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ ต่อมาบริษัท โลหะกิจ เชียริ่ง จำกัด ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและชำระบัญชีแล้วเสร็จในปี 2535 ในเดือนสิงหาคม 2545 บริษัทได้เพิ่มทุนชำระแล้วเป็น 117.22 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2545บริษัท โตเมนคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัททั้งหมดให้แก่กลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ และนายนุชา วัฒโนภาสเนื่องจากบริษัท โตเมนคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้หยุดดำเนินกิจการเหล็กทั่วโลก ส่งให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ประกอบด้วยกลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 80 และนายนุชา วัฒโนภาส ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 20 และเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2546 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท โลหะกิจ สตีล จำกัด ต่อมาในเดือนมกราคม 2548 บริษัทได้เพิ่มทุนชำระแล้วเป็น 240 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2548 บริษัทได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2550 ประกอบด้วยกลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วนร้อยละ 90 และนายนุชา วัฒโนภาส ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 10 บริษัทและบริษัทย่อยประกอบธุรกิจหลักด้านศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สเตนเลส การดำเนินธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อยประกอบด้วย
(1) จัดหา แปรรูป และจำหน่ายสเตนเลสรีดเย็นชนิดม้วนและแผ่น
(2) ผลิตและจำหน่ายท่อสเตนเลส ได้แก่ ท่อสเตนเลสสำหรับงานตกแต่ง ท่อสเตนเลสสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์
(3) แปรรูปและจำหน่ายเหล็กชุบสังกะสี และเหล็กเคลือบสังกะสีชนิดม้วนและแผ่น
(4) ให้บริการด้านการตัด เจาะ และขัดผิว สเตนเลส ตามความต้องการของลูกค้า

**ไดเมท (สยาม) เทรด mai ปลาย ธ.ค.
         บมจ.ไดเมท (สยาม) พร้อมเดินสายโรดโชว์ทั่วไทย 26 พ.ย.-7 ธ.ค.นี้ เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลอย่างละเอียดและทั่วถึง เตรียมเปิดขายไอพีโอ 40 ล้านหุ้น หาทุนไปปรับปรุงและก่อสร้างอาคารคลังสินค้า เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต ปรับปรุงระบบการผลิต คลังสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมสินค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ด้าน APM ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินหวังเรื่องการระดมทุนและเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai ทันภายในปีนี้ตามแผน
         นายสุรพล รุจิกาญจนา กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่าบริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2550 โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก(IPO)จำนวน 40 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งจะทำให้ทุนชำระแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 90 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 70 ล้านบาท (การเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท ไม่ได้มีการจัดสรรหุ้นให้แก่ประชาชนในวงกว้างเนื่องจากจำนวนหุ้นที่เสนอขายมีจำนวนจำกัด) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.22 ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้
         วัตถุประสงค์ในการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อลงทุนปรับปรุงและก่อสร้างอาคารคลังสินค้า ในโรงงานที่ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต ปรับปรุงระบบการผลิต คลังสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนวัตกรรมสินค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
         สำหรับโครงการในอนาคต บริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) มีแผนที่จะลงทุนเพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต โดยการปรับปรุงสถานที่จัดเก็บวัตถุดิบและสินค้า
สำเร็จรูปของบริษัท และปรับปรุงระบบและกระบวนการผลิตพร้อมทั้งเพิ่มจำนวนพนักงานและเวลาของการทำงานล่วงเวลา (Overtime) ของเวลาการทำงานปกติให้มากขึ้น ซึ่งภาย
หลังการดำเนินการปรับปรุงดังกล่าว บริษัทคาดว่ากำลังการผลิตของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 6,000,000 ลิตรต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตของยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีตามที่บริษัทได้วางแผนธุรกิจไว้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะลงทุนเพื่อปรับปรุงห้องทดลอง (Laboratory) สำหรับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สีของบริษัท และลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่เน้นกระบวนการผลิตที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
         นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินเปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน - 7 ธันวาคม 2550 บริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) มีแผนที่จะนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน(โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนทั่วไป อาทิ เชียงใหม่,พิษณุโลก,ขอนแก่น,ชลบุรี และ สงขลา เป็นต้นและคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี ทั้งนี้หาก สำนักงาน ก.ล.ต.พิจารณาอนุมัติในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก(IPO) ได้ตามแผน โดยคาดว่าจะสามารถระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ทันภายในเดือน ธันวาคมนี้
         บริษัท ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีคุณภาพสูงสำหรับใช้ทาในงานอุตสาหกรรม และงานโครงเหล็กที่ใช้ในงานก่อสร้างต่างๆ อาทิ โรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน โรงผลิตไฟฟ้า แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในอ่าวไทย เพื่อป้องกันสนิมเหล็ก รวมไปถึงสีเคลือบไม้ สีทาเฟอร์นิเจอร์ และสีทาอาคาร ผลิตภัณฑ์สีคุณภาพสูงที่บริษัทผลิตและจำหน่าย แบ่งออกเป็น 4 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สีปองกันสนิม สีเคลือบไม้ สีทาอาคาร และสีอุตสาหกรรม โดยในงวดบัญชีปี 2550 (ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 ถึงเดือนมิถุนายน 2550) บริษัทมีสัดส่วนมูลค่าการจำหน่ายแยกตามประเภทผลิตภัณฑ์คิดเป็นร้อยละ 43.95 ร้อยละ 32.10 ร้อยละ 11.27 และร้อยละ 3.97 ตามลำดับ โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัท ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและการก่อสร้างงานโครงเหล็กต่างๆ อาทิ โรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน โรงผลิตไฟฟ้า แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในอ่าวไทยเพื่อป้องกันสนิมเหล็ก อาทิ Chevron, PTT, ESSO, Shell, EGAT, Ratchaburi Power Plant, BAFS และ Thai Airways เป็นต้น ส่วนลูกค้ากลุ่มรองลงมาได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโรงแรม อาทิ โรงแรมเพนนินซูล่า, โรงแรมโอเรียลตัล เป็นต้น ธุรกิจส่งออกเฟอร์นิเจอร์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงาน อาทิ อาคารพหลโยธินเพลส และสถานทูตออสเตรเลีย เป็นต้น
         ทั้งนี้ ปัจจุบันในปี 2550 บริษัทมีกำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์สีทั้ง 4 กลุ่มหลักทั้งสิ้นประมาณ 4,320,000 ลิตรต่อปี และมีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) ประมาณร้อยละ 69.44 ของกำลังการผลิต

**เอเชียซอฟท์ฯ เกาะกระแส เร่งขาย IPO หวังเข้าเทรดไม่เกิน 15 ธ.ค. 50
         บมจ. เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะเสนอขาย IPO จำนวน 75 ล้านหุ้น ได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ปีนี้(2550) และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ไม่เกินวันที่ 15 ธันวาคม 2550 โดยจัดอยู่ในกลุ่มสื่อ(media) โดยจะออกโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง ในวันที่ 26-28 พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากจะขายหุ้น IPO ให้แก่นักลงทุนสถาบันซึ่งรวมถึงนักลงทุนจากต่างประเทศด้วย
         เอเชียซอฟท์ฯ จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ไปการลงทุนในธุรกิจให้บริการเกมออนไลน์ในประเทศเวียดนาม และมาเลเซีย, จัดซื้อลิขสิทธิ์เกมออนไลน์ชั้นนำเพิ่มเติม, ลงทุนเพิ่มเติมในระบบเครือข่ายและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์, ใช้ในการพัฒนาเกมออนไลน์ และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน
         บมจ. เอเชียซอฟท์ คอร์ปอร์เรชั่น และบริษัทย่อย (กลุ่มบริษัทฯ หรือ เอเชียซอฟท์) ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านความบันเทิงออนไลน์ (Online Entertainment Service) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยปัจจุบันเป็นผู้นำในการให้บริการเกมออนไลน์ (Game Online) ในภูมิภาคด้วยส่วนแบ่งการตลาดตามรายได้จากการให้บริการเกมออนไลน์ในปี 2549 เป็นอันดับ 1 ในประเทศ
         ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ ให้บริการเกมออนไลน์รวม 12 เกมใน 4 ประเทศ คือ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม เช่น เมเปิล สตอรี่ (Maple Story), ออดิชั่น (Audition), โยวกัง (Yulgang) แรกนาร็อค ออนไลน์ (Ragnarok Online) และคาบาล (Cabal)

**แนะดูการตั้งราคา-รายใหญ่ร่วมวง ดันราคาหลังเข้าเทรด
          นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ช่วงเดือนธันวาคมนี้ มีบริษัทฯเตรียมระดมทุนด้วยการกระจายหุ้น IPO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทฯ ซึ่งเชื่อว่าหุ้น IPO จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนพอสมควร เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงดังกล่าวน่าจะคึกคัก จากดัชนีฯที่ปรับเพิ่มขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ดัชนีฯปรับลดลงแรง ขณะที่สถานการณ์การเมืองมีการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้ น่าจะสร้างความมั่นใจในการลงทุนได้มากขึ้น
         ทั้งนี้ เชื่อว่าจากหุ้น IPO ที่เข้าซื้อขายก่อนหน้านี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุน จนราคาซื้อขายปรับขึ้นเหนือราคาจองอย่างมาก ทั้งในส่วนของ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) หรือ TNDT บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILLและบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG ก็น่าทำให้นักลงทุนสนใจหุ้น IPO ที่เตรียมซื้อขายมากขึ้น
         อย่างไรก็ตาม มองว่าหุ้นที่ได้รับความสนใจอย่างโดดเด่นจากนักลงทุน ต้องตั้งราคา IPO ที่น่าสนใจและมีส่วนลด รวมถึงเป็นหุ้นที่มีผู้ถือหุ้นเป็นกลุ่มที่มีชื่อเสียง ซึ่งอาจสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ระดับหนึ่ง
         "ภาพรวมตลาดฯไตรมาส 4/2550 น่าจะดี เพราะมีเลือกตั้งแล้ว บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นน่าจะดูดี แต่ก็ไม่ใช่มีแต่เรื่องดี ปัญหาซับไพร์มก็ยังกดดันการลงทุนอยู่ ยิ่งปีหน้าเท่าที่ฟังมา OECD ประกาศตัวเลขที่เกิดจากวิกฤตซับไพร์มจะเพิ่มขึ้น 3 แสนล้านดอลลาร์ ก็อาจเป็นตัวแปรที่สร้างความกดดันอยู่ และหากเป็นไปจริง เศรษฐกิจปีหน้า และตลาดหุ้นช่วงปีหน้าก็อาจซบเซา โดยหุ้น IPO หลักๆน่าดูเรื่องผู้ถือหุ้น และราคาที่ตั้ง รวมถึงภาวะตลาดฯตอนนั้นๆด้วย ถ้าเอื้อกันหมดก็ดี"นายวีระชัย กล่าว
สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้น IPO ก็เลือกลงทุนได้ โดยนักลงทุนที่ถือหุ้นจองไม่น่าเป็นห่วง แต่นักลงทุนที่ไม่มีหุ้นจอง และเข้าไปเก็งกำไรไล่ราคา ต้องระมัดระวังความเสี่ยงจากการลงทุนให้มาก
         ด้านนายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาดว่าต่อไปหุ้นไอพีโอที่เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นวันแรก ราคาหุ้นไม่น่าจะปรับขึ้นมาเหนือราคาจองซื้อ 100% เหมือนที่ผ่านๆมา เพราะบรรยากาศช่วงนี้เทียบกับช่วงก่อนๆ แตกต่างกัน แต่หากภาวะตลาดหุ้นดีขึ้น ก็น่าจะมีโอกาสได้เห็นราคาหุ้นไอพีโอวันแรกขึ้นมา 50% จากราคาจองซื้อ
         "หากหุ้นไอพีโอตัวไหนมีจำนวนหุ้นไอพีโอน้อยก็มีโอกาสที่ราคาวันแรกจะยืนเหนือราคาจอง 100% ได้ เพราะความต้องการในตลาดสูงกว่าปริมาณหุ้น"นายสิทธิพรกล่าว