Stock in Focus หุ้นกลุ่มพลังงาน
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 25, 2007 11:40 pm
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวผ่านรายการ Stock in Focus ว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเกิดจากปัจจัยบวกหลายประการ เช่น ความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น การที่ปริมาณอุปทานในตลาดโลกเริ่มตึงตัวหลังเกิดปัญหาการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศต่าง ๆ ปัญหาภัยธรรมชาติ และการคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปคอาจปรับลดกำลังการผลิตลง จึงยิ่งเป็นแรงผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนอาจแตะระดับเหนือกว่า 77 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ได้
สำหรับค่าการกลั่นที่มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันค่อนข้างมากนั้นก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันเช่นกัน แต่นายกิติชาญเชื่อว่า ค่าการกลั่นมีแนวโน้มปรับลดลงได้ในครึ่งปีหลัง ขณะที่ภัยธรรมชาติ เช่น พายุเฮอร์ริเคน ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เนื่องจากอาจทำให้โรงกลั่นน้ำมันเสียหาย จนต้องปิดซ่อมบำรุงได้อีก
สำหรับราคาถ่านหินในครึ่งปีแรกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งเกิดจากการที่เหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ของโลก ประสบปัญหาในการขนส่งถ่านหิน และยังเกิดภัยธรรมชาติขึ้นอีกด้วย ทำให้ราคาถ่านหินพุ่งขึ้นในระยะสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวได้คลี่คลายลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ซึ่งจะมีผลให้ราคาถ่านหินในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงได้
ขณะที่ราคาแก๊สธรรมชาติในช่วงที่ผ่านมายังไม่ผันผวนมากนัก เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันเตาและอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งผันผวนค่อนข้างน้อย เพราะมีการกำหนดเพดานการเปลี่ยนแปลงราคา (Ceiling-Floor) ไว้ นอกจากนี้ การที่แหล่งผลิตแก๊สธรรมชาติมักไม่เปลี่ยนแปลงราคาซื้อขายบ่อยนัก ส่งผลให้ราคาแก๊สธรรมชาติในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นเท่ากับราคาน้ำมัน
นายกิติชาญได้จำแนกบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานไว้ 4 ประเภท ดังนี้
1) กลุ่มน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) และ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่งคาดว่า PTTEP จะมีกำไรเติบโต 22% หรือมากที่สุดของอุตสาหกรรมในปี 2551 เนื่องจากการที่ PTTEP มีสินค้าหลายชนิด และจะเริ่มดำเนินการผลิตจากแหล่งก๊าซธรรมชาติและแหล่งน้ำมันแห่งใหม่ได้ 2 โครงการ แต่การที่ ราคาหุ้น PTTEP ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก จึงแนะนำให้นักลงทุนรอให้ราคาน้ำมันปรับลดในครึ่งปีหลังก่อนเข้าลงทุน
ขณะที่ PTT ถือเป็นหุ้นที่มีฐานกำไรค่อนข้างสูงมากอยู่แล้ว จึงอาจเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ค่อนข้างยาก แต่ก็เชื่อว่าจะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อดีของ PTT คือ การเป็น Holding Company ที่ถือหุ้นในธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และปิโตรเคมี เป็นสัดส่วนเฉลี่ย 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด จึงถือว่ามีการกระจายรายได้ที่ดีมาก โดยในปีนี้ PTT จะมีกำไรเติบโตจากธุรกิจแก๊สธรรมชาติเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันอาจชะลอตัวลงไปบ้าง ขณะที่ทุกธุรกิจของ PTT ในปี 2551 จะสามารถผลิตได้อย่างเต็มกำลังการผลิต ซึ่งจะหนุนให้กำไรของ PTT เติบโตได้อีกมาก จึงมีความน่าสนใจเข้าลงทุน
2) กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ได้แก่ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ. โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากค่าการกลั่นที่อาจปรับลดลงได้ในครึ่งปีหลัง จึงต้องพิจารณาคัดเลือกหุ้นเป็นรายตัว ทั้งนี้ TOP จะได้เปรียบในเรื่องการกระจายธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน น้ำมันหล่อลื่น และธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งมีผลให้บริษัทฯ มีแนวโน้มชนะการประมูลโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ได้ 1 โรง และจะเป็นปัจจัยที่เพิ่มมูลค่าหุ้นได้ จึงมีความน่าสนใจมากกว่า RRC ขณะที่ RRC ยังมีผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากควบรวมกิจการกับ บมจ. อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) (ATC) ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 1/51 แต่หากประเมิน RRC เพียงบริษัทเดียวแล้ว จะเห็นว่ามีความเสี่ยง เพราะมีธุรกิจเดียวที่มีรายได้ผันผวนตามค่าการกลั่น
3) กลุ่มถ่านหิน ได้แก่ บมจ. บ้านปู (BANPU) บมจ. ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) และ บมจ. ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมากจนใกล้ระดับมูลค่าที่เหมาะสมแล้ว จึงมีความน่าสนใจในการลงทุนน้อยลงในครึ่งปีหลัง
4) กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ บมจ. ผลิตไฟฟ้า (EGCO) บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) และ บมจ. โกลว์ พลังงาน (GLOW) เป็นกลุ่ม Defensive Stock ที่มีราคาปรับขึ้นช้าแต่มั่นคง และจากการที่ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนข่าวการประมูลโรงไฟฟ้าไปแล้ว ทำให้ความน่าสนใจลงทุนน้อยลง
อย่างไรก็ตาม นายกิติชาญมองว่า EGCO ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะเชื่อว่าจะมีกำไรที่เติบโตมากกว่าหุ้นอื่น และการที่ EGCO ได้ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าถ่านหิน BLCP 50% ที่จะเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตในปีนี้ รวมถึงจะสามารถบันทึกรายได้จากโรงไฟฟ้าแก่งคอยได้อีก ซึ่งจะทำให้รายได้ในปีนี้เติบโตขึ้นมาก แม้ว่ารายได้จากโรงไฟฟ้าขนอมและโรงไฟฟ้าระยองจะลดลงก็ตาม นอกจากนี้ EGCO ยังมีทำเลที่เหมาะสมในการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม ทำให้มีศักยภาพในการประมูลค่อนข้างสูง
ขณะที่ RATCH ยังคงมีกำไรไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากยังมีโครงการโรงไฟฟ้าเท่าเดิม คือ 5 แห่ง แต่เนื่องจากอาจชนะการประมูลโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ได้ 1 โรง ก็อาจทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
นายกิติชาญกล่าวด้วยว่า หุ้นกลุ่มพลังงานอาจมีราคาปรับเพิ่มขึ้นมากพอสมควรแล้ว ทำให้ไม่มีแรงจูงใจที่จะลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก แต่นักลงทุนก็ควรพิจารณาถึงรายละเอียดเชิงลึก รวมถึงความสามารถในการทำกำไรของแต่ละบริษัทด้วย ซึ่งอาจมีความเสี่ยงทางธุรกิจแตกต่างกันไป เช่น ธุรกิจปั๊มน้ำมัน ที่ไม่สามารถกำหนดค่าการตลาดซึ่งเป็นรายได้หลักของธุรกิจได้เอง ธุรกิจพลังงานที่ต้องพึ่งพาภาครัฐ ก็จะมีความผันผวนสูงเนื่องจากมีรายได้ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐ จึงยังมีความเสี่ยงของธุรกิจค่อนข้างมาก เป็นต้น
ติดตามรายการ Stock in Focus ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00 น.
สำหรับค่าการกลั่นที่มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันค่อนข้างมากนั้นก็ได้ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันเช่นกัน แต่นายกิติชาญเชื่อว่า ค่าการกลั่นมีแนวโน้มปรับลดลงได้ในครึ่งปีหลัง ขณะที่ภัยธรรมชาติ เช่น พายุเฮอร์ริเคน ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เนื่องจากอาจทำให้โรงกลั่นน้ำมันเสียหาย จนต้องปิดซ่อมบำรุงได้อีก
สำหรับราคาถ่านหินในครึ่งปีแรกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งเกิดจากการที่เหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ของโลก ประสบปัญหาในการขนส่งถ่านหิน และยังเกิดภัยธรรมชาติขึ้นอีกด้วย ทำให้ราคาถ่านหินพุ่งขึ้นในระยะสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวได้คลี่คลายลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ซึ่งจะมีผลให้ราคาถ่านหินในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงได้
ขณะที่ราคาแก๊สธรรมชาติในช่วงที่ผ่านมายังไม่ผันผวนมากนัก เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันเตาและอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งผันผวนค่อนข้างน้อย เพราะมีการกำหนดเพดานการเปลี่ยนแปลงราคา (Ceiling-Floor) ไว้ นอกจากนี้ การที่แหล่งผลิตแก๊สธรรมชาติมักไม่เปลี่ยนแปลงราคาซื้อขายบ่อยนัก ส่งผลให้ราคาแก๊สธรรมชาติในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นเท่ากับราคาน้ำมัน
นายกิติชาญได้จำแนกบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มพลังงานไว้ 4 ประเภท ดังนี้
1) กลุ่มน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) และ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่งคาดว่า PTTEP จะมีกำไรเติบโต 22% หรือมากที่สุดของอุตสาหกรรมในปี 2551 เนื่องจากการที่ PTTEP มีสินค้าหลายชนิด และจะเริ่มดำเนินการผลิตจากแหล่งก๊าซธรรมชาติและแหล่งน้ำมันแห่งใหม่ได้ 2 โครงการ แต่การที่ ราคาหุ้น PTTEP ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก จึงแนะนำให้นักลงทุนรอให้ราคาน้ำมันปรับลดในครึ่งปีหลังก่อนเข้าลงทุน
ขณะที่ PTT ถือเป็นหุ้นที่มีฐานกำไรค่อนข้างสูงมากอยู่แล้ว จึงอาจเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ค่อนข้างยาก แต่ก็เชื่อว่าจะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อดีของ PTT คือ การเป็น Holding Company ที่ถือหุ้นในธุรกิจหลากหลายประเภท ทั้งธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และปิโตรเคมี เป็นสัดส่วนเฉลี่ย 50% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด จึงถือว่ามีการกระจายรายได้ที่ดีมาก โดยในปีนี้ PTT จะมีกำไรเติบโตจากธุรกิจแก๊สธรรมชาติเป็นหลัก ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันอาจชะลอตัวลงไปบ้าง ขณะที่ทุกธุรกิจของ PTT ในปี 2551 จะสามารถผลิตได้อย่างเต็มกำลังการผลิต ซึ่งจะหนุนให้กำไรของ PTT เติบโตได้อีกมาก จึงมีความน่าสนใจเข้าลงทุน
2) กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ได้แก่ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ. โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากค่าการกลั่นที่อาจปรับลดลงได้ในครึ่งปีหลัง จึงต้องพิจารณาคัดเลือกหุ้นเป็นรายตัว ทั้งนี้ TOP จะได้เปรียบในเรื่องการกระจายธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน น้ำมันหล่อลื่น และธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งมีผลให้บริษัทฯ มีแนวโน้มชนะการประมูลโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ได้ 1 โรง และจะเป็นปัจจัยที่เพิ่มมูลค่าหุ้นได้ จึงมีความน่าสนใจมากกว่า RRC ขณะที่ RRC ยังมีผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากควบรวมกิจการกับ บมจ. อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) (ATC) ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 1/51 แต่หากประเมิน RRC เพียงบริษัทเดียวแล้ว จะเห็นว่ามีความเสี่ยง เพราะมีธุรกิจเดียวที่มีรายได้ผันผวนตามค่าการกลั่น
3) กลุ่มถ่านหิน ได้แก่ บมจ. บ้านปู (BANPU) บมจ. ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) และ บมจ. ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมากจนใกล้ระดับมูลค่าที่เหมาะสมแล้ว จึงมีความน่าสนใจในการลงทุนน้อยลงในครึ่งปีหลัง
4) กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ บมจ. ผลิตไฟฟ้า (EGCO) บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) และ บมจ. โกลว์ พลังงาน (GLOW) เป็นกลุ่ม Defensive Stock ที่มีราคาปรับขึ้นช้าแต่มั่นคง และจากการที่ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนข่าวการประมูลโรงไฟฟ้าไปแล้ว ทำให้ความน่าสนใจลงทุนน้อยลง
อย่างไรก็ตาม นายกิติชาญมองว่า EGCO ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะเชื่อว่าจะมีกำไรที่เติบโตมากกว่าหุ้นอื่น และการที่ EGCO ได้ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าถ่านหิน BLCP 50% ที่จะเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตในปีนี้ รวมถึงจะสามารถบันทึกรายได้จากโรงไฟฟ้าแก่งคอยได้อีก ซึ่งจะทำให้รายได้ในปีนี้เติบโตขึ้นมาก แม้ว่ารายได้จากโรงไฟฟ้าขนอมและโรงไฟฟ้าระยองจะลดลงก็ตาม นอกจากนี้ EGCO ยังมีทำเลที่เหมาะสมในการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม ทำให้มีศักยภาพในการประมูลค่อนข้างสูง
ขณะที่ RATCH ยังคงมีกำไรไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากยังมีโครงการโรงไฟฟ้าเท่าเดิม คือ 5 แห่ง แต่เนื่องจากอาจชนะการประมูลโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ได้ 1 โรง ก็อาจทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
นายกิติชาญกล่าวด้วยว่า หุ้นกลุ่มพลังงานอาจมีราคาปรับเพิ่มขึ้นมากพอสมควรแล้ว ทำให้ไม่มีแรงจูงใจที่จะลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก แต่นักลงทุนก็ควรพิจารณาถึงรายละเอียดเชิงลึก รวมถึงความสามารถในการทำกำไรของแต่ละบริษัทด้วย ซึ่งอาจมีความเสี่ยงทางธุรกิจแตกต่างกันไป เช่น ธุรกิจปั๊มน้ำมัน ที่ไม่สามารถกำหนดค่าการตลาดซึ่งเป็นรายได้หลักของธุรกิจได้เอง ธุรกิจพลังงานที่ต้องพึ่งพาภาครัฐ ก็จะมีความผันผวนสูงเนื่องจากมีรายได้ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐ จึงยังมีความเสี่ยงของธุรกิจค่อนข้างมาก เป็นต้น
ติดตามรายการ Stock in Focus ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00 น.