หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เหตุการณ์เฝ้าระวัง บริษัทผลิตส่งออก.

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 19, 2007 3:28 pm
โดย gnomeller
http://www.thaivi.com/webboard/posting. ... ly&t=26612
อ้างอิงจากกระทู้นี้

ถ้าแนวโน้มเป็นไปโดยที่ค่าเงินจะแข็งขึ้นเรื่อยๆ
เราควรพิจารณาในบริษัทที่ผลิตส่งออกหรือยังคัรบ ???

หุ่นที่เราเลือกมาแล้ว อะไรก็ดูสดใจ Oder ก็มาก ผลประกอบการก็ดี ส่วนQ3 ผมก็คาดว่าน่าจะยังดีอยู่แน่ๆเพราะว่าเหตุเกิดตอนปลาย สำหรับเรือ่งงานผมก็คาดการณ์เอาไว้ว่าได้งานเยอะถึงอีก 3 ปีข้างหน้า ปัญหาอยู่ตรงที่ส่วนการบริหารงานกับการจัดการปัญหาของผู้บริหารล้วนๆแล้วตอนน

แต่ถ้า ณ วันนี้ บริษัทยังทำกำไรได้หล่ะครับ ? ?
ผู้น้อยขอคำแนะนำ ว่าเมื่อไหร่ เราควรตัดใจ เพราะตัดใจไม่ลงจริงๆ....  :wink:


ี้

เหตุการณ์เฝ้าระวัง บริษัทผลิตส่งออก.

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 20, 2007 1:03 pm
โดย Linsu_th
ทำไมเงินบาทถึงแข็งค่าที่สุดในโลก 12 มีนาคม พ.ศ. 2550 16:47:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ถอดความจากบทวิเคราะห์โดย Jonathan Anderson, Chief Economist Asia, UBS Investment Research โดยบัณฑูร วงศ์สีลโชติ รองประธานคณะกรรมการกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศ และ ประธานคณะอนุกรรมการประเด็นทางการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเท่าที่ผ่านมาในระยะปีเศษ ๆ ได้แข็งค่าขึ้นมากที่สุดในโลก รองลงมาได้แก่ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลปปินส์ มาเลเซีย และเงินจีนตามลำดับ หากนับมาแต่ปี 2003 จะพบว่าเงินบาทแข็งค่ามาจาก 43 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะว่า ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกในการสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ และสินค้าหลักที่สำคัญที่มีผลต่อการกินดีอยู่ดีของประชาชนส่วนใหญ่ยังได้แก่สินค้าเกษตร
เราไม่พูดถึงสินค้าอุตสาหกรรมเพราะคนรวยที่ลงทุนในกิจการอุตสาหกรรมย่อมได้รับผลกระทบไม่มาก ส่วนคนจนที่เป็นเกษตรกรจะเป็นผู้รับเคราะห์ทุกครั้งไป
ข่าวในหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์เวียดนามลงวันที่ 1 มีนาคม 2550 คุยว่าการส่งออกข้าวในสามเดือนแรกปีนี้ เติบโตร้อยละ 52 จากปีที่แล้ว หากยังรักษาระดับนี้ได้ถึงสิ้นปี ไทยต้องตกลงมาเป็นอันดับสองของผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกแน่นอน เพราะปีที่แล้วเวียดนามส่งข้าวออก 5 ล้านตัน ส่วนไทยส่งออก 7.5 ล้านตัน
ตลาดข้าวไทยและเวียดนามก็ตลาดเดียวกัน จึงทำนายได้เลยว่า หากบาทยังแข็งเช่นนี้ ไทยส่งออกปีนี้คงไม่มากกว่า 5 ล้านตัน แต่เวียดนามน่าจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน คือกลับกัน ทั้งนี้ เพราะว่า เงินเวียดนามได้อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ประมาณร้อยละ 5 ในช่วงระยะหนึ่งปีเศษ ๆ ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาข้าวในเวียดนามถูกกว่าไทยในรูปของเงินดอลลาร์อยู่กว่าร้อยละ 20
สภาพเศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีเหมือนค่าเงินบาท  การบริโภคของคนไทยมีแต่ลดลงมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา นอกจากนี้ การลงทุนของภาคเอกชนก็เช่นเดียวกัน สูงสุดในปี 2003 และลดลงมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้นมา การลงทุนและการใช้จ่ายจากภาครัฐก็ลดลงมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะปีนี้ มีเหตุการณ์ความไม่สงบ เกิดระเบิดบ่อยครั้ง การเบิกจ่ายงบประมาณก็ล่าช้า การลงทุนชองเอกชนหยุดลง การลงทุนจากต่างประเทศลดลง โดยบีโอไอได้รายงาน การลดลงในอัตรามากกว่าครึ่ง บริษัทผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นได้ระบุว่าค่าเงินบาทเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาไม่ประสงค์ขยายการลงทุนในประเทศไทย
บริษัทผลิตรถยนต์ฟอร์ดก็ให้เหตุผลการไม่ขยายการลงทุนด้วยเหตุผลอันเดียวกัน อีกทั้งสถานะการณ์ทางการเมืองก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุน การท่องเที่ยวเริ่มส่อเค้ามีปัญหาจากคำขู่ระเบิดโดยผู้ก่อการร้าย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ลดลงมาจุดที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยสำรวจกันมา สิ่งเหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นว่า สภาวะเศรฐกิจไทยกำลังวิ่งสวนทางกันกับค่าเงินบาทที่มีแต่จะแข็งค่าขึ้นทุก ๆ วัน โดยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่สามารถหยุดแนวโน้มนี้ได้แต่อย่างใด ความจริงหากพิจารณาเหตุการณ์ทางการเมือง และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เงินบาทควรมีค่าอ่อนกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วยซ้ำ
ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมากเกิดจากเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก ที่เงินเหล่านี้เข้ามาในแต่ละวัน ไม่ได้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแน่นอน เพราะว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่เกือบเป็นศูนย์เมื่อลงทุนผ่านไปหนึ่งปี ในขณะที่ หากลงทุนในตลาดหุ้นจีน จะได้กำไรกว่าร้อยละ 70 พิจารณาตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน รองลงมาได้แก่ อินเดีย และ อินโดนีเซีย ผลตอบแทนกว่าร้อยละ 40 ฟิลิปปินส์กว่าร้อยละ 30 ฯลฯ ดังนั้น หากลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เงินทุนย่อมไหลเข้าในประเทศอื่น ๆ มากกว่า
แต่ประเทศไทยก็มีเงินทุนไหลเข้ามากสังเกตุได้คือเงินทุนสำรองของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ และในช่วงสามเดือนสุดท้ายในปี 2006 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเดือนละสองพันล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งเงินทุนเหล่านี้มีปริมาณมากว่าในช่วงปี 1990-1996 ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 ก่อนที่วิกฤตเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นในปี 1997 ไทยมีปัญหาเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากระหว่างปี 1991-1996 ขณะนั้นไทยมีปัญหาขาดดุลทางการค้าด้วย เงินทุนสำรองจึงไม่เพิ่มขึ้นมากเหมือนในปัจจุบัน การบริหารเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากเป็นภาระหนักทึ่ตกอยู่กับธนาคารแห่งประเทศไทย  เงินทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นจากการเกินดุลการค้าของไทยมีเพียงร้อยละหนึ่งของจีดีพีเท่านั้น แต่เงินทุนไหลเข้ามารวมประมาณร้อยละ 6.2 ของจีดีพี ส่วนต่างมากถึงร้อยละ 5.2 ของจีดีพี จึงเป็นปัญหา ปัญหาที่เกิดขึ้นจากเงินทุนไหลเข้าในขณะนี้หากมองที่เงินทุนสำรองที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องรับภาระออกพันธบัตรเพื่อเอาเงินบาทมาแลกเป็นดอลลาร์เก็บเป็นเงินทุนสำรองเป็นภาระที่หนัก อันเกิดจากดอกเบี้ยที่ต้องชำระให้กับพันธบัตรเหล่านี้ คำถามที่ตามมาคือเงินทุนไหลเข้ามามากเพราะอะไร? Philip Wyatt จาก UBS Investment Research ให้ความเห็นว่า หากดูอัตราดอกเบี้ยของไทยเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ไทยก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร แม้อัตราดอกเบี้ยของไทยค่อนข้างสูง แต่มีประเทศอื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า แต่ประเทศเหล่านี้กลับไม่มีปัญหาเงินทุนไหลเข้าในลักษณะเดียวกันกับที่ไทยมี อินโดนีเซียมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าไทย ฟิลิปปินส์ก็สูงกว่าไทยเล็กน้อย อินเดียก็สูงกว่า เกาหลีใต้ก็ใกล้เคียง ธนาคารแห่งประเทศไทยมักอ้างว่า ประเทศเหล่านี้ไม่มีปัญหามากเท่าไทยเพราะว่าเขามีเงินมากพอที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ รักษาค่าเงินไว้ได้ แต่ความเป็นจริง ปัญหาของไทยดูจะยิ่งใหญ่กว่ามาก เพราะเงินทุนที่ไหลเข้ามามีมากกว่าที่ไหลเข้าไปประเทศอื่น ๆ มาก ความจริงปัญหาเกิดจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทยตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ที่ขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ และคงไว้เมื่อสหรัฐคงไว้ ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อในไทยกับในสหรัฐมีความแตกต่างกัน ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อในไทยลดลงอย่างเห็นได้ชัด อัตราดอกเบี้ยก็ไม่ลดลงเร็วพอ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real interest rate อันได้แก่อัตราดอกเเบี้ย ลบ อัตราเงินเฟ้อ ) ของไทยจึงค่อนข้างสูงกว่าในประเทศอื่น ๆ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนว่าแนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยในไทยมีแต่ลงอย่างเดียว
ลักษณะนี้ เกิดโอกาสของนักลงทุนในตลาดพันธบัตรและตลาดตราสารหนี้ เห็นเป็นโอกาสทำกำไรที่ไม่มีความเสี่ยง เมื่อภาครัฐลดดอกเบี้ย ซึ่งต้องลดแน่นอน ปัญหามีเพียงเมื่อใดเท่านั้น ราคาพันธบัตร หรือตราสารหนี้ที่ลงทุนไว้จะมีราคาที่มีแต่จะสูงขึ้น ทำกำไรได้แน่นอน
อีกทั้ง เขาเหล่านี้ยังรู้อีกว่า หากนำเงินเข้าประเทศไทยมากพอ คือมากกว่าร้อยละ 4 ของจีดีพีของไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่แทรกแซงค่าเงินบาท จะปล่อยให้แข็งค่าโดยไม่ต่อสู้ (ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคนก่อนมีแนวทางนี้มาโดยตลอด ทำให้สุภาษิตที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง จึงถูกนำมาใช้ ทำให้นักลงทุนรู้แน่ว่า ทำเช่นนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่แทรกแซงค่าเงิน) ทำให้นอกจากกำไรจากการลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้แล้วยังได้กำไรจากค่ำเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอีกด้วย
โอกาสการลงทุนนี้เกิดมานานมากกว่าหนึ่งปี แต่ไทยก็ไม่เฉลียวใจปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงกว่าเงินเฟ้ออยู่นานเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองปีที่ผ่านมา เกิดปรากฎการณืที่เรียกว่า Yen Carry Trade นักลงทุนกู้เงินเยนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 0.5 ขายเงินเยนซื้อเงินดอลลาร์ หรือขายเงินเยนซื้อเงินบาท นำเงินไปลงทุนในที่ต่างๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า รวมทั้งไทย ทำกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย เงินจำนวนนี้มีมาก ประมาณกันว่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหนเลยไทยจะสู้กับเงินเหล่านี้ได้ แต่ว่าไปแล้ว ประเทศไทยชวนเขามาเอง
อัตราดอกเบี้ยนอกจากไว้ควบคุมภาวะเงินเฟ้อแล้ว การปรับอัตราดอกเบี้ยยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการกำหนดเงินทุนไหลเข้า ไม่ให้มากไปหรือน้อยไป การปรับเปลี่ยนจึงจำเป็นต้องทันต่อเหตุการณ์ ทันต่อสถาณการณ์ที่เปลี่ยนไป เปรียบกันได้กับการปรับน้ำร้อนน้ำเย็นขณะอาบน้ำ ไม่ให้น้ำร้อนไปหรือเย็นไป บางทีการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป อาจต้องลดลงมากกว่า 0.25 อาจต้องเป็น 0.5 เพื่อให้ใกล้เคียงกับภาวะเงินเฟ้อ สร้างความไม่แน่นอนในทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้นักลงทุนเห็นว่ามีความเสี่ยงในการลงทุนในไทย เงินทุนจึงอาจชะลอการไหลเข้า เงินบาทอาจอ่อนค่าลง
มาตรการปัจจุบันที่ทำให้เกิดอัตราแลกเปลี่ยน onshore และ offshore สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้นักค้าเงินหาทางทำกำไรจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนในสองตลาด หรือที่เรียกกันว่า การทำ arbitrage แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย และคนอื่น ๆ ในวงการ ยืนยันว่าทำไม่ได้ เรื่องแมวจับหนู เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาในโลกมานาน ที่จับได้ก็มี ที่จับไม่ได้ก็ต้องมี
ที่ว่าทำ arbitrageไม่ได้จึงย่อมไม่มี ผลกำไรจำนวนมากย่อมทำให้คนเหล่านี้หาทางทำจนได้ เงินบาทกำลังกลายเป็นสินค้าตัวใหม่ในการทำ arbitrage ซึ่งจะนำไปซึ่งความต้องการเงินบาทมากขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอีก โดยจะไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจชองไทยแต่อย่างใดเลย
Capital Control ที่กำหนดขึ้นมาก็ไม่ได้ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงพอที่จะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของไทยแต่อย่างใด เพราะว่าตั้งแต่ทำมา เงินบาทก็แข็งค่าจาก 35.90 บาทต่อดอลลาร์ ในวันที่ประกาศใช้ ปัจจุบันแข็งค่าไปอยู่ที่ 35.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา แข็งค่าขึ้นอีกเกือบหนึ่งบาทต่อดอลลาร์ ไม่มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงเลย จึงอาจดูได้ว่า เงินบาทยังจะแข็งค่าไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่การแก้ปัญหายังทำไม่ได้ถูกจุด :shock:

เหตุการณ์เฝ้าระวัง บริษัทผลิตส่งออก.

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 23, 2007 3:18 am
โดย gnomeller
เรื่องนี้ต้องดูกันอีกยาวๆ เพราะว่าคงมีการขึ้นต่อไปอย่างช้าๆ
บริษัทส่งออกคงต้องหวังพึ่งความสามารถของทีมงานบริหารซะแล้ว  :o
ใครแกร่งจริง งบใตรมาศหน้าน่าจะบ่งบอกได้มั้งครับ และถ้าใครรอดมาได้ ผมว่าลองมองๆดูได้เลย เพราะเค้าคงแกร่งจริง  :!: