Thai VI

ถามตัวเองครับ ว่าเราขาดทุนหนักๆ เพราะอะไร

คำตอบ ผมมั่นใจว่าร้อยละร้อย เราขาดทุนหนักๆ เพราะเราซื้อง่ายไป

ซื้อง่ายจะขายยาก

ซื้อยากจะขายง่าย

vi บอกว่าซื้อแล้วถือ อืม อิอิ ก็คงถูก ในระยะเวลาที่ยังถือ

แต่ ถ้าบอกว่า vi ไม่ขายเลย อืม ต้องอมพระประธานมาพูดมั๊ง

หาก ซื้อต่ำกว่า มูลค่าแล้ว ราคาขึ้นมหาศาล เช่น 500 % ใน 9 เดือน เคสสมมุตินะ สำหรับผม ไม่ขายก็บ้าไปแล้น ( แซว )

เพราะต่อให้กิจการดี ขายไปก่อน โอกาสรับกลับ มีโอกาสเป็นไปได้ เกิน 99.99 %

ถึงแม้ว่าในระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือนหุ้นตัวนั้นๆ จะขึ้นไปอีก ก็ขึ้นได้ไม่มากหรอก

ในขณะที่ เมื่อเราขายไปแล้วเรากำเงินต้น + กำไรอีก 500 % มาซื้อตัวที่มีโอกาสขึ้นจากผลประกอบการณ์ที่ดีขึ้น

ต่อให้เราเสียโอกาสแรก ที่หุ้นยังขึ้นต่อ แต่เราไม่ได้ขายหมูนะ

แต่เราขายลูกหมู มาซื้อแม่หมูลูกดกต่างหาก

เพราะฉะนั้นซื้อให้ยาก จะขายง่าย เมื่อขายได้แล้วก็จง ยึดหลักการ ซื้อให้ยากจะขายง่ายต่อไป

พี่ jeng ครับ มีหุ้นแบบ draco อีกมั้ยครับ ผมดูคราวๆมันโตขึ้นเรื่อยๆเลย ผ่านมา 1ปี จาก16 บาท จนบัดนี้ 35บาทแล้ว .......น่าถือหุ้นจัง แต่ผมยังไม่ได้ดูผลประกอบการเลย...........ในพอรต์ของพี่ มีอาไรมั้งนอกจาก draco.....ไม่รู้จะตรงกับผมมั้งป่าว อิอิ

draco bat-3k tcb ครับ อ๋อมี ifec ตอน 6.10 เล็กน้อย และก็ยังมี bjc นิดหน่อย

ตรงบ้างมั๊ยครับ อยากรู้จัง

ขอบคุณคุณ Jeng สำหรับแง่คิดที่เจ๋งสมชื่อ  8)

แต่ปัญหาของผม (อาจจะอีกของหลาย ๆ คน) อย่างนึงคือ พอผมคิดแล้วคิดอีก คิดมากเข้า มากเข้า ตั้ง spec ไว้สูง (MOS เยอะ) เลยไม่ได้ซื้อครับ พอจะลด spec นิดหน่อย มันก็วิ่งไม่กลับมาให้ซื้อแล้วครับ

สมมติเช่น หุ้น X ที่ราคาตลาดอยู่ที่ 18 บาทตั้งไว้ว่า ถ้ามันราคาลงมาเหลือ 10 บาท จะซื้อละ ปรากฏว่าพอมันเกิดเหตุการณ์อะไรไม่รู้ ทำให้ราคามันลงมาเหลือซัก 11 บาท แล้วมันก็ปรับขึ้นเอา ขึ้นเอา จนซื้อไม่ได้

อย่างงี้คุณ Jeng ทำไงดี ยอมซื้อราคาสูง หรือยังไงก็ไม่เอา รอจนกว่าจะลง หรือหันไปหาหุ้นอื่น เพราะยังไงก็ต้องมีหุ้นอื่นในตลาดที่เข้าเกณฑ์อยู่เสมอ (คือผมก็ไม่ได้ไปแกะหาหุ้นทั้ง 500 ตัว เลยไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่า)

ง่ายมาก อาจารย์

1. ทำการบ้านอย่างหนัก คัดออกมา 20 ตัวที่ดีทีสุด ในด้านผลประกอบการ และราคาสะท้อนในทางขึ้น จากผลประกอบการณ์ คำนวณราคาซื้อแล้วรอ

หากว่ารอ แล้ว ไม่เจอ 1 ใน 20 ตัวที่ดีที่สุดในตลาดแล้วลงมา ก็รอต่อไป เรื่องอะไรที่จะต้องเอาเงินที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อ ไปเสี่ยง กับหุ้นอีก 480 ที่ไม่ใช่ the best of the market ( ถ้าภาษาทิงลิช ผมผิดแก้ให้หน่อยก็ดีนะ )

ปล. หุ้นหลายตัวต่อให้ขึ้นไปแล้ว หากคำนวณแล้วว่าถูก ก็ซื้อเลยครับ ไม่ต้องรอให้ลง  

เพราะในสวรรค์ มีสวรรค์ครับ เราไม่ได้แห่ตามใคร เรามีหลักการในการตีราคาของเราเองครับ

ถ้าเป็น vi ต้องไม่ซื้อครับ เพื่อฝึกวินัยในการลงทุน ไม่ได้ 10 บาทไม่ซื้อครับ

และหลักการ vi หาก ซื้อ 10 บาท แล้วลงไป 8 ต้องกระโดด กระโดดหลายๆรอบ ดีใจ ว่าจะรีบหาเงินมาซื้อเพิ่ม

ในทางกลับกัน

หากเป็น vs ที่พัฒนาแล้ว สามารถคำนวณพื้นฐานได้ว่า 10 บาท แต่มันเด้งตรง 11 ต้องเข้าซื้อครับ

vs รับความเสี่ยงได้ และ cut loss เป็น กำหนดจุด cut loss เองครับ

ปล. เหตุการณ์นี้อาจจะเกิด แต่หาก ทำการบ้านอย่างหนัก 20 ตัวที่ดีที่สุดทุกด้าน โอกาสลงเกินราคาคำนวณ มีมากกว่า ลงไม่ถึง

เพราะ ในนรก มีนรกครับ อาจารย์

-_"  ไม่ตรงเลยครับ    ผมถือ traf ตอน3.02 และ เมื่อวานเพิ่งซื้อ mlink 1.15 ครับ และกะจะรีบขายทำกำไร เพราะมันร้อน...........อยากเล่นแบบ vi มากๆครับ แต่ทุนน้อย จะเล่นแบบนั้นกว่าจะกำไรงอก เป็น สิบล้านคง ต้องคงต้องได้กำไรทบต้น ต่อปี ไม่ต่ำกว่าร้อยเปอเซนต์...หลายปีติดต่อกัน ....สรุปเลยเล่นแบบเก็งกำไร + ซื้อตอนถูกขายแพง ไปก่อน...พอเงินหนาๆ แล้วตอนนั้นคง vi เต็มตัว ครับ(แต่กลัวว่ามันจะไม่หนาล่ะซิยุ่งเลย)....มีอะไร พี่ก็ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ

อาจจะไม่ตรงอีกข้อ พี่ซื้อแล้ว บางวัน หรือหลายวันพี่ไม่ได้ดูจอเลย

ทั้งๆที่เคยบอกว่า ก่อนตาย อยากดูจออีกสักครั้ง

อิอิ  :D

ขอบคุณครับ ได้ข้อคิดมากๆ
... ซื้อง่าย ขายยาก ... โดนไปเต็มๆเลยครับ

ไม่มีอะไรหรอก

วันนี้เอาเงินน้อยๆมาโดนมากๆ จะได้มีประสบการณ์

วันหน้าเอาเงินมากๆ มาโดนน้อยๆ จะได้กำไร

อิอิ

mprandy เขียน:แต่ปัญหาของผม (อาจจะอีกของหลาย ๆ คน) อย่างนึงคือ พอผมคิดแล้วคิดอีก คิดมากเข้า มากเข้า ตั้ง spec ไว้สูง (MOS เยอะ) เลยไม่ได้ซื้อครับ พอจะลด spec นิดหน่อย มันก็วิ่งไม่กลับมาให้ซื้อแล้วครับ

อาจารย์ครับ  ผมไม่ได้ซื้อหุ้นมาเกือบจะ 6 ปีแล้วครับ

อ่ะลองมั่ง  :lol:

สมมติเช่น หุ้น X ที่ราคาตลาดอยู่ที่ 18 บาทตั้งไว้ว่า ถ้ามันราคาลงมาเหลือ 10 บาท จะซื้อละ ปรากฏว่าพอมันเกิดเหตุการณ์อะไรไม่รู้ ทำให้ราคามันลงมาเหลือซัก 11 บาท แล้วมันก็ปรับขึ้นเอา ขึ้นเอา จนซื้อไม่ได้

เท่าที่ฟังดู อาจารย์ มีปัญหาในแง่ ตั้งเป้านิ่ง คือนิ่งเกินไป (ยิ่งถ้าผิดในเคสแบบนี้บ่อยๆนะ คือแบบ วิเคราะห์มาซะดิบดี ราคาก็ลงมาแล้ว แต่ไฉนเก็บไม่ทัน เพื่อนขโมยเอาไปหมด)

จิงๆที่ต้องนิ่ง คือ ใจนิ่ง อันนี้เป็นข้อดี แต่ถ้าตั้งเป้า ตั้งแผนใดใด ไว้ให้มันแน่นิ่งเกินไป ราวกะตอกหมุด ..."ฉันคิดมาดีแล้ว และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ" ...ความเชื่อมั่น ยึดถือ ถ้ามีพอดีๆ ก็คงดี ถ้ามากไป ก็อาจส่งผลแง่ลบได้เสมอ

แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าอาจารย์ตกรถบ่อยๆแล้ว ยังคงไม่สะทกสะท้าน ไม่เจ็บปวด ไม่เสียดาย ไม่เสียเซล์ฟ ก็โอนะ
เช่น หากอาจารย์ เคยใช้วิธีการเดิมมาตลอดสิบปี แล้วก็ไม่เคยจีบผู้หญิงติด แต่จารย์ก็ไม่รู้สึกอะไร แบบ ไม่ไร อยู่คนเดียวได้ ไม่ว้าเหว่
แต่ถ้า จารย์รู้สึกว่า ว้าเหว่ กังวลตอลดว่า อยากจะมีแฟนซักคน ทำไมไม่มีเหมือนคนอื่นซักที ....จารย์ต้องตรวจสอบแระ ว่าวิธีการจีบสาวของจารย์ มีจุดบอดมั้ย

ตาม ตย. จาก 18 จารย์รอที่ 10 แล้วมันลงมาแถว 11 แสดงว่า สาวที่จารย์จีบ และหมายปอง กะ ตัวจารย์เอง ทั้งสถานะ และทั้งทัศนะ ค่อนข้างใกล้เคียงกัน แสดงว่า เราสองก็พอจะมีอะไรๆ ที่พอจะไปกันได้อยู่พอสมควร

แล้วแบบนี้ จารย์เล่นจะรอแต่เคสที่ว่า "สเปคของฉัน" ต้องที่ 10 เท่านั้น ยิ่งสาวกดลงมา 10 แล้วกดลงมาอีกนิดที่ 9 "ฉัน" ยิ่งพอใจ

ปัญหาของจารย์ในเคสนี้ (ยิ่งถ้าเป็นเคสที่เกิดขึ้นบ่อยๆ อยู่ตลอดเวลาน่ะ) คือคำว่า "ฉัน" "ของฉัน" "มุมมองของฉัน" ....จารย์อาจจะให้น้ำหนักในตัวละคร"ฉัน" มากเกินไป
จารย์ต้องไม่ลืมมองว่าในเรื่องนี้ มันมี "เธอ" รวมอยู่ด้วย ...แล้วก็ยังมี "เขา" อีกคน หรือ"เขา"อีกหลายคน

ถ้า "เธอ"ในเรื่อง สวยมาก เปอร์เฟคสุดๆ ก็ย่อมมักจะมี "เขา" เป็นผู้แสดงสมทบที่ มีบทบาทหนักเบา แตกต่างกันไป อยู่อีกหลายคน

แต่อย่างที่บอก ถ้า"เธอ" จะไปกับ"เขา" ไม่เหลียวกลับมามอง "ฉัน" อีกเลย แล้วจารย์ไม่เสียใจ ไม่รู้สึกรู้สา เพราะจารย์ รักและมั่นคง ในความเป็น ตัวฉัน มากกว่าสิ่งอื่นใด จารย์ก็จะยังคงความสุขไว้ได้ ....อย่างนี้ จารย์ก็ไม่มีความจำเป็นต้อง ปรับตัว เพื่อโน้มเข้าไปหาใคร

ถ้างั้นทางแก้ คือ จารยืไม่ต้องปรับแก้ไข วิธี หรือกลยุทธ ในการจีบสาว ไม่ต้องสนใจประเมินกลยุทธของชายอื่น

แต่.....จารย์ยังอยากมีสาวเคียงกายอยู่ดี
อ่า.....งั้นจารย์ต้อง มีสาว ไว้เผื่อเลือก หลายๆสาวหน่อย

และนานเท่าที่มันจะนาน ก็คงจะมีสาวซักคน ที่โน้มตัวลงมาหาจารย์ ในซักวันหนึ่ง ต้องมีซักคนน่า ที่เกิดมาคู่กะเรา คิดซะงี้ ก็หมดความกังวลใจ แต่จะสบายใจหรือเป่า ก็อีกเรื่อง


:lol:

ถ้าดิฉันสื่อไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าค่ะ

เห็นด้วยกะ 007 ครับ ถ้าไม่มีตัวอื่นที่ดีกว่า 11 พี่ก็ซื้อครับ แต่ต้องรู้ว่า เรากำลังซื้อ หุ้นที่เกินพื้นฐานที่ตีราคาไว้ เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตามหุ้นอุตส่าห์ลงจาก 18 มา 11 แล้ว คงต้องไปดูรายละเอียดเล็กน้อย ว่าลงเพราะอะไร ถ้าโชคดี มีข่าวร้าย ที่แก้ไขได้

เช่นสมัยก่อน ums เจอข่าวสวนส้ม หรือ ptt เจอข่าวออกจากตลาด หรือ subprime หรือ ระเบิด หรือ หวัดนก หรืออะไรก็แล้วแต่

การซื้อที่ 11 จะทำให้ขาดวินัย

การดูหุ้น ดูทีเดียว 10-20 ตัว ไม่มีปัญหา การจีบสาวจีบที่เดียว 10-20 คงสับขาหลอกไม่ทันครับ น้อง oo7

ตามอ่านของคุณ 007-s มาตลอด

ชอบมากๆครับ

Jeng เขียน:แต่ ถ้าบอกว่า vi ไม่ขายเลย อืม ต้องอมพระประธานมาพูดมั๊ง

วีไอที่ไหนพูดครับ  ผมไม่เคยได้ยิน

วีไอขายเมื่อเกินมูลค่า

บัฟเฟตต์ยังขายปิโตรไชน่าหลังจากซื้อไม่กี่ปี

พี่เจ๋งกล่าวอ้างแบบนี้  อาจจะทำให้คนเข้าใจแนวทางวีไอผิดไป

หลายคนพูดอย่างนั้นจริง และบางคนก็พูดในเว็บวีไอ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาอยู่ในเว็บจะทำให้เขาเป็นวีไอ  

จะบอกว่าความคิดของคนที่เข้าเว็บวีไอนั้นเป็นหลักการของวีไอ  ผมว่าไม่ถูกต้อง

และถ้าคนเข้าใจแนวทางวีไอผิดไป  

คนมาทีหลังก็จะพลอยเข้าใจวีไอผิดไป  ไม่เกิดผลดีอะไรเลย

ผมเข้าใจว่าพี่เจ๋งไม่ได้มีเจตนาอย่างที่ว่า เพียงแต่เมื่อตัวหนังสือสามารถตีความไปทางนั้นได้  ผมก็เลยจำเป็นต้องแก้ต่างให้ตามตัวหนังสือ :lol:

ซื้อง่ายจะขายยาก

ซื้อยากจะขายง่าย

ประโยคนี้ผมเห็นด้วยครับ

แต่เห็นด้วยในความหมายที่อาจจะต่างออกไป

ผมเห็นด้วยในความหมายที่ปีเตอร์ ลินช์เคยพูดไว้ว่า

เขาชอบหุ้นที่ชื่อดูน่าเบื่อ  ซึ่งแปลว่าเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ  จึงมีอานิสงส์ดังนี้
1. เมื่อน่าเบื่อคนเล่นก็น้อย  
2. คนสนใจวิเคราะห์ก็น้อย
3. การซื้อๆขายๆก็น้อย  และเมื่อสภาพคล่องน้อย
4. ราคาจึงมักจะต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง  มักจะเฉยๆนะครับ ไม่ใช่เสมอไป

แต่ประเด็นหลักคือเรื่องสภาพคล่องน้อย  
เพราะถ้าไปเจอหุ้นที่น่าเบื่อแต่ช่วงหนึ่งกลับฮิตติดระเบิด วอลุ่มทะลัก  อย่างนี้ปีเตอร์ ลินช์ก็ไม่ชอบ

หรือตรงกันข้าง ไปเจอหุ้นที่ชื่อสะดุดตาเหลือเกินไม่น่าเบื่อแม้แต่น้อย  แต่จังหวะหนึ่งของชีวิต  หุ้นตัวนี้ทุกคนพากันเอือมระอา จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม  และทำให้การซื้อขายเงียบเหงาอย่างยาวนาน นักวิเคราะห์ไม่พูดถึง  อย่างนี้ปีเตอร์ ลินช์ก็ชอบ

และหุ้นทำนองนี้จึงมักจะเก็บได้ยาก
เข้าทำนอง ซื้อยาก

และควรพิจารณาขายเมื่อหุ้นตัวนี้เป็นที่นิยม วอลุ่มทะลัก

จึงเข้ากับคำพูด ขายง่าย

อย่างไรก็ตามการใช้เทคนิคนี้ "ซื้อยากขายง่าย" ก็สู้การ "ประเมินมูลค่าหุ้น" ไม่ได้ เพราะอาจจะไปเจอหุ้นที่น่าเบื่อหรือซื้อยากๆ  แต่ที่ยากเป็นเพราะหุ้นเน่าจริงๆแย่จริงๆก็เป็นได้

เทคนิคนี้จึงเป็นแต่เพียงเทคนิคที่ช่วยเป็นองค์ประกอบการตัดสินใจซื้อๆขายๆเท่านั้นเอง แต่ปีเตอร์ ลินช์ เองก็ใช้เทคนิคนี้เช่นกัน

ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณครับพี่เจ๋ง

สุดยอด
โดนเต็มๆ

สามัญชน เขียน:

วีไอที่ไหนพูดครับ

สามัญชน เขียน:

พี่หมอสามัญชน ท่านประธานนาน ๆ ออกความเห็นที แต่เยี่ยมยอดอยู่เสมอครับ

แซวนิดนึง.. ตอนแรกคิดว่าท่านประธานจะออกมาใช้สิทธิพาดพิงเพราะว่าคุณพี่ Jeng จะแย่งเอาพระของพี่หมอมาอมเสียอีก ...  8)

กระทู้เยี่ยมยอดอีกแล้ว