กำไรธรรมดา ทีไม่ธรรมดา หากมีเงินมากพอ
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 17, 2007 12:27 am
ผมคิดว่านักลงทุนกำลังพยายามทุ่มเทศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างมาก โดยการศึกษา
1. สภาพเศรษฐกิจโดยรวม ค่าเงิน น้ำมัน ดอกเบี้ย เป็นต้น
2. สภาพอุตสาหกรรมโดยรวม ว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร
3. หุ้นที่กำลังสนใจ ว่าผลประกอบการณ์เป็นอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร
4. ราคาที่ควรซื้อ ถือ และควรขายเมื่อไร เพราะอะไร
สรุปคือเราศึกษากันทุกอย่างที่ควรจะศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น
แต่ถ้ามาสังเกต ตัวเลข เล็กน้อย โดยการเปรียบเทียบ นักลงทุนคนหนึ่งลงทุน 10 ล้าน กำไร 10 % ก็ได้กำไร 1 ล้าน ซึ่งกำไร 10 % เป็นกำไร ที่สามารถทำได้ คือคนธรรมดา สามารถทำได้
ในขณะ ที่นักลงทุนอีกคนหนึ่ง ลงทุน 1 ล้าน หากจะทำกำไรให้ได้ 1 ล้าน ต้องกำไร 100 % ซึ่งบางปีอาจจะทำได้ แต่ถ้าจะทำให้ได้ทุกปี หลายๆปีติดต่อกัน ยังไม่มีใครในโลกแม้แต่ วอเรน บัพเฟต ก็ไม่สามารถทำได้
ประเด็นที่ผมคิดคือ กำไรธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา เกิดจากอะไรกันแน่
หากว่าความสำเร็จในการลงทุนเกิดจาก
1. มีความรู้ ความสามารถ และมีผลงานที่ประสบความสำเร็จจริงในการลงทุน
2. มีเงินมากพอ ที่จะทำให้ได้กำไร เป็นเม็ดเงินก้อนโต
ผมคิดว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ทุ่มเทไปทำข้อ 1.
และอาจจะละเลยข้อ 2.
หากเราให้น้ำหนักความสำคัญ ระหว่างข้อ 1 กับข้อ 2 ผมคิดว่า น่าจะ 50 : 50
หรือเอามารวมกันเป็นว่า มีเงินมากพอ และมีความสามารถในการลงทุนให้ได้กำไร โดยหวังกำไรอย่างธรรมดา เช่น 10 - 20 % ต่อปี
แทนที่จะตั้งเป้าให้ได้กำไรเยอะๆ ต่อปี แต่เปลี่ยนเป็น ตั้งเป้า ว่า ในช่วงแรกๆของการลงทุน ห้ามนำเงินกำไร ไปใช้จ่าย เพราะว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ กำลังจะออกลูก ออกหลานเป็นเงินต่อไป
แล้วจะเอาผลกำไรไปใช้ได้เมื่อไร ก็ต้องรอให้พอร์ทใหญ่มากพอ เหมือนต้นไม้ใหญ่มากพอ เราจะเด็ดกินผล กินใบอ่อนบ้าง ต้นไม้ใหญ่ ก็ยังเติบโตต่อไป
การทำกำไร ต่อปี นักลงทุนมักจะคิดเป็น % กำไรของพอร์ท ว่าปีนี้กำไร กี่ %
แต่ถ้ามาคิดอีกแบบ คือเมื่อเรามีเงินมากพอเช่น 10 ล้านบาท เงิน 10 ล้านบาท กับประสบการณ์ในการทำกำไร ทำให้เราสามารถเอามาหาเงินต่อได้ เช่นปีละ 20 % เราก็จะได้กำไรขึ้นมาปีละ 2 ล้านบาท
ไม่ช้าไม่นาน เงิน 10 ล้านบาท จะกลายเป็น 20 ล้าน และเมื่อเราทำกำไรปีต่อไปได้ 20 % เราก็จะได้มาปีละ 4 ล้านบาท
ผมคิดว่า นักลงทุนที่ร่ำรวยหลายๆคน ไม่ได้คิด % กำไรของพอร์ท แต่เขาคิดว่า ปีนี้ เขารวยขึ้นมาประมาณเท่าไร
% ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป หากใครมีเงิน 3000 ล้าน แล้วได้กำไรต่อปี ในปีนั้นเพียง 5 % เขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นมาสูงถึง 150 ล้านบาท
ที่สำคัญคือ นักลงทุนหน้าใหม่ที่มีเงินน้อยๆ ควรจะเน้น ไปที่ข้อ 1 หรือ ข้อ 2
ก็ลองให้น้ำหนักกันเองนะครับ
และถ้าเราให้น้ำหนักข้อ 2 มากพอควร ปัจจุบัน เราคิด วางแผน และลงมือทำ เพื่อให้ข้อ 2 เป็นจริงขี้นมาจริงๆหรือเปล่าครับ
1. สภาพเศรษฐกิจโดยรวม ค่าเงิน น้ำมัน ดอกเบี้ย เป็นต้น
2. สภาพอุตสาหกรรมโดยรวม ว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร
3. หุ้นที่กำลังสนใจ ว่าผลประกอบการณ์เป็นอย่างไร อนาคตเป็นอย่างไร
4. ราคาที่ควรซื้อ ถือ และควรขายเมื่อไร เพราะอะไร
สรุปคือเราศึกษากันทุกอย่างที่ควรจะศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น
แต่ถ้ามาสังเกต ตัวเลข เล็กน้อย โดยการเปรียบเทียบ นักลงทุนคนหนึ่งลงทุน 10 ล้าน กำไร 10 % ก็ได้กำไร 1 ล้าน ซึ่งกำไร 10 % เป็นกำไร ที่สามารถทำได้ คือคนธรรมดา สามารถทำได้
ในขณะ ที่นักลงทุนอีกคนหนึ่ง ลงทุน 1 ล้าน หากจะทำกำไรให้ได้ 1 ล้าน ต้องกำไร 100 % ซึ่งบางปีอาจจะทำได้ แต่ถ้าจะทำให้ได้ทุกปี หลายๆปีติดต่อกัน ยังไม่มีใครในโลกแม้แต่ วอเรน บัพเฟต ก็ไม่สามารถทำได้
ประเด็นที่ผมคิดคือ กำไรธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา เกิดจากอะไรกันแน่
หากว่าความสำเร็จในการลงทุนเกิดจาก
1. มีความรู้ ความสามารถ และมีผลงานที่ประสบความสำเร็จจริงในการลงทุน
2. มีเงินมากพอ ที่จะทำให้ได้กำไร เป็นเม็ดเงินก้อนโต
ผมคิดว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ทุ่มเทไปทำข้อ 1.
และอาจจะละเลยข้อ 2.
หากเราให้น้ำหนักความสำคัญ ระหว่างข้อ 1 กับข้อ 2 ผมคิดว่า น่าจะ 50 : 50
หรือเอามารวมกันเป็นว่า มีเงินมากพอ และมีความสามารถในการลงทุนให้ได้กำไร โดยหวังกำไรอย่างธรรมดา เช่น 10 - 20 % ต่อปี
แทนที่จะตั้งเป้าให้ได้กำไรเยอะๆ ต่อปี แต่เปลี่ยนเป็น ตั้งเป้า ว่า ในช่วงแรกๆของการลงทุน ห้ามนำเงินกำไร ไปใช้จ่าย เพราะว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ กำลังจะออกลูก ออกหลานเป็นเงินต่อไป
แล้วจะเอาผลกำไรไปใช้ได้เมื่อไร ก็ต้องรอให้พอร์ทใหญ่มากพอ เหมือนต้นไม้ใหญ่มากพอ เราจะเด็ดกินผล กินใบอ่อนบ้าง ต้นไม้ใหญ่ ก็ยังเติบโตต่อไป
การทำกำไร ต่อปี นักลงทุนมักจะคิดเป็น % กำไรของพอร์ท ว่าปีนี้กำไร กี่ %
แต่ถ้ามาคิดอีกแบบ คือเมื่อเรามีเงินมากพอเช่น 10 ล้านบาท เงิน 10 ล้านบาท กับประสบการณ์ในการทำกำไร ทำให้เราสามารถเอามาหาเงินต่อได้ เช่นปีละ 20 % เราก็จะได้กำไรขึ้นมาปีละ 2 ล้านบาท
ไม่ช้าไม่นาน เงิน 10 ล้านบาท จะกลายเป็น 20 ล้าน และเมื่อเราทำกำไรปีต่อไปได้ 20 % เราก็จะได้มาปีละ 4 ล้านบาท
ผมคิดว่า นักลงทุนที่ร่ำรวยหลายๆคน ไม่ได้คิด % กำไรของพอร์ท แต่เขาคิดว่า ปีนี้ เขารวยขึ้นมาประมาณเท่าไร
% ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป หากใครมีเงิน 3000 ล้าน แล้วได้กำไรต่อปี ในปีนั้นเพียง 5 % เขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นมาสูงถึง 150 ล้านบาท
ที่สำคัญคือ นักลงทุนหน้าใหม่ที่มีเงินน้อยๆ ควรจะเน้น ไปที่ข้อ 1 หรือ ข้อ 2
ก็ลองให้น้ำหนักกันเองนะครับ
และถ้าเราให้น้ำหนักข้อ 2 มากพอควร ปัจจุบัน เราคิด วางแผน และลงมือทำ เพื่อให้ข้อ 2 เป็นจริงขี้นมาจริงๆหรือเปล่าครับ