หน้า 1 จากทั้งหมด 1

S2Y Today

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 4:14 pm
โดย oatty
เกิดอะไรขึ้นครับผม หรือว่าช่วยพยุงตลาด  :?:

S2Y Today

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 4:23 pm
โดย gnomeller
เห็นแล้ว ว่าจะเข้าไปซิ่งด้วยเหมือนกัน
คิดอีกที นั่งดูเค้าซัดกันอยู่ข้างๆดีกว่า ขอเป็นคนเชียร  :lol:

S2Y Today

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 5:11 pm
โดย Jeng
ไม่ไร มันลงไปเยอะ จาก 2.74 ลงไป 1.50 ก็เด้งมางั้นเอง

S2Y Today

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 10:05 pm
โดย augustz
สงสัยจะไม่รอดสัปดาห์หน้าซะมั้งครับ
จับตา S2Y-MDX อาจเข้าปิ้งห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้นรายต่อไป

         หวั่น S2Y-MDX อาจถูกจับเข้าปิ้ง ห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น เป็นรายต่อไป หลังราคาสวิงกิ้งไม่เกรงใจ ตลท. ขณะที่รุ่นพี่ IEC ปลดพันธนาการวันแรก ปริมาณการซื้อขายคึกคัก แต่ราคาไม่ขยับ ฟาก TUCC ใกล้หมดกรรม คาดสัปดาห์หน้าถูกปล่อยเป็นอิสระ ส่วน APURE ยังไม่สลด เซียนหุ้นชี้มีโอกาสถูกจองจำต่อ

 แล้วก็เป็นไปตามคาดแบบไม่พลิกโผ บมจ. อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC) ถูกปลดพันธนาการ สามารถซื้อขายแบบเน็ทเซ็ทเทิลเม้นท์ และมาร์จิ้นได้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (24 ส.ค.) ดูเหมือนว่าจะเป็นความหวังของอีก 2 บริษัทที่กำลังจะหมดมาตรการห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น ในสัปดาห์นี้ นั่นคือ บมจ. อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) และ บมจ.ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์ (TUCC) ท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวน หนักไปในทางซึมลง หลังจากเกิดความวิตกเกี่ยวกับวิกฤติซับไพร์ม ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นทั่วภูมิภาคออกมาอย่างหนัก โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทยมีแรงขายอออกมาแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท ในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา กูรูต่างก็ประเมินว่าแรงขายน่าจะเบาบางลงแล้ว เพราะเฮจด์ ฟันด์ หรือกองทุนระยะสั้นน่าจะมีเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท และน่าจะเทขายออกมาเกือบหมดแล้ว ส่งผลให้ความเสี่ยงของตลาดหุ้นในขาลงมีน้อยลง
              ทั้งนี้แม้ว่าความเสี่ยงในทางขายจากต่างชาติมีไม่มากแล้ว แต่การกลับเข้ามาซื้อยังจริงจังยังไม่เห็นสัญญาณว่าจะเกิดขึ้น ทำให้ภาวะตลาดในภาพรวมอยู่ในลักษณะที่ค่อนข้างผันผวน และมูลค่าการซื้อขายเบาบางลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยวันศุกร์ที่ผ่านมามีวอลุ่มแค่ 9 พันกว่าล้านบาท สะท้อนว่าคนไทยก็ไม่กล้าเล่น ต่างชาติก็ชะลอลงทุน
แต่ในช่วงตลาดซบแบบนี้กลับมีหุ้นขนาดเล็กที่ผงาดขึ้นมาชิงพื้นที่ในหน้ากระดาน เบียดหุ้นขนาดใหญ่ตกขอบ ที่แรงที่สุดเห็นจะเป็น บมจ.สยามทูยู (S2Y) ที่มูลค่าการซื้อขายขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ที่ 736.55 ล้านบาท ราคาหุ้นปิดที่ 1.79 บาท เพิ่มขึ้น 0.29 บาท หรือ 19.33% โดยราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1.93 บาท และอีกหนึ่งบริษัทที่มาแรงในช่วงเช้า แต่แรงตกในช่วงบ่ายคือ บมจ. เอ็ม ดี เอ็กซ์ (MDX) ที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 4.34 บาท แต่ในช่วงบ่ายราคาถูกกดลงมาเหลือแค่ 3.90 บาท ลดลง 0.26 บาท หรือ 6.25% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 127.72 ล้านบาท

**จับตา S2Y-MDX เข้าปิ้งห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น เป็นรายต่อไป
             แหล่งข่าวจากวงการหลักทรัพย์ให้ความเห็นว่าหุ้น S2Y และ MDX ถือว่าเป็นหุ้นที่น่าจับตามอง และควรระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นค่อนข้างหวือหวา และวิ่งขึ้นโดยที่ไม่มีปัจจัยมาสนับสนุน ดังนั้นอาจจะมีโอกาสที่จะถูกตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามการซื้อขายแบบเน็ทเซ็ทเทิลเม้นท์ และมาร์จิ้นได้ หากพบว่ามูลค่าและปริมาณการซื้อขายผิดไปจากสภาพการซื้อขายปกติ
             ทั้งนี้ในส่วนของ MDX ราคาปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา โดยมีปริมาณการซื้อขายเข้ามาสนับสนุนอย่างโดดเด่น โดยราคาขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 4.44 บาท เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ก่อนจะปิดการซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ 3.90 บาท ซึ่งคาดว่าราคาที่ถูกกดลงมาช่วงปลายตลาดอาจจะเกิดจากแรงขายของนักลงทุนที่เกรงว่าหุ้น MDX จะถูกตลาดหลักทรัพย์ห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น จึงขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยง
             ขณะที่ S2Y ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาติดต่อกัน 3 วันทำการ โดยมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบสัปดาห์ที่ 1.93 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1.79 บาท
             นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ทั้งหุ้น S2Y และ MDX เป็นหุ้นที่เหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น โดยในส่วนของ S2Y มีแนวต้านที่ 1.91-1.93 บาท แนวรับที่ 1.77 บาท หากราคาหุ้นหลุด 1.50 บาท ควรขายตัดขาดทุน ส่วน MDX มีแนวต้านที่ 4-4.10 บาท ส่วนแนวรับอยู่ที่ 3.60-3.70 บาท
            "คิดว่า S2Y ถ้ายังวิ่งต่อเกิน 2 บาท ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้น ส่วน MDX เพิ่งกลับมาเทรดไม่นาน ประกอบกับเป็นหุ้นที่พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง ถ้าราคายังไม่ต่ำกว่า 3 บาทก็ยังถือได้"

**คาดสัปดาห์หน้า APURE โดนจับขังอีกรอบ ส่วน TUCC รอด
             นายสิทธิพร ยังให้ความเห็นว่าหุ้น APURE ที่จะถูกห้ามเน็ทฯ-มาร์จิ้นเป็นวัดสุดท้ายวันที่ 28 ส.ค. นี้ มีโอกาสที่จะถูกต่อวีซ่า เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นยังค่อนข้างหวือหวา โดยเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ราคาปรับขึ้นแรง ส่วน TUCC ซึ่งจะถูกดำเนินมาตรการวันที่ 31 ส.ค. เป็นวันสุดท้ายน่าจะไม่ถูกต่อ เนื่องจากราคาหุ้นไม่หวือหวา
             ทั้งนี้ราคาหุ้น APURE เริ่มดีดตัวขึ้นตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค. ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะวิ่งขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 3.74 บาท เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และราคาหุ้นปิดการซื้อขายที่ระดับดังกล่าว ซึ่งถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 100.09 ล้านบาท
ขณะที่หุ้น TUCC ปริมาณการซื้อขายหดหายไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นปิดที่ 8.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 2.48% มูลค่าการซื้อขายเพียง 16.51 ล้านบาท

**ลุ้นหุ้นสัปดาห์นี้ทะลุ 800 จุด
             ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนียังคงผันผวน โดยปรับตัวลดลงแตะจุดต่ำสุดที่ 783.70 จุด ก่อนจะมีแรงซื้อช่วงปลายตลาดดันดัชนีปิดเหนือแนวต้าน 890 จุดได้สำเร็จ แต่มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง โดยดัชนีฯปิดที่ 790.72 จุด ลดลง 0.78 จุด หรือ 0.10% มูลค่าการซื้อขายเพียง 9,947.48 ล้านบาทเท่านั้น
             นายสิทธิพร ระบุว่า ดัชนีฯสามารถปิดเหนือแนวต้านสำคัญที่ 790 จุดได้ แม้ว่ามูลค่าการซื้อขายจะเบาบาง ดังนั้นในสัปดาห์นี้หุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ นอกจากนี้ยังมีความชัดเจนในด้านการเมืองหลังจากที่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย รับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์ รวมไปถึงกำหนดการเลือกตั้งที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าสัปดาห์นี้จะมีความชัดเจนมากขึ้นอีก
             โดยดัชนีมีแนวต้านระดับ 800 จุด และหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อาจมีอิทธิพลมากขึ้นในสัปดาห์นี้
             นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสัปดาห์นี้ ต้องติดตามประเด็นการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ว่ามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหรือไม่ซึ่งหากมีการปรับลดลงอีก 0.50% จาก 3.25% ในปัจจุบัน ก็น่าส่งผลดีให้ดัชนีฯปรับเพิ่มขึ้นได้
             นอกจากนี้ ต้องติดตามราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าเป็นเช่นใด โดยหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการปรับเพิ่มขึ้นยืนเหนือ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ก็มีผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาจนดันดัชนีฯปรับเพิ่มได้
             'สัปดาห์หน้าดู 3 เรื่องหลักๆ กนง.ลดดอกเบี้ยหรือไม่ น้ำมันโลกเป็นอย่างไร และตลาดหุ้นต่างประเทศบวกหรือลบ เพราะตลาดหุ้นไทยรอปัจจัยเหล่านี้อยู่'นางสาวอาภาภรณ์ กล่าว
             อย่างไรก็ตาม ประเมินดัชนีฯสัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 760 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 800 - 810 จุด แนะนำให้เลือกเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าได้ประโยชน์อัตราดอกเบี้ยขาลง โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ QH,LPN,AP,PS รวมถึงหุ้นที่พื้นฐานดีกลุ่มพลังงานและ ปิโตรเคมี อย่าง PTT -ATC และ IRP

ที่มา : http://www.efinancethai.com/

S2Y Today

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 11:33 am
โดย tummeng
คู่แข่ง Brock เลยนะเนี่ย  :lol:

***************

บอร์ด S2Y  ทุ่มเงิน 65 ลบ.ซื้อหุ้น 2 บริษัท  รุกธุรกิจโรงแรมเกาะสมุย

นายไซม่อน มอร์ริส เกโรวิช   กรรมการผู้จัดการ   บริษัท สยาม ทู ยู จำกัด
(มหาชน) (S2Y) เปิดเผยว่า  ตามที่ บริษัท ได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการ
บริษัทฯครั้งที่ 11/2550 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 คณะกรรมการบริษัทมีมติเป็น
เอกฉันท์อนุมัติให้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทจำกัด 2 บริษัท เพื่อเข้าพัฒนาโครงการ
โรงแรม และที่อยู่อาศัยที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยมีรายละเอียดดังนี้

1. ซื้อหุ้นจำนวนร้อยละ 22.94 ของบริษัท ฟีน่า ปาร์ค จำกัด

วันที่เข้าทำรายการ                   27 สิงหาคม 2550

ผู้ซื้อ                              บริษัท สยาม ทู ยู จำกัด (มหาชน) ('สยาม ทู ยู')

ผู้ขาย                             บริษัท วิทยา ปาร์ค จำกัด ('วิทยา ปาร์ค')

ความสัมพันธ์กับบริษัทจดทะเบียน                   วิทยา ปาร์ค ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
สยาม ทู ยู

รายละเอียดของรายการ               เข้าซื้อหุ้นจำนวน 1,950,000 หุ้น ในบริษัท ฟีน่า
ปาร์ค จำกัด มูลค่า หุ้นละ 10 บาท (ซึ่งเท่ากับราคาพาร์) หรือเท่ากับร้อยละ 22.94
ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว โดย ฟี น่า พาร์ค มีทุนจดทะเบีย น 85,000,000 บาท

                             กรรมการบริษัท ฟีน่า ปาร์ค จำกัด ปัจจุบันคือ นายกฤษน์ ศรี
ชวาลา และนายอัครเดช ศรีชวาลา ซึ่งหลังจากสยาม ทู ยู เข้าเป็นผู้ถือหุ้นของ ฟีน่า
ปาร์ค แล้ว นายไซม่อน มอร์ริส เกโรวิช และ นายมาร์ค มิเชล  ไรเนค จะได้รับการ
แต่งตั้งเป็นกรรมการบริษัท ฟีน่า ปาร์ค ต่อไป

มูลค่ารายการ                    19,500,000 บาท หรือ ราคาหุ้นละ 10 บาท

ขนาดรายการ                    เป็นการเข้าทำรายการขนาด ร้อยละ 4.76 ของสินทรัพย์
รวม ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2550 ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดที่คำนวณได้จากหลักเกณฑ์ตาม
ประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูล
และการปฏิบัติของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน

                             โดยการประเมิ น มู ล ค่ า ของสิ น ทรั พ ย์ เพื่ อ เปรี ย บเที
ย บมู ล ค่ า ของรายการ สยาม ทู ยู ได้ปรับปรุงตัวเลขจากงบการเงิน ระหว่างการ
ไตรมาสที่ 2 จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2550 เป็นดังนี้

                                                                             (หน่วย: พันบาท)
                                            ณ 30 มิถุนายน 2550                 ณ 15 สิงหาคม 2550
              สินทรัพย์รวม                     59,622                           409,751
              หนี้สินรวม                       10,390                           10,390
              ทุนจดทะเบียน                    40,932                           391,367
              ทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว 40,932                                  391,367
              ส่วนของผู้ถือหุ้น                   49,232                           399,361

การคำนวณขนาดรายการ            จำนวนเงินที่จ่ายหรือได้รับ X 100 สินทรัพย์ของ
บริษัทจดทะเบียน= (19,500,000 x 100) / 409,751,000 = 4.76 %

วัตถุประสงค์ของบริษัท              เพื่อพัฒนา และดำเนินโครงการโรงแรม

แหล่งเงินทุนที่ใช้                   เงินจากการเพิ่มทุน

ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดแก่บริษัท             1) นำมาซึ่งโอกาสในการร่วมทุนกับ
บริษัทผู้พัฒนาโรงแรมที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ ยวชาญบนทำเลอันดีเยี่ย ม  
ทั้ ง นี้ วิ ท ยา ปาร์ ค เป็ น อี ก หนึ่ ง บริ ษั ท จํ า กั ด ซึ่ ง เป็ น ของครอบครัวศรี
ชวาลา เจ้าของโครงการโรงแรม เลอ ฟินิกซ์ (Le Fenix), ฟินิกซ์ ทาวเวอร์ (Fenix
Towers), อินเตอร์เชนจ์  21 (Interchange 21) และโรงแรมมินเลนเนียม (Millennium
Hotel) ที่ดินในทำเลดังกล่าวนั้นบางส่วนถือครองโดย คาซ่าฟีโก้ ซึ่งรวมถึงโรงแรมแห
ลมเส็ท (Leam Set Inn) เกาะสมุย ซึ่งเป็นสินทรัพย์อันเป็นเอกลักษณ์ และเป็นที่รู้จัก
กันเป็นอย่างดีในเกาะสมุย ทั้งนี้ คาซ่า ฟิโก้ จะดำเนินการพัฒนา สถานที่พักอาศัย
สำหรับขาย และให้เช่า โดยจะมีการสร้าง  แบรนด์ บริ ห ารจั ด การ และสนั บ สนุ น
ในด้ า นสิ่ ง อํ า นวย  ความสะดวกอย่างมากมายบนที่ดินที่ติดกัน

                                      2) ในการเข้าทำการพัฒนาที่ดินดังกล่าวจะส่งผลให้ ฟี
น่า ปาร์ค จะต้องสรรหาบริษัทเพื่อเข้ามารับทำงาน ได้แก่การจัดการ, การพัฒนา, การ
จัดการโครงการ, การตลาด, การวางแผนสำหรับสื่อ และการบริการทางด้านบันเทิง
ดิจิตอล ทั้ ง นี้ สยาม ทู ยู อยู่ ใ นสถานะที่ มี ค วามสามารถที่ จ ะ ให้บริการต่าง ๆ
เหล่านี้ได้

                                      3) สยาม ทู ยู มุ่งหวังผลกำไรที่จะได้รับจากการพัฒนา
โครงการแห่งนี้ เนื่องด้วยตลาดโรงแรมที่พัก และรีสอร์ทในประเทศไทยได้รับความ
นิยมเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันอัตราค่าโรงแรมที่พักก็คงสูงขึ้นตามลำดับ อีกทั้ง
เกาะสมุยกำลังเฟื่องฟูกับโรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งใหม่อีกหลายแห่ง  อี ก ทั้ ง การ
ขยาย และเพิ่ ม เที่ ย วบิ น ของสายการบิ น ยั ง ช่ ว ยส่งเสริมการมาเยื่อนของนัก
ท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

2. ซื้อหุ้นจำนวนร้อยละ 31.38 ของบริษัท คาซ่า ฟิโก้ จำกัด

วันที่เข้าทำรายการ                    27 สิงหาคม 2550

ผู้ซื้อ                               บริษัท สยาม ทู ยู จำกัด (มหาชน) ('สยาม ทู ยู')

ผู้ขาย                              บริษัท วิทยา ปาร์ค จำกัด ('วิทยา ปาร์ค')

ความสัมพันธ์กับบริษัทจดทะเบียน                    วิทยา ปาร์ค ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
สยาม ทู ยู

รายละเอียดของรายการ                เข้าซื้อหุ้นจำนวน 4,550,000 หุ้น ใน คาซ่า ฟิโก้
มูลค่าหุ้นละ 10 บาท  (ซึ่งเท่ากับราคาพาร์) หรือเท่ากับร้อยละ 31.38 ของทุนจด
ทะเบียนที่ชำระแล้ว โดยคาซ่า ฟิโก้ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 145,000,000 บาท

                                 กรรมการบริษัท คาซ่า ฟิโก้ ปัจจุบันคือ นายกฤษน์ ศรี
ชวาลา และนายอัครเดช ศรีชวาลา ซึ่งหลังจากสยาม ทู ยู เข้าเป็นผู้ถือหุ้นของ คา
ซ่า ฟิโก้ แล้ว นายไซม่อน มอร์ริส เกโรวิช และ นายมาร์ค มิเชล   ไรเนค จะได้รับ
การแต่งตั้งเป็นกรรมการของ คาซ่า ฟิโก้ ต่อไป

มูลค่ารายการ                        45,500,000 บาท หรือ ราคาหุ้นละ 10 บาท

ขนาดรายการ                        เป็นการเข้าทำรายการขนาด ร้อยละ 11.10 ของ
สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2550 ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดที่คำนวณได้จากหลัก
เกณฑ์ ตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง  การเปิด
เผยข้อมูล และการปฏิบัติของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่ง
ทรัพย์สิน

                                 โดยการประเมิ น มู ล ค่ า ของสิ น ทรั พ ย์ เพื่ อ เปรี ย
บเที ย บมู ล ค่ า ของรายการ สยาม ทู ยู ได้ปรับปรุงตัวเลขจากงบการเงิน ระหว่าง
การ  ไตรมาสที่ 2 จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2550 เป็นดังนี้

                                                                                  (หน่วย: พันบาท)
                                              ณ 30 มิถุนายน 2550                    ณ 15 สิงหาคม 2550
                สินทรัพย์รวม                     59,622                              409,751
                หนี้สินรวม                       10,390                              10,390
                ทุนจดทะเบียน                    40,932                              391,367
                ทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว 40,932                                     391,367
                ส่วนของผู้ถือหุ้น                   49,232                              399,361

การคำนวณขนาดรายการ                จำนวนเงินที่จ่ายหรือได้รับ X 100 สินทรัพย์ของ
บริษัทจดทะเบียน
                               = (45,500,000 x 100) / 409,751,000 = 11.10 %

วัตถุประสงค์ของบริษัท                เพื่อพัฒนา และดำเนินโครงการโรงแรม

แหล่งเงินทุนที่ใช้                    เงินจากการเพิ่มทุน

ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดแก่บริษัท              1) นำมาซึ่งโอกาสในการร่วมทุนกับ
บริษัทผู้พัฒนาโรงแรม ที่มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญบนทำเลอันดี เยี่ย ม
ทั้ ง นี้ วิ ท ยา ปาร์ ค เป็ น อี ก หนึ่ ง บริ ษั ท จํ า กั ด ซึ่ ง เป็ น ของ   ครอบครัวศรี
ชวาลา เจ้าของโครงการโรงแรม เลอ ฟินิกซ์ (Le Fenix), ฟินิกซ์ ทาวเวอร์ (Fenix
Towers), อินเตอร์เชนจ์   21 (Interchange 21) และโรงแรมมินเลนเนียม
(Millennium   Hotel) ที่ดินในทำเลดังกล่าวนั้นบางส่วนถือครองโดย คาซ่าฟีโก้ ซึ่ง
รวมถึงโรงแรมแหลมเส็ท (Leam Set Inn) เกาะสมุย ซึ่งเป็นสินทรัพย์อันเป็น
เอกลักษณ์ และเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในเกาะสมุย ทั้งนี้ คาซ่า ฟิโก้ จะดำเนินการ
พัฒนา สถานที่พักอาศัยสำหรับขาย และให้เช่า โดยจะมีการสร้างแบรนด์ บริ ห ารจั
ด การ และสนั บ สนุ น ในด้ า นสิ่ ง อํ า นวย ความสะดวกอย่างมากมายบนที่ดินที่ติด
กัน

                                            2) ในการเข้าทำการพัฒนาที่ดินดังกล่าวจะส่งผล
ให้ คาซ่า ฟิ โก้ จะต้ อ งสรรหาบริ ษั ท เพื่ อ เข้ า มารั บ ทํ า งาน ได้ แ ก่ ก
ารจัดการ, การพัฒนา, การจัดการโครงการ, การตลาด, การวางแผนสำหรับสื่อ และการ
บริการทางด้านบันเทิงดิจิตอล ทั้ ง นี้ สยาม ทู ยู อยู่ ใ นสถานะที่ มี ค วามสามารถที่
จ ะให้บริการต่าง ๆ เหล่านี้ได้

                                            3) สยาม ทู ยู มุ่ ง หวั ง ผลกํ า ไรที่ จ ะได้ รั บ
จากการพั ฒ นาโครงการแห่งนี้ เนื่องด้วยตลาดโรงแรมที่พัก และรีสอร์ทในประเทศ
ไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันอัตราค่าโรงแรมที่พักก็คงสูงขึ้น
ตามลำดับ อีกทั้ง เกาะสมุย กำลังเฟื่องฟูกับโรงแรมระดับ 5 ดาวหลายแห่ง อีกทั้งการ
ขยาย และเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินยังช่วยส่งเสริมการมาเยื่อนของนักท่องเที่ยว
อีกทางหนึ่ง

3. คณะกรรมการบริษัทยังได้อนุมัติให้มีการลงทุนเพิ่มเติม จำนวน
3,500,000 บาท ในบริษัท ฟีน่า ปาร์คจํ า กั ด และ จํ า นวน 20,000,000 บาทในบริ
ษั ท คาซ่ า ฟี โ ก้ จํ ากั ด โดยการการเพิ่ มทุ น เพื่ อเป็ น เงิ นหมุนเวียนสำหรับ
โครงการ โดยที่ สยาม ทู ยู จะทำการซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว ภายในวันที่ 15 ตุลาคม
2550 ซึ่งเป็นการเข้าทำรายการในขนาดรายการร้อยละ 5.74 ของของสินทรัพย์รวม
ของบริษัท
ซึ่งการตกลงเข้าซื้อหุ้นใน 2 ทั้งบริษัทรวมถึงแผนการลงทุนในหุ้นที่จะเพิ่ม
ทุนนั้น ทำให้การทำรายการครั้งนี้ มีขนาดรายการเท่ากับร้อยละ 21.60 ซึ่งมีขนาด
รายการสูงกว่าร้อยละ 15 ทำให้ สยาม ทู ยู ต้องทำการเปิดเผยรายการต่อตลาดหลัก
ทรัพย์ และสยาม ทู ยู จะทำการส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ถือหุ้นภายใน21 วัน