หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ธ.โลกชี้ไทยบ๊วยสุดในเอเชีย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 16, 2007 8:55 am
โดย vichit
ธ.โลกชี้ไทยบ๊วยสุดในเอเชีย

             น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า
ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัว 4.6% ซึ่งเป็นอัตรการเติบโตที่ต่ำสุด
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ใน
อัตราดังกล่าวมาจากมีปัจจัยความไม่แน่นอนหลายประการ ได้แก่ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น คาดว่าปี
หน้าราคาน้ำมันในประเทศจะเพิ่มมากกว่า 5%, มูลค่าการค้าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ตาม
การค้าโลกที่ขยายตัวชะลอลง, ค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้น โดยทั้งปีจะเฉลี่ยที่ 34 บาทต่อดอลลาร์
สหรัฐ, ราคาสินค้าส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจะไม่เพิ่มสูงเหมือนปีนี้ และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่
ที่ 3% แม้จะยังไม่สูงมาก แต่มากกว่าปีนี้ซึ่งอยู่ที่ 2.2%
            ส่วนปัจจัยบวกที่พอจะช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะใกล้
เคียงหรือต่ำกว่าปีนี้เล็กน้อย ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ที่ต้องการกู้เงินลงทุน หรือใช้จ่าย, ราคาเครื่องจักรที่
นำเข้าที่จะต่ำกว่าปีนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการนำเข้าได้ และอีกปัจจัยคือ การเลือกตั้ง และจัดตั้ง
รัฐบาลใหม่ภายในเดือน ก.พ. 51 หากรัฐบาลให้นโยบายที่ชัดเจน ก็จะช่วยให้ภาคเอกชนมีความ
เชื่อมั่นขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นเศรษฐกิจจะพลิกฟื้นได้
           เศรษฐกิจบ้านเรา เท่าที่ดู อย่างน้อยปีหน้าโตต่ำกว่าประเทศอื่น ที่ช้ากว่าประเทศอื่น
เพราะปัจจัยในประเทศของเราเอง ถ้าปัจจัยในประเทศเราดีขึ้น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
ก็จะสูงขึ้นมาได้ พอเศรษฐกิจเราโตช้า เศรษฐกิจประเทศอื่นเขาโตเร็วกว่าเรา เขาก้าวไปก่อน
เราไปไล่ตามเขาอาจจะยาก เศรษฐกิจเขาขยายตัว เขาก็ไปลงทุนพัฒนาการผลิตได้มากกว่าเรา
ซึ่งจะส่งผลในระยะปานกลางและระยะยาวด้านความสามารถในการแข่งขันของเรา
            ทั้งนี้คาดว่า การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 4% จากปีนี้ที่น่าจะขยายตัวได้แค่ 1.4%
ส่วนการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวได้ 3% จากที่ปีนี้น่าจะขยายตัว 10.6% ส่วนการลงทุนภาค
เอกชน จะขยายตัว 10% จากที่ปีนี้น่าจะหดตัว 0.2% ส่วนการลงทุนภาครัฐ น่าจะเพิ่มขึ้น 8%
จากที่ปีนี้น่าจะเพิ่มเพียง 4% ทางด้านการส่งออกคาดว่าขยายตัว 7.2% จากปีนี้คาดว่าขยายตัว
6.5% ส่วนการนำเข้าจะขยายตัว 10.5% จากปีนี้คาดว่าขยายตัว 2.5%
           น.ส.กิริฎา กล่าวถึงมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า
ถ้ายกเลิกได้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องดูเวลาที่เหมาะสม โดยควรยกเลิกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น
ทยอยลดสัดส่วน ลดระยะเวลาการบริหารความ เสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (เฮดจิ้ง) เพราะตลาดขอ
เพียงได้เห็นข่าวดีเพียงเล็กน้อย ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนได้แล้ว จากปัจจุบันที่
มาตรการมีผลทางจิตวิทยา ทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ลดลง แต่การที่
เอฟดีไอลดลง ก็มาจากปัจจัยด้านการเมืองที่มีการปฏิวัติ และร่าง พ.ร.บ. ประกอบธุรกิจต่างด้าว
ด้วย
           นายมิลาน บรามบัต นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก ผู้เขียนรายงานอีส เอเชีย แปซิฟิก อัพ
เดท กล่าวว่า ประเทศเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นสูงสุด
เท่าที่เคยมีมา โดยหากรวมเงินสำรองที่เป็นสกุลต่างประเทศของประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุด 9
ลำดับแรกของภูมิภาค ซึ่งรวมถึงไทยด้วย มีทุนสำรองถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น
45,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน แต่ 80% ของทุนสำรองทั้งหมดที่เพิ่มขึ้น อยู่
ในประเทศจีน
             อนึ่ง หลายสำนักได้มีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งความหวังไว้
ที่นโยบายของรัฐบาลใหม่เป็นส่วนใหญ่

ที่มา : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์