teetotal เขียน:2-3 ตัวที่ดูๆ อยู่
ราคานิ่งมากเลยครับ
มีตัวหนึ่ง ตกลงมานิดๆ ด้วย
แต่ตัวใหญ่ขึ้นเอาขึ้นเอา
ตัวไหนบ้างละครับ มีในลิสต์ตามนี้บ้างหรือป่าว เขาว่าได้กำไรชัวร์ ขาดทุนตัวใครตัวมันคร๊าบบบบบบบบบบ
เปิดโผหุ้นที่ขึ้นน้อยกว่าตลาด
วงการฟันธงซื้อแล้วได้กำไรชัวร์
นักวิเคราะห์โชว์หุ้นเด็ดราคายังวิ่งต่ำกว่าดัชนีฯ นำทีมโดย PS-SATTEL-FORTH-STEC-BGH-BSEC-TT&T-CK หลัง 7 วันทำการดัชนีพุ่งเกือบ 9% ได้แรงหนุนจากเงินทุนต่างชาติทะลักเข้าตลาดหุ้นทั่วเอเซีย หาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด พบตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.ต่างชาติซื้อสุทธิ 2.2 หมื่นล้าน วงการเตือนให้ระวังการลงทุน งานนี้เล่นหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดปลอดภัยที่สุด
ร้อนแรงจริงๆสำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพียง 7 วันทำการ( 29 มิ.ย.-9 ก.ค.) เท่านั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 67.4 จุด หรือ +8.67% ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก FUND FLOW จากต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียทุกแห่ง รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย โดยเป็นการโยกเงินทุนเพื่อมาหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ส่งผลให้ตลาดหุ้นหลายแห่งทำ New High ตลาดหุ้นไทยก็เช่นกัน เวลานี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี และราคาหุ้นหลายตัวได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินพื้นฐาน หรือใกล้ราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้
กูรูหลายสำนักออกมาเตือนว่า การเล่นหุ้นในช่วงขาขึ้นเช่นนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก เห็นได้ตั้งแต่ต้นเดือนก.ค.ที่ผ่านมาจนถึงวานนี้จากการที่นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิ 22,352.1 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 932.51 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 21,419.59 ล้านบาท และหากต่างชาติได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจอาจโยก เราจึงไม่มีทางทราบว่าต่างชาติจะถอนทุนออกเมื่อไหร่ ดังนั้น โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดรวม หรือที่รู้จักกันในชื่อหุ้น Laggard และ eFinanceThai.com ได้รวบรวมหุ้น Laggard จากหลายโบรกเกอร์มาฝาก
***DBS บอกสัปดาห์นี้ต้อง KTB ราคาหุ้นยังขึ้นน้อยกว่าแบงก์ตัวอื่น
บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า สัปดาห์นี้นักลงทุนจะหันมาพิจารณาหุ้นในกลุ่ม Mid & Small Cap มากขึ้นหลังจาก Large Cap ปรับขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตามในระยะสั้นมากหุ้นกลุ่มพลังงานยังน่าสนใจ เพราะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในกลุ่มนี้เรายังคงให้ PTT เป็น Top pick ส่วนหุ้นเก็งกำไรของกลุ่ม คือ IRPC ซึ่งคาดว่าธุรกิจจะมีแนวโน้มดีขึ้นหลังได้ PTTเข้าไปบริหาร
ทั้งนี้ แนะนำซื้อ KTB เพราะมี Valuation ที่ต่ำ Dividend Yield สูง และราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่ากลุ่มแบงก์ (Laggard) ส่วนหุ้นกลุ่มอื่นที่แนะนำซื้อสัปดาห์นี้ประกอบด้วย RATCH, TTA, PSL, AP,ROJANA
*** AYS - ธนชาต ประสานเสียง ADVANC- SATTEL- FORTH - SPALI เด่นสุด
บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า แนะนำให้ซื้อหุ้นที่ยังขึ้นน้อยกว่าตลาดโดยรวม ( Laggard ) ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าจะเริ่มเห็นการเวียนกลุ่มเล่นไปในกลุ่มหลักทรัพย์ตัวอื่นที่ Laggard อย่าง SYRUS สำหรับหุ้นกลุ่มหลัก แม้ว่าเราจะเน้นการลงทุนในกลุ่มธนาคาร อสังหาฯ (รวมรับเหมา + นิคมฯ) และพลังงาน ในระยะกลาง แต่ระยะสั้นน่าลุ้นการเปลี่ยนกลุ่มเล่นไปยังหุ้น Laggard ในกลุ่มสื่อสารอย่าง ADVANC และ SATTEL ต่อเนื่องจากเมื่อวาน และ BEC ในกลุ่มบันเทิง
สำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร เป็นกลุ่ม Laggard ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และคาดว่าจะกลับมาเป็นกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุน (Laggard Play) ในช่วงหุ้นพักฐานในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มธนาคาร วัสดุก่อสร้าง และพลังงานเป็นกลุ่มหุ้นเด่นปรับสูงขึ้นกว่า 10% ในขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสื่อสารปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้เรามองว่ากลุ่มหุ้นสื่อสาร และอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาน่าสนใจมากยิ่งขึ้นในช่วงตลาดพักฐาน และคาดว่าจะมีการเวียนกลุ่มหุ้นเพื่อลงทุน โดยหุ้นที่น่าสนใจใน 2 กลุ่มนี้และเป็น Laggard Play ได้แก่ ADVANC, SATTEL, FORTH และ SPALI
บทวิเคราะห์บล.ธนชาต ระบุว่า แนะให้ กลับมาทยอยซื้อและซื้อเก็งกำไรในหุ้นหุ้นกลาง-เล็ก ที่ยังขึ้นน้อยกว่าตลาดโดยรวมดังนี้ ADVANC (90-96), SATTEL (12.1-13.0), TRUE (8.35-8.90), TT&T (1.16-1.21), SAMART (8.6-8.9), JTS (2.38-2.50), JAS (0.53-0.58), GSTEEL (0.96-1.00), NSM (0.34-0.38), STEC (7.15-7.5), IRPC (6.2-6.45), BCP (11.8-12.5) และ BCP-W1 (3.58-3.84)
***ฟินันซ่า - ฟาร์อีสท์-ทีเอ็มบี เชียร์ PS-STEC-CK-SYNTEC ระบุราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นน้อย
บทวิเคราะห์บล.ฟินันซ่า ระบุว่า เราแนะนำเข้าซื้อในกลุ่ม พลังงาน, อสังหาฯ, หลักทรัพย์, สื่อสาร และ วัสดุก่อสร้าง เพราะ เมื่อเปรียบเทียบ SETPROP กับ SET จะพบว่ามีทิศทาง และขนาดไล่เลี่ยกัน แต่เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มรับเหมาเป็นรายตัวจะพบว่าทุกตัวยังคง Underperform SET หลังจากที่โครงการMega Projects มีความไม่แน่นอนในระดับสูงโดยเราพบว่า ITD (TP6.33Bt), CK (TP10.22Bt), STEC (TP6.35Bt), PLE (TP7.82Bt), CNT (NR), EMC (NR) และ NWR (NR) มีการปรับตัวที่ด้อยกว่า SETที่ 51%, 43%, 55%, 44%, 67%, 29% และ 93% ตามลำดับ คำแนะนำของเราคือ T-Buy ใน ITDและ STEC ขณะที่ให้ Buy ใน CK ราคาเป้าหมาย 7.10 บาท และให้ PLE ราคาเป้าหมาย 7.82 บาท
ด้าน บล.ทีเอ็มบี ระบุว่า แนะนำให้ซื้อหุ้นที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดรวม เช่น HMPRO,BIGC,PS,CPN
บทวิเคราะห์บล.ฟาร์อีสท์ ระบุว่า ในระยะสั้นนี้ต้องเลือกหุ้นที่ยังปรับขึ้นไม่มากและมีพื้นฐานดีแบบ selective หุ้นแนะนำสำหรับการลงทุนใน 3Q50 นี้ได้แก่ PS, LH, BGH, BEC, KBANK, BBL, SCB, TOP, TTA, SAT เก็งกำไร STEC, CK, SYNTEC, TSTH, BSBM, ASP, BLS, BSEC
***บล.กสิกรไทย-นครหลวงไทย แนะนำ LH-SEAFCO-RRC-PF-BGH
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและค่อนข้างแรงนั้น แนะนำนักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคาหุ้นยัคงปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าตลาดฯ เพราะยังคงมี upside และให้ผลตอบแทนที่ดี โดยหุ้นที่แนะนำจะเป็น BH, BGH, RATCH, AP, LH, RRC, TOP, MAKRO, PTTCH
ด้านบทวิเคราะห์บล.นครหลวงไทย ระบุว่า สัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะปิดสถานะ Long position เพื่อทำกำไรระยะสั้นในตลาด Future เมื่อวันศุกร์ไป 1.2 พันสัญญาก็ตาม ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังทยอยซื้อสุทธิในตลาด Spot อีก 1.3 พันล้านบาท นอกจากนี้ ปัจจัยภายในประเทศขาดปัจจัยลบที่ชัดเจน เหลือเพียงการเดินหน้าสู่การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 ส.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตามองค่าเงินบาทด้วยเช่นกัน หากแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ขณะที่ตลาดต่างประเทศดัชนีปรับตัวขึ้นก็ถ้วนหน้า บวกกับราคาน้ำมันที่ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด NYMAX หมดอายุเดือนส.ค.ขยับขึ้นไปยืนเหนือ 72 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลแล้ว
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนให้ทยอยซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคา ณ ปัจจุบันยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เช่น PTT , IRPC , SCC, ADVANC , LH เป็นต้น และ ซื้อเก็งกำไร หุ้นขนาดกลางและเล็ก เช่น SEAFCO , RS ,FORTH , PRIN , TTA , PF เป็นต้น และหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ อย่าง KGI
ลองดูนะครับ บางตัว ราคาไปมากกว่า faire price ที่ตัวเองประมาณการไว้แล้ว หลาย % ยังแนะนำให้ซื้ออยู่เลยคร๊าบบบบบบบบบ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: