ย้อนยุทธ์ ตอนที่ 5 ขึ้นต้นเป็นนครหินอ่อน
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 06, 2007 5:32 pm
ย้อนยุทธ์คราวนี้สำหรับ VI พันธุ์แท้ MBK
มีโอกาสไปแวะเยือนเร็วๆนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงเยอะแยะไปหมด แต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คือ ปริมาณคนหลั่งไหลแทบทุกชั้น เลยนึกย้อนรำลึกถึงสมัยแรกที่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการสร้างศูนย์การค้าแห่งนี้ เลยเอามาเล่าให้เพื่อนๆฟัง
ในวันที่ฝนฟ้าโปรยปรายบางๆเช่นวันนี้
ตอนที่ 5 ขึ้นต้นเป็นนครหินอ่อน
ย้อนยุทธ์มา 3-4 ตอน ท่านผู้อ่านคงนึกสงสัย อายุอานามกูผู้รู้ขอบสนามนายนี้เท่าไหร่กันแน่ ก็เลยขอตอบว่ายังวัยวุ่น วัยรุ่นอยู่นะครับ เดินห้างสรรพสินค้า (เห็นแต่ด้านหลัง) กลมกลืนกับเด็กๆได้สบาย ถ้าไม่เอาแว่นขยายมาส่องหน้าเห็นผมหงอกๆ รอยประทับบาทากาไก่มากเกินจำเป็น เข้าแถวยืนรอคิวสั่งแฮมเบอร์เกอร์ฮิตๆก็ไม่หงุดหงิดหรือบ่นเมื่อยขาให้น่ารำคาญใจ ว่าแล้วย้อนยุทธ์ตอนนี้จะพูดถึงประสบการณ์เดินห้างเสียหน่อย สมกับยุคที่การท่องเที่ยวอยากให้กรุงเทพเป็น Shopping Paradise เสียนักหนา
กูรูเกิดไม่ทันยุคของห้างไทยๆอย่าง ห้างใต้ฟ้า เยาวราช ห้างแมวดำแถวราชวงศ์ หรือรุ่นถัดมาหน่อย ห้างไนติงเกล โอลิมปิค แถวถนนตรีเพชร พอจำได้แต่สโลแกนเลาๆ ว่า ราชาแห่งเครื่องดนตรี ราชินีแห่งเครื่องสำอางค์ ไม่มีโอกาสทันขึ้นบันไดเลื่อนตัวแรกของเมืองไทยที่ ไทยไดมารูห้างเก่าแก่ย่านราชประสงค์ ได้ยินแต่เสียงสรรพคุณของความอัศจรรย์ใจของนวตกรรมก่อสร้างชิ้นนี้ที่จุคนได้นับสิบๆพาขึ้นชั้นช้อปปิ้งไม่ต้องเสียกำลังขา
พูดถึงบันไดเลื่อนก็มีเกร็ดเล็กๆอีกนั่นแหละ บันไดเลื่อนเป็นศัตรูอย่างแรงกล้ากับแฟชั่นคุณสุภาพสตรี โดยเฉพาะกางเกงทรงขาบาน 6 ชิ้น 8 ชิ้นกรอมเท้าที่เคยฮิตนักหนา เพราะเคยเกิดกรณีหวาดเสียว ซี่ฟันของบันไดเลื่อน (ไม่รู้เรียกอย่างนี้ถูกหรือเปล่า) งับชายขอบกางเกงคุณผู้หญิงท่านหนึ่งในห้างสรรพสินค้าอีกแห่ง(ไม่ใช่ไทยไดมารู) เกิดความชุลุนอลหม่านเพราะคุณเธอตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร จะถอดกางเกงต่อหน้าธารกำนัลก็คงจะอาย แต่ถ้าไม่ถอด ส่วนล่างของร่างกายก็จะต้องถูกดึงไป ชะรอยมีสุภาพบรุษท่านหนึ่งได้แสดงวีรกรรมอย่างอาจหาญ คว้าตัวคุณผู้หญิงขึ้นพร้อมให้สลัดกางเกงออก ปล่อยให้กางเกงถูก(ซี่ฟัน)งับขาด แล้วคุณผู้ชายก็ถอดเสื้อตัวเองคลุมส่วนล่างให้คุณผู้หญิงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของผู้พบเห็น (คุณผู้หญิงท่านนั้นคงเข็ดหลาบไม่กล้าใส่กางเกงขาบานอีกนาน ส่วนคุณผู้ชาย... แฟ้มบุคคลรายวันขอปรบมือให้ดังๆ)
เมื่อเทียบแรงดึงดูดระหว่างห้างกับศูนย์การค้า สถานที่หลังอาจจะน้อยหน้าหน่อย เนื่องจากบรรยากาศเป็นร้านเล็กๆเปิดภายใต้หลังคาเดียวกัน ลูกค้าต้องเจาะจงเข้าหาซื้อของจำเพาะจริงๆ ไม่สามารถเดินทอดน่อง ทอดสายตา เอ้อระเหยได้ จึงเสียเปรียบเรื่องปริมาณคนเดินที่โหรงเหรงกว่า เพลินจิตอาเขตเป็นศูนยการค้ายุคแรกๆย่าน (แต่ก่อน)ชานเมือง หลังจากที่ปล่อยให้วังบูรพาล้ำยุคไปก่อน มีแม่เหล็กคือเพลินจิตโบล์ดึงดูดหนุ่มสาวเสื้อฟิตกางเกงบานเดินฉวัดเฉวียน หลังจากนั้นก็ถึงยุคสยามสแควร์ และสยามเซ็นเตอร์ คนรุ่นเดียวกับกูรูต้องเคยนั่งขั้นบันไดหน้าสยามเซ็นเตอร์มองดูผู้คนเดินไปมา เพื่อนคนไหนรีบกลับก่อนก็หาสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นรถ บางทีก้าวขาเหยียบขั้นบันไดไปแล้วก็พยายามยื้อยุดฉุดลงมาจนได้ กระทั่งพลบค่ำนั่นแหละครับ ค่อยโหนรถเมล์ต่องแต่งกลับบ้าน ถือเป็นเรื่องเท่ร่วมสมัยทีเดียว
เมื่อผู้คนนิยมเดินเข้าห้างมากขึ้น และบรรดาห้างเองก็พยายามจัดกิจกรรม ลด แลก แจกแถม สร้างสรรค์บรรยากาศให้เจริญหูเจริญตา การแตกขยายของห้างไปตามชุมชนต่างๆก็มีมากขึ้นนำโดยพี่เอื้อยใหญ่ห้างเซ็นทรัล( ที่ประกาศฉลองครบรอบแซยิค 60 ปีเร็วๆนี้) จนธุรกิจห้างสรรพสินค้าต้องจับตลาดแข่งขัน แย่งกันเกิด แย่งกันโต (และถ้าไม่รอดก็หลีกทางซบ) มีอยู่ปีหนึ่ง วันหนึ่ง ซึ่งธุรกิจห้างสรรพสินค้าถือฤกษ์ดีมีชัย เปิดบริการพร้อมกันทีเดียวกันถึง 3 แห่งนั่นก็คือ โรบินสัน สีลม ห้างบิ๊กเบลล์ (ปัจจุบันคืออาคารมหาทุนพลาซ่า เพลินจิต) ส่วนอีกห้างจำไม่ได้ครับ ผลก็คือ จราจรติดขัดไปทั้งเมืองทั้งๆที่เป็นวันเสาร์
เมื่อห้างสรรพสินค้าเดินหน้าทำคะแนนกันยกใหญ่ บรรดาศูนย์การค้าจะน้อยหน้ากว่าได้อย่างไร ติดที่กำลังทรัพยากรไม่เพียงพอจะ Renovate หรือทำกิจกรรมแข่งขัน ปล่อยให้ค่ายเงินหนาๆปฏิบัติการเป็นแนวหน้ากล้าตายไปก่อนดีกว่า และหนึ่งในแนวหน้านั้นก์คือ ผู้ผลิตหินอ่อนรายใหญ่ที่พลิกผันมาสร้าง นครหินอ่อนย่านปทุมวัน มาบุญครองเซ็นเตอร์ อันลือลั่น
สิ่งที่ผู้บริหารการค้าปลีกรุ่นใหม่ตระหนักก็คือ ความอืดอาดขาดพลังของช้อปปิ้งอาเขตแบบเก่าๆ บรรยากาศที่เป็น Exclusive เกินไป จำกัดกลุ่มผู้บริโภคในวงแคบๆ ไม่ค่อยต้อนรับหรือยินดียินร้ายกับผู้บริโภค ลูกค้าแปลกหน้าทำได้เพียงด้อมๆมองๆ Window Shopping เท่านั้น ฉะนั้นกลยุทธ์แม่เหล็กหนึบหนับ ดึงดูดมวลชนจึงเกิดขึ้น
คู่แข่งที่เกิดไล่เรี่ยกับมาบุญครอง ก็คือยักษ์ใหญ่เจ้าเดิมแถวราชประสงค์ อัมรินทร์พลาซ่า ( และอีกรายหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมืองออกไปโขใน พ.ศ. ขณะนั้นคือ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ) จึงเป็นศึกหนักของทั้ง 2 ฝ่ายในการแย่งชิงร้านค้าย่อยให้มาเปิดพื้นที่บริการในศูนย์ บรรดาร้านค้าชื่อดังก็พากันรีๆรอๆว่าห้างไหนมีข้อเสนอที่ดีกว่าหรือมีแม่เหล็กตัวไหนดึงดูดให้ประชาชนเดินเข้ามามากกว่ากัน ศึกชิงแม่เหล็กจึงเกิดขึ้นด้วยกำลังเงินพอฟัด พอเหวี่ยง ทั้ง 2 ค่าย ยักษ์ใหญ่ราชประสงค์ได้เปรียบในการเปิดตัวก่อน จึงสามารถสร้างข่าวและรุดหน้าสรรหาแม่เหล็กรูปแบบต่างๆ ชิงประกาศออกมาเป็นระยะๆ ฟากยักษ์ใหญ่ปทุมวันไม่ยอมแพ้ ประกาศแม่เหล็กตัวเขื่องๆออกมาได้แก่
1. ศูนย์อาหารที่ใหญ่ที่สุด
โดยหยิบยืมแนวความคิดของ Food Court จากประเทศใกล้เคียง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ไม่มีใครดำเนินมาก่อน ขณะนั้นมีบริการที่คล้ายคลึงกันแต่จำกัดในวงแคบกว่าก็คือ Food Court โรงแรม แอมบาสซาเดอร์ ศูนย์อาหารจะเป็นแม่เหล็กตัวมหึมาสร้างรายได้ที่มั่นคง สม่ำเสมอและเรียกซ้ำลูกค้าเก่า เชื้อเชิญลูกค้าใหม่ได้ตลอดเวลา ( คนเราก็ต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อโดยปกติ และมื้ออปกติอีกนับไม่ถ้วน )
2. ห้างสรรพสินค้าชื่อดังจากเมืองนอก
สมัยนั้นผู้บริโภคชื่นชมห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่นด้วยมีตัวอย่างอันดีจากห้างญี่ปุ่นเก่าแก่ เมื่อยักษ์ใหญ่อัมรินทร์ประกาศเอาห้างโซโก้เข้ามาได้ ยักษ์ใหญ่ปทุมวันเสียหน้าเล็กน้อยเพราะหมายมั่นปั้นมือไว้เหมือนกัน ภายหลังเจรจาตกลงพักใหญ่ก็เอาห้างโตคิวมาช่วยกู้หน้าไว้ แม้จะไม่อินเตอร์เท่า (ในวงการผิดคาด เพราะคิดว่าน่าจะได้ห้างเกรดหรูเลิศอย่าง มิตซูโคชิหรือ ทากาชิมายามาประดับยอดมงกุฎของนคร )
3. สะพานเลื่อนข้ามฟากแห่งแรก
จากบทเรียนบันไดเลื่อนของไทยไดมารู เป็นกิมมิคที่ทางศูนย์คาดว่าใครๆจะต้องเห่อมาใช้บริการ ( ผลปรากฏว่า แป๊กครับ คนไม่ค่อยเห่อเท่าที่ควร เพราะก่อนหน้านั้นก็มีสิ่งแรกอื่นๆที่ชวนตื่นเต้นมาแล้ว เช่น ลิฟท์แก้วตัวแรก สวนสัตว์ลอยฟ้า เป็นต้น ส่วนสะพานเลื่อนนะเหรอที่ดอนเมืองก็มีแล้ว )
4. International Chain Restaurants
เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาชิมร้านดังๆระดับนานาชาติที่มาเปิดบริการสาขาแรกในเมืองไทย ใครจะรู้บ้างมั้ยว่า McDonald สาขาแรกก็เกือบจะลงเอยที่มาบุญครองแล้ว หากไม่ติดเงื่อนไขที่ว่า อัมรินทร์พลาซ่าเร่งกำหนดเสร็จก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อมาบุญครองสร้างเสร็จ ยักษ์ใหญ่แฮมเบอร์เกอร์รายนี้ก็ไม่รอช้าเช่นกัน
มาบุญครองเซ็นเตอร์ เปิดให้บริการปี 2528 ด้วยบรรยากาศโอ่อ่าเลิศหรู สมเป็นนครหินอ่อน และเตรียมขยับขยายในส่วนของโรงแรมระดับเดอลุกซ์ 5 ดาวต่อไป หากกิจการดำเนินได้ระยะหนึ่งก็เกิดอุปสรรคด้านการเงินจึงถูกขาย เปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่มาเป็นเครือบริษัทดุสิตธานี ซึ่งประสพความสำเร็จจากการบริหารศูนย์การค้าหรูเพนนินซูล่า ราชดำริ ( เลื่องชื่อเรื่องก๋วยเตี๋ยวเรือชามละ 35 บาท ขณะที่อนุสาวรีย์ชัยฯเจ้าเก่ายังชามละ 10-12 บาท ) เปลี่ยนนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินต่างๆ และเปลี่ยนชื่อเป็น MBK เซ็นเตอร์ ปรับสู่ตลาดล่างมากขึ้น ลดตำแหน่งลงมาให้เป็นมวลชนกว่าเดิม ซอยพื้นที่ให้เล็กลง เพิ่มจำนวนร้านค้าย่อยมากขึ้น ลดสัดส่วนของการประดับหินอ่อนที่ไม่จำเป็นลง เพิ่มกิจกรรมโปรโมชั่น ส่วนห้างโตคิวก็คงเพียงแต่ชื่อห้างเท่านั่นที่เป็นญี่ปุ่น แต่รูปแบบ สินค้า การจัดบรรยากาศกลายเป็นไทยล้วน ส่วนพื้นที่ของโรงแรมก็ได้ Princess ในเครือดุสิตธานีมาลงให้ (โรงแรมเดียวกับที่ยอมปรับโฉมห้องพักใหม่ให้กับนักร้องชื่อก้องจากเกาหลีที่มาโปรยปรายสายฝนเย็นฉ่ำเมื่อเร็วๆนี้เองครับ)
ถึงทุกวันนี้ มาบุญครองเซ็นเตอร์ได้เป็นแลนด์มาร์คของ Shopping Center ไทยไปแล้ว ชาวต่างชาติทุกคนจะต้องหาโอกาสแวะเดินเพื่อหาซื้อของทุกประเภท ราคาถูก ต่อรองได้ในบรรยากาศติดแอร์เย็นฉ่ำ เวลาเพื่อนต่างชาติมาเมืองไทยจะขอไปช้อปปิ้ง 2 ที่เท่านั้น คือ ตลาดจตุจักร (เพื่อซื้องานฝีมือ) และ MBK (เพื่อซื้อสินค้าแบรนด์เนมภาคก๊อปปี้)
ส่วนอัมรินทร์พลาซ่าเองก็ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบหลายวาระ หลังจากห้างโซโก้ถอนตัวออกไป เอา Factory Outletเข้ามา ซึ่งก็ไม่ช่วยให้ธุรกิจกระเตื้องขึ้น จนในที่สุดถูกซื้อกิจการจากศูนย์การค้า Hi End ใกล้เคียง ห้างสรรพสินค้าที่เคยเร่งกันเปิดเป็นดอกเห็ดก่อนหน้านั้นก็ค่อยๆหุบตัวลงหรือแปรสภาพเป็นอย่างอื่นไปเพื่อความอยู่รอด
ตำนานของนครหินอ่อนจึงเลือนหายไปกับวันเวลาด้วยประการละฉะนี้ครับ
มีโอกาสไปแวะเยือนเร็วๆนี้ เห็นความเปลี่ยนแปลงเยอะแยะไปหมด แต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คือ ปริมาณคนหลั่งไหลแทบทุกชั้น เลยนึกย้อนรำลึกถึงสมัยแรกที่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการสร้างศูนย์การค้าแห่งนี้ เลยเอามาเล่าให้เพื่อนๆฟัง
ในวันที่ฝนฟ้าโปรยปรายบางๆเช่นวันนี้
ตอนที่ 5 ขึ้นต้นเป็นนครหินอ่อน
ย้อนยุทธ์มา 3-4 ตอน ท่านผู้อ่านคงนึกสงสัย อายุอานามกูผู้รู้ขอบสนามนายนี้เท่าไหร่กันแน่ ก็เลยขอตอบว่ายังวัยวุ่น วัยรุ่นอยู่นะครับ เดินห้างสรรพสินค้า (เห็นแต่ด้านหลัง) กลมกลืนกับเด็กๆได้สบาย ถ้าไม่เอาแว่นขยายมาส่องหน้าเห็นผมหงอกๆ รอยประทับบาทากาไก่มากเกินจำเป็น เข้าแถวยืนรอคิวสั่งแฮมเบอร์เกอร์ฮิตๆก็ไม่หงุดหงิดหรือบ่นเมื่อยขาให้น่ารำคาญใจ ว่าแล้วย้อนยุทธ์ตอนนี้จะพูดถึงประสบการณ์เดินห้างเสียหน่อย สมกับยุคที่การท่องเที่ยวอยากให้กรุงเทพเป็น Shopping Paradise เสียนักหนา
กูรูเกิดไม่ทันยุคของห้างไทยๆอย่าง ห้างใต้ฟ้า เยาวราช ห้างแมวดำแถวราชวงศ์ หรือรุ่นถัดมาหน่อย ห้างไนติงเกล โอลิมปิค แถวถนนตรีเพชร พอจำได้แต่สโลแกนเลาๆ ว่า ราชาแห่งเครื่องดนตรี ราชินีแห่งเครื่องสำอางค์ ไม่มีโอกาสทันขึ้นบันไดเลื่อนตัวแรกของเมืองไทยที่ ไทยไดมารูห้างเก่าแก่ย่านราชประสงค์ ได้ยินแต่เสียงสรรพคุณของความอัศจรรย์ใจของนวตกรรมก่อสร้างชิ้นนี้ที่จุคนได้นับสิบๆพาขึ้นชั้นช้อปปิ้งไม่ต้องเสียกำลังขา
พูดถึงบันไดเลื่อนก็มีเกร็ดเล็กๆอีกนั่นแหละ บันไดเลื่อนเป็นศัตรูอย่างแรงกล้ากับแฟชั่นคุณสุภาพสตรี โดยเฉพาะกางเกงทรงขาบาน 6 ชิ้น 8 ชิ้นกรอมเท้าที่เคยฮิตนักหนา เพราะเคยเกิดกรณีหวาดเสียว ซี่ฟันของบันไดเลื่อน (ไม่รู้เรียกอย่างนี้ถูกหรือเปล่า) งับชายขอบกางเกงคุณผู้หญิงท่านหนึ่งในห้างสรรพสินค้าอีกแห่ง(ไม่ใช่ไทยไดมารู) เกิดความชุลุนอลหม่านเพราะคุณเธอตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร จะถอดกางเกงต่อหน้าธารกำนัลก็คงจะอาย แต่ถ้าไม่ถอด ส่วนล่างของร่างกายก็จะต้องถูกดึงไป ชะรอยมีสุภาพบรุษท่านหนึ่งได้แสดงวีรกรรมอย่างอาจหาญ คว้าตัวคุณผู้หญิงขึ้นพร้อมให้สลัดกางเกงออก ปล่อยให้กางเกงถูก(ซี่ฟัน)งับขาด แล้วคุณผู้ชายก็ถอดเสื้อตัวเองคลุมส่วนล่างให้คุณผู้หญิงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของผู้พบเห็น (คุณผู้หญิงท่านนั้นคงเข็ดหลาบไม่กล้าใส่กางเกงขาบานอีกนาน ส่วนคุณผู้ชาย... แฟ้มบุคคลรายวันขอปรบมือให้ดังๆ)
เมื่อเทียบแรงดึงดูดระหว่างห้างกับศูนย์การค้า สถานที่หลังอาจจะน้อยหน้าหน่อย เนื่องจากบรรยากาศเป็นร้านเล็กๆเปิดภายใต้หลังคาเดียวกัน ลูกค้าต้องเจาะจงเข้าหาซื้อของจำเพาะจริงๆ ไม่สามารถเดินทอดน่อง ทอดสายตา เอ้อระเหยได้ จึงเสียเปรียบเรื่องปริมาณคนเดินที่โหรงเหรงกว่า เพลินจิตอาเขตเป็นศูนยการค้ายุคแรกๆย่าน (แต่ก่อน)ชานเมือง หลังจากที่ปล่อยให้วังบูรพาล้ำยุคไปก่อน มีแม่เหล็กคือเพลินจิตโบล์ดึงดูดหนุ่มสาวเสื้อฟิตกางเกงบานเดินฉวัดเฉวียน หลังจากนั้นก็ถึงยุคสยามสแควร์ และสยามเซ็นเตอร์ คนรุ่นเดียวกับกูรูต้องเคยนั่งขั้นบันไดหน้าสยามเซ็นเตอร์มองดูผู้คนเดินไปมา เพื่อนคนไหนรีบกลับก่อนก็หาสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นรถ บางทีก้าวขาเหยียบขั้นบันไดไปแล้วก็พยายามยื้อยุดฉุดลงมาจนได้ กระทั่งพลบค่ำนั่นแหละครับ ค่อยโหนรถเมล์ต่องแต่งกลับบ้าน ถือเป็นเรื่องเท่ร่วมสมัยทีเดียว
เมื่อผู้คนนิยมเดินเข้าห้างมากขึ้น และบรรดาห้างเองก็พยายามจัดกิจกรรม ลด แลก แจกแถม สร้างสรรค์บรรยากาศให้เจริญหูเจริญตา การแตกขยายของห้างไปตามชุมชนต่างๆก็มีมากขึ้นนำโดยพี่เอื้อยใหญ่ห้างเซ็นทรัล( ที่ประกาศฉลองครบรอบแซยิค 60 ปีเร็วๆนี้) จนธุรกิจห้างสรรพสินค้าต้องจับตลาดแข่งขัน แย่งกันเกิด แย่งกันโต (และถ้าไม่รอดก็หลีกทางซบ) มีอยู่ปีหนึ่ง วันหนึ่ง ซึ่งธุรกิจห้างสรรพสินค้าถือฤกษ์ดีมีชัย เปิดบริการพร้อมกันทีเดียวกันถึง 3 แห่งนั่นก็คือ โรบินสัน สีลม ห้างบิ๊กเบลล์ (ปัจจุบันคืออาคารมหาทุนพลาซ่า เพลินจิต) ส่วนอีกห้างจำไม่ได้ครับ ผลก็คือ จราจรติดขัดไปทั้งเมืองทั้งๆที่เป็นวันเสาร์
เมื่อห้างสรรพสินค้าเดินหน้าทำคะแนนกันยกใหญ่ บรรดาศูนย์การค้าจะน้อยหน้ากว่าได้อย่างไร ติดที่กำลังทรัพยากรไม่เพียงพอจะ Renovate หรือทำกิจกรรมแข่งขัน ปล่อยให้ค่ายเงินหนาๆปฏิบัติการเป็นแนวหน้ากล้าตายไปก่อนดีกว่า และหนึ่งในแนวหน้านั้นก์คือ ผู้ผลิตหินอ่อนรายใหญ่ที่พลิกผันมาสร้าง นครหินอ่อนย่านปทุมวัน มาบุญครองเซ็นเตอร์ อันลือลั่น
สิ่งที่ผู้บริหารการค้าปลีกรุ่นใหม่ตระหนักก็คือ ความอืดอาดขาดพลังของช้อปปิ้งอาเขตแบบเก่าๆ บรรยากาศที่เป็น Exclusive เกินไป จำกัดกลุ่มผู้บริโภคในวงแคบๆ ไม่ค่อยต้อนรับหรือยินดียินร้ายกับผู้บริโภค ลูกค้าแปลกหน้าทำได้เพียงด้อมๆมองๆ Window Shopping เท่านั้น ฉะนั้นกลยุทธ์แม่เหล็กหนึบหนับ ดึงดูดมวลชนจึงเกิดขึ้น
คู่แข่งที่เกิดไล่เรี่ยกับมาบุญครอง ก็คือยักษ์ใหญ่เจ้าเดิมแถวราชประสงค์ อัมรินทร์พลาซ่า ( และอีกรายหนึ่งซึ่งอยู่นอกเมืองออกไปโขใน พ.ศ. ขณะนั้นคือ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ) จึงเป็นศึกหนักของทั้ง 2 ฝ่ายในการแย่งชิงร้านค้าย่อยให้มาเปิดพื้นที่บริการในศูนย์ บรรดาร้านค้าชื่อดังก็พากันรีๆรอๆว่าห้างไหนมีข้อเสนอที่ดีกว่าหรือมีแม่เหล็กตัวไหนดึงดูดให้ประชาชนเดินเข้ามามากกว่ากัน ศึกชิงแม่เหล็กจึงเกิดขึ้นด้วยกำลังเงินพอฟัด พอเหวี่ยง ทั้ง 2 ค่าย ยักษ์ใหญ่ราชประสงค์ได้เปรียบในการเปิดตัวก่อน จึงสามารถสร้างข่าวและรุดหน้าสรรหาแม่เหล็กรูปแบบต่างๆ ชิงประกาศออกมาเป็นระยะๆ ฟากยักษ์ใหญ่ปทุมวันไม่ยอมแพ้ ประกาศแม่เหล็กตัวเขื่องๆออกมาได้แก่
1. ศูนย์อาหารที่ใหญ่ที่สุด
โดยหยิบยืมแนวความคิดของ Food Court จากประเทศใกล้เคียง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ไม่มีใครดำเนินมาก่อน ขณะนั้นมีบริการที่คล้ายคลึงกันแต่จำกัดในวงแคบกว่าก็คือ Food Court โรงแรม แอมบาสซาเดอร์ ศูนย์อาหารจะเป็นแม่เหล็กตัวมหึมาสร้างรายได้ที่มั่นคง สม่ำเสมอและเรียกซ้ำลูกค้าเก่า เชื้อเชิญลูกค้าใหม่ได้ตลอดเวลา ( คนเราก็ต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อโดยปกติ และมื้ออปกติอีกนับไม่ถ้วน )
2. ห้างสรรพสินค้าชื่อดังจากเมืองนอก
สมัยนั้นผู้บริโภคชื่นชมห้างสรรพสินค้าจากญี่ปุ่นด้วยมีตัวอย่างอันดีจากห้างญี่ปุ่นเก่าแก่ เมื่อยักษ์ใหญ่อัมรินทร์ประกาศเอาห้างโซโก้เข้ามาได้ ยักษ์ใหญ่ปทุมวันเสียหน้าเล็กน้อยเพราะหมายมั่นปั้นมือไว้เหมือนกัน ภายหลังเจรจาตกลงพักใหญ่ก็เอาห้างโตคิวมาช่วยกู้หน้าไว้ แม้จะไม่อินเตอร์เท่า (ในวงการผิดคาด เพราะคิดว่าน่าจะได้ห้างเกรดหรูเลิศอย่าง มิตซูโคชิหรือ ทากาชิมายามาประดับยอดมงกุฎของนคร )
3. สะพานเลื่อนข้ามฟากแห่งแรก
จากบทเรียนบันไดเลื่อนของไทยไดมารู เป็นกิมมิคที่ทางศูนย์คาดว่าใครๆจะต้องเห่อมาใช้บริการ ( ผลปรากฏว่า แป๊กครับ คนไม่ค่อยเห่อเท่าที่ควร เพราะก่อนหน้านั้นก็มีสิ่งแรกอื่นๆที่ชวนตื่นเต้นมาแล้ว เช่น ลิฟท์แก้วตัวแรก สวนสัตว์ลอยฟ้า เป็นต้น ส่วนสะพานเลื่อนนะเหรอที่ดอนเมืองก็มีแล้ว )
4. International Chain Restaurants
เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาชิมร้านดังๆระดับนานาชาติที่มาเปิดบริการสาขาแรกในเมืองไทย ใครจะรู้บ้างมั้ยว่า McDonald สาขาแรกก็เกือบจะลงเอยที่มาบุญครองแล้ว หากไม่ติดเงื่อนไขที่ว่า อัมรินทร์พลาซ่าเร่งกำหนดเสร็จก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อมาบุญครองสร้างเสร็จ ยักษ์ใหญ่แฮมเบอร์เกอร์รายนี้ก็ไม่รอช้าเช่นกัน
มาบุญครองเซ็นเตอร์ เปิดให้บริการปี 2528 ด้วยบรรยากาศโอ่อ่าเลิศหรู สมเป็นนครหินอ่อน และเตรียมขยับขยายในส่วนของโรงแรมระดับเดอลุกซ์ 5 ดาวต่อไป หากกิจการดำเนินได้ระยะหนึ่งก็เกิดอุปสรรคด้านการเงินจึงถูกขาย เปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่มาเป็นเครือบริษัทดุสิตธานี ซึ่งประสพความสำเร็จจากการบริหารศูนย์การค้าหรูเพนนินซูล่า ราชดำริ ( เลื่องชื่อเรื่องก๋วยเตี๋ยวเรือชามละ 35 บาท ขณะที่อนุสาวรีย์ชัยฯเจ้าเก่ายังชามละ 10-12 บาท ) เปลี่ยนนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินต่างๆ และเปลี่ยนชื่อเป็น MBK เซ็นเตอร์ ปรับสู่ตลาดล่างมากขึ้น ลดตำแหน่งลงมาให้เป็นมวลชนกว่าเดิม ซอยพื้นที่ให้เล็กลง เพิ่มจำนวนร้านค้าย่อยมากขึ้น ลดสัดส่วนของการประดับหินอ่อนที่ไม่จำเป็นลง เพิ่มกิจกรรมโปรโมชั่น ส่วนห้างโตคิวก็คงเพียงแต่ชื่อห้างเท่านั่นที่เป็นญี่ปุ่น แต่รูปแบบ สินค้า การจัดบรรยากาศกลายเป็นไทยล้วน ส่วนพื้นที่ของโรงแรมก็ได้ Princess ในเครือดุสิตธานีมาลงให้ (โรงแรมเดียวกับที่ยอมปรับโฉมห้องพักใหม่ให้กับนักร้องชื่อก้องจากเกาหลีที่มาโปรยปรายสายฝนเย็นฉ่ำเมื่อเร็วๆนี้เองครับ)
ถึงทุกวันนี้ มาบุญครองเซ็นเตอร์ได้เป็นแลนด์มาร์คของ Shopping Center ไทยไปแล้ว ชาวต่างชาติทุกคนจะต้องหาโอกาสแวะเดินเพื่อหาซื้อของทุกประเภท ราคาถูก ต่อรองได้ในบรรยากาศติดแอร์เย็นฉ่ำ เวลาเพื่อนต่างชาติมาเมืองไทยจะขอไปช้อปปิ้ง 2 ที่เท่านั้น คือ ตลาดจตุจักร (เพื่อซื้องานฝีมือ) และ MBK (เพื่อซื้อสินค้าแบรนด์เนมภาคก๊อปปี้)
ส่วนอัมรินทร์พลาซ่าเองก็ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบหลายวาระ หลังจากห้างโซโก้ถอนตัวออกไป เอา Factory Outletเข้ามา ซึ่งก็ไม่ช่วยให้ธุรกิจกระเตื้องขึ้น จนในที่สุดถูกซื้อกิจการจากศูนย์การค้า Hi End ใกล้เคียง ห้างสรรพสินค้าที่เคยเร่งกันเปิดเป็นดอกเห็ดก่อนหน้านั้นก็ค่อยๆหุบตัวลงหรือแปรสภาพเป็นอย่างอื่นไปเพื่อความอยู่รอด
ตำนานของนครหินอ่อนจึงเลือนหายไปกับวันเวลาด้วยประการละฉะนี้ครับ