ลองอ่านอันนี้ดูนะครับ
การซื้อ dollars ตอนนี้อาจจะยิ่งแย่ก็ได้ครับ
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000083400
จับตาดูฝูงอีแร้งในสงครามค่าเงิน
โดย หมายเหตุผู้จัดการ 17 กรกฎาคม 2550 17:32 น.
.
หลังจากการเตือนภัยเกี่ยวกับอัตราค่าเงินบาทในรายการยามเฝ้าแผ่นดินของเอเอสทีวี และหลังจากการลงหมายเหตุเรื่อง "เงินบาทแข็งอ่อน...ผลประโยชน์ของใคร?" ไปแล้ว ก็เกิดความตื่นตัวอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดการปรึกษาหารือเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้กันแทบทั่วทุกวงการที่เกี่ยวข้อง
บรรดาฝูงอีแร้งที่เคยร่วมทำมาหากินในการปล้นชาติจากการโจมตีค่าเงินบาทในปี พ.ศ. 2540 ที่เคยหลบหัวหลบหางเข้าไปซุกหัวอยู่ภายใต้ระบอบทักษิณพักใหญ่ ก็โงหัวโผล่ออกมาแสดงความคิดความเห็นกันอย่างครึกโครม
แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีก็ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากเข้าไปปรึกษาหารือกันในทำเนียบรัฐบาล และในที่สุดก็สั่งให้นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้ารับผิดชอบดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มตัว
ในขณะที่ผู้รับคำสั่งก็ได้แสดงท่าทีดังที่ปรากฏในข่าวว่าอิดออด อิดเอื้อน และไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก เพราะได้แสดงท่าทีในเรื่องนี้มาก่อนแล้วในทำนองต่างกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คือโบ้ยความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่ในที่สุดก็แถลงว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี
ในเรื่องเดียวกันนี้ ยังมีข้อน่าสังเกตอยู่ตรงที่การแสดงความยอมรับของกระทรวงการคลังที่ว่า การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยเฉพาะผู้บริหารเกี่ยวกับการป้องกันแก้ไขค่าเงินบาทอ่อนเกินไป
พูดง่าย ๆ ก็คือมือไม่ถึงนั่นเอง แต่ก็ไม่ทำอะไร และไม่รับผิดชอบอะไร เพราะถ้าหากเห็นว่าการทำหน้าที่ของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องนี้ผิดพลาดล้มเหลวหรือแก้ไขปัญหาไม่ได้ ความรับผิดชอบก็จะอยู่ที่รัฐบาลโดยเฉพาะคือกระทรวงการคลัง
เป็นความรับผิดชอบที่จะต้องพิจารณาว่าจะปลดผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากตำแหน่งหรือไม่ ไม่ใช่โบ้ยว่าไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เราเคยกล่าวถึงเรื่องนี้มาเป็นลำดับและแทบทุกครั้งก็จะมีพวกอีแอบออกมากล่าวหาว่าร้ายว่าเป็นการพูดส่งเดช เป็นการนำเสนอโดยขาดความรู้ และเป็นการทำให้เกิดความเสียหาย
แต่ทว่าความจริงก็ต้องเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ และบัดนี้ความจริงก็ประจักษ์ชัดแล้วมิใช่หรือว่าที่เราได้คาดการณ์เอาไว้ว่าในเดือนมิถุนายน 2550 ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33 บาท มันก็เป็นจริงขึ้นแล้ว
และในวันนี้ก็ยังแข็งค่าขึ้นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และขอบอกไว้ด้วยว่าขณะนี้ค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศแข็งกว่าในประเทศประมาณ 2 บาทกว่า คือในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนในประเทศอยู่ที่ระดับ 33 บาทเศษต่อ 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ แต่ในต่างประเทศนั้นอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 29 บาทเศษต่อ 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ
มันเป็นแนวโน้มที่ชัดเจนและมีนัยยะที่สำคัญดังต่อไปนี้
ประการแรก เพราะอัตราต่างกันมากถึง 2 บาทกว่า จึงเป็นแรงจูงใจให้มีการลักลอบขนเงินบาทออกไปต่างประเทศ เพราะเมื่อนำไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐในต่างประเทศก็จะซื้อได้ในราคา 29 บาทเศษ จากนั้นก็โอนเงินดอลลาร์ที่ซื้อได้เข้ามาในประเทศ ก็จะแลกเป็นเงินบาทได้ 33 บาทเศษ
นั่นคือทุก 29 บาทเศษที่นำออกไปและนำกลับเข้ามาเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ จะได้กำไร 2 บาทเศษ จะมีธุรกิจอะไรเล่าที่ทำมาหากินได้กำไรมากมายขนาดนี้?
เหตุทั้งนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าประตูกักกันหรือตรวจสอบการขนเงินออกนอกประเทศไม่ว่าขนกันเป็นเงินสดหรือโดยทางโพยก๊วนขาดระบบการตรวจสอบและไม่มีมาตรการควบคุมที่ได้ผล
ไม่เห็นหรือว่ามีคนลักลอบขนเงินบาทออกไปซื้อทีมฟุตบอลได้ร่วมหมื่นล้านบาท โดยที่วันนี้ผู้รับผิดชอบก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเอาเงินออกไปได้อย่างไร มันน่าตกใจสักเพียงไหนเล่าพระคุณท่าน!
ในประการนี้มันจะส่งผลกดดันให้มีการนำเงินบาทออกไปนอกประเทศ และยิ่งทำให้เงินบาทขาดแคลนในประเทศ และทำให้ค่าเงินบาทยิ่งแข็งค่าขึ้นทางหนึ่ง
ประการที่สอง เงินที่ไหลเข้ามาในประเทศโดยเฉพาะที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วกว่า 120,000 ล้านบาท และยังไหลเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนนั้น เมื่อเข้ามาแล้วก็มาเปลี่ยนเป็นเงินบาทซึ่งได้กำไรดังที่กล่าวมาแล้วในประการแรก
เข้ามาในตลาดหุ้นก็เก็งกำไรตลาดหุ้นกันอีกต่อหนึ่ง แต่เนื่องจากความไม่เชื่อมั่นในความเป็นธรรมาภิบาลและในการดูแลหุ้นแต่ละตัวของผู้รับผิดชอบ ดังนั้นการเก็งกำไรในตลาดหุ้น จึงเป็นการเก็งกำไรเฉพาะกลุ่มคือกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานเป็นหลัก
การที่เงินร้อนอยู่ในตลาดหุ้นถึง 120,000 ล้านบาท และพร้อมจะถอนออกไปเมื่อใดก็ได้นั้น จึงเท่ากับเป็นการวางระเบิดลูกใหญ่ไว้ในตลาดหุ้นไทย และเพราะเหตุนี้นี่เองเราจึงได้เตือนมายังแมงเม่าทั้งหลายให้ตั้งสติให้มั่น แล้วกำหนดจังหวะถอยออกจากตลาดหุ้นเสียให้ทันท่วงทีก่อนที่จะป่นปี้วายวอดครั้งใหม่
เงินร้อน 120,000 ล้านบาทนี้จะต้องออกจากตลาดหุ้นในสักวันหนึ่งแน่ และวันใดที่มีการเทขายเพื่อนำเงินออกไปต่างประเทศ เมื่อนั้นตลาดหุ้นก็จะพังครืนลงมา
ใครที่คิดจะขายตอนนั้นก็ขายไม่ทันเสียแล้ว คงจะติดค้างเติ่งอยู่เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540
และเมื่อตลาดหุ้นพังครืนลงมา ในขณะที่เงินบาทไหลออกไปต่างประเทศ ซึ่งพวกนักเก็งกำไรย่อมได้ผลกำไรมหาศาลอยู่แล้ว แต่ความพิบัติจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เพราะเมื่อมีการขายเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐออกไปต่างประเทศ ค่าเงินบาทก็ต้องอ่อนตัวลง
จะอ่อนไปถึงไหนใครเล่าจะรู้ได้ แต่นั่นก็คือวงจรอุบาทว์ที่กำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอยปี 2540 อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้จะโดนสองเด้งเพราะโดนเด้งแข็งมารอบหนึ่งแล้ว เมื่อเผชิญกับเด้งอ่อนคือค่าเงินบาทอ่อน แล้วอะไรจะเกิดขึ้นเล่า?
พวกฝูงอีแร้งที่โผล่หัวออกมา พออ้าปากก็เห็นไรฟันแล้ว พวกนี้มีข้อเสนอไปในทางเดียวกันว่าต้องซื้อดอลลาร์สหรัฐให้มาก โดยอ้างว่าการที่เอาเงินบาทไปซื้อดอลลาร์ให้มากหรือถือดอลลาร์ไว้ให้มากจะทำให้ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าเกินไป
ในใจลึก ๆ ของคนพวกนี้ยังคงต้องการให้เงินบาทแข็งอีกสักระยะหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ก็แข็งมากพอแล้ว เป็นข้อเรียกร้องเดียวกันกับที่นายกสมาคมธนาคารแห่งประเทศไทยคือนายโอฬาร ไชยประวัติ เคยเสนอต่อรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ในปี พ.ศ. 2540
ก็อยากจะถามว่าที่ซื้อดอลลาร์กันมาก ๆ นั้นยังเจ๊งกันไม่พออีกหรือ?
มาตรการที่ว่านี้ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยขาดทุนไปแล้ว ณ วันสิ้นปี พ.ศ. 2549 ประมาณ 200,000 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 มาจนถึงวันนี้ก็ปรากฏชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าทุก 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐที่ไปซื้อไว้ล้วนขาดทุนทั้งสิ้น และขาดทุนมาตั้งแต่ดอลลาร์ละเกือบ 3 บาท มาถึงวันนี้ผลขาดทุนรวมจะเป็นเท่าใดกันแน่ ช่วยตอบหน่อยจะได้ไหม
ขอเรียกร้องต่อรัฐบาล ต่อรองนายกรัฐมนตรี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ และต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ ว่าพวกท่านไม่อาจเฉยเมยได้อีกแล้ว ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้อีกแล้ว พวกท่านคือผู้รับผิดชอบต่อชะตากรรมเกี่ยวกับค่าเงินบาท และผลขาดทุนทั้งสิ้นทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากการที่เข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐของธนาคารแห่งประเทศไทย
เราขอเรียกร้องว่าอย่าไปฟังเสียงพวกอีแร้งที่เคยปล้นชาติเมื่อปี 2540 มาแล้ว เหตุผลเรื่องการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งนั้นเป็นผลประโยชน์ของทุนต่างชาติ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประชาชาติไทย
แต่ทว่าต้องอุ้มชูเกื้อหนุนจุนเจือการส่งออกภาคเกษตรอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือผลประโยชน์ของประชาชาติไทย
ในปี 2540 การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยทำให้เกิดความเสียหายถึง 800,000 ล้านบาทเป็นอย่างน้อยโดยที่ไม่มีใครรับผิดชอบและนักปล้นชาติยังคงลอยนวล
ในปี 2550 การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยทำให้เกิดความเสียหายเท่าใดแล้ว ต้องทำให้กระจ่าง มิฉะนั้นชาติจะล่มจมโดยไม่รู้สึกตัว การครั้งนี้ต้องมีผู้รับผิดชอบ
เราขอวิงวอนให้สื่อมวลชนและประชาชนผู้รักชาติช่วยกันจับตาดูการแทรกและแอบแฝงตัวเข้ามาของฝูงอีแร้งที่เคยปล้นชาติเมื่อปี 2540 แล้วช่วยกันติดตามความเคลื่อนไหวและช่วยบอกกล่าวให้พี่น้องร่วมชาติได้รับรู้โดยทั่วกัน
และต้องเตรียมตัวรับมือกับวิกฤตที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างหนักหน่วงรุนแรงแล้วให้ทันท่วงทีด้วย.