หน้า 1 จากทั้งหมด 2
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 3:48 pm
โดย สามัญชน
วันงานสัมนา ผมได้ยินดร.บอกว่า ต้องมองภาพใหญ่ให้ออก
ผมได้ยินเต็มสองรูหูเลย ได้ยินแล้วก็ส่งคำสั่งไปที่สมอง
อ๊ะ.....สมองก็เห็นด้วย
อืม....คำพูดนี้ถูกต้องแล้ว
แล้วก็จบไป
วันนี้ผมนั่งเปิดดีวีดีรอบที่สาม (หรือสี่ห้าก็ไม่แน่ใจ)
เอ๊ะ จริงๆด้วยแฮะ บางทีเราก็ใส่ใจรายละเอียดจนลืมเรื่องใหญ่ๆ และลืมมองภาพใหญ่กันดังสุภาษิต อย่ามองแต่พุ่มพฤกษ์ จนลืมพงไพร
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 3:49 pm
โดย สามัญชน
หุ้นแต่ละตัวนั้นก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีทั้งข้อดีข้อเสีย
แม่ทัพสุมาอี้ถึงกับเคยบอกไว้เลยว่า
ไม่มีหุ้นที่ดีพร้อมหรอก ผมสามารถหาข้อเสียอย่างน้อยหนึ่งข้อสำหรับหุ้นทุกตัวทั้งสี่ร้อยกว่าตัว
แล้วผมก็เห็นลายเซนต์ของน้องหวีและดลบันดาลอะไรสักอย่างในความคิดผมออกมา น้องหวีบอกว่า
I hear, and I forget
I see, and I remember
I do, and I understand
Chinese Proverb
แต่ประมวลผลแล้ว ก็จบอีกเช่นเคย ไม่มีอะไรต่อยอดให้ออกดอกออกผล
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 3:50 pm
โดย สามัญชน
ผมมานึกขึ้นได้ตอนฟังซ้ำนั่นแหละครับ ว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นเคล็ดลับแล้วผมถึงจะต่อยอดได้
ผมคิดว่า "การเรียงลำดับความสำคัญ" คือเคล็ดลับที่ว่าครับ เราจะมองภาพใหญ่และต่อยอดไม่ได้เลยถ้าเราไม่เรียงลำดับความสำคัญ
และแนวคิดนี้สอดคล้องกับสัจธรรมหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ในรรมชาติ และสอดคล้องกับกฎ 80/20 เสียด้วยสิ
ยกตัวอย่าง หุ้น TASCO ถามว่าภาพใหญ่คืออะไร ก็ต้องตอบว่า เป็นหุ้นวัฏจักร
แล้วสำหรับหุ้นวัฏจักรนั้น อะไรสำคัญที่สุด
ที่ผมนึกออกก็คือ
ตอนนี้ถึงรอบวัฏจักรหรือยัง เป็นต้น หุ้นวัฏจักรนั้นถึงแม้จะมีข้อเสียอื่นๆมากมาย แต่ถ้าภาพใหญ่ถูกต้อง โอกาสที่จะได้กำไรก็จะมีสูงมาก แม้ว่าบริษัทจะมีหนี้สินเยอะเหลือเกิน(อันนี้สมมติครับ) แม้ว่าจะปันผลน้อยเหลือเกิน(สมมติอีกนั่นแหละครับ) หรือแม้ว่าจะ ....อะไรๆๆ..........อีกเยอะแยะ
ในขณะที่ถ้าเป็นหุ้นเติบโตภาพใหญ่ก็จะเป็นอีกแบบ
หรือหุ้นก้นบุหรี่ภาพใหญ่ก็จะเป็นอีกแบบ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 3:51 pm
โดย สามัญชน
แต่ทุกๆข้อที่สำคัญนั้น สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับวีไอนั้นก็คือ หุ้นตัวนั้นๆ ราคาแพงหรือยัง หุ้นดีแค่ไหนถ้าราคา over value ก็ไม่ใช่หุ้นสำหรับวีไอครับ
(แม้บัฟเฟตต์เองถึงเขาจะบอกว่า เขาชอบซื้อหุ้นที่ดีสุดยอดในราคายุติธรรม เห้นไหมครับ เขาไม่ได้บอกว่าซื้อที่ราคาแพงสักหน่อย)
เรามีจิ๊กซอว์ ร้อยกว่าชิ้นแต่ถ้าเราไม่เรียงลำดับความสำคัญ บางที จิ๊กซอว์นั้นอาจจะกลับมาทำร้ายเรา เนื่องจากข้อมูลย่อมมีทั้งด้านดีและด้านเสีย เข้าทำนอง รู้มากจะยากนาน หรือรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดก็เป็นได้
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 4:05 pm
โดย ...
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 5:06 pm
โดย naris
ขอคารวะ100จอกครับ ท่านพี่
ได้ข้อคิดตกผลึกอีกข้อแล้ว. ขอบคุณมากๆครับ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 6:35 pm
โดย Penguins
[quote="สามัญชน"]
ผมคิดว่า
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 6:58 pm
โดย cuboty
Penguins wrote:
คุณสามัญชน มีวิธีการเรียงจิ๊กซอร์ร้อยกว่าชิ้น หรือมีวิธีการเรียงลำดับความสำคัญที่มีอยู่มากมายอย่างไรบ้างครับ
ขอทายคำตอบป๋าวิสามัญ เอ้ย พี่สามัญชนว่า โอกาสที่บริษัทจะได้กำไรหรือมีรายได้เติบโตขึ้นในอนาคต ว่ามีมากน้อยเท่าไร โดยอาจจะแบ่งเป็นช่วงสั้นรายไตรมาส หรือใน1 ปี 5 ปี 10 ปี น่าจะเป็นภาพใหญ่สุดมั้ยคะ
แล้วค่อยดูว่า เป็นกำไรจากการดำเนินงานรึเปล่า หรือกำไรโดยบังเอิญ
แล้วลองตีมูลค่าของบริษัทในอนาคต เทียบกับราคา ปัจจุบัน
อย่าลืมดูธรรมาภิบาลของผู้บริหาร เช่น ถ้าไม่ดี ก็อาจจะตกแต่งบัญชีได้
ใช่ก่อเจ๊า ผิดถูกก็ขอตัวช่วยตวยนะเจ๊า
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 8:22 pm
โดย สามัญชน
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ สงสัยต้องไปเปิดดูอีกเพื่อจะหลุดอะไรไปบ้าง :lol:
เรื่องจิ๊กซอว์ผมชอบวิธีของพี่เพื่อนครับ แฮ่ ๆ กระทู้ไหนผมก็หาไม่เจอ จำได้ว่าผ่านตาแว็บๆ แต่ชอบไอเดียพี่เพื่อน แบบว่าใช่เลย
เรื่องเรียงลำดับความสำคัญผมก็เห็นด้วยกับคุณคูโบตี้นะครับ ว่ากำไรที่บริษัทจะทำได้ในอนาคตมีความสำคัญมาก ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปตามชนิดของหุ้น ถ้าหุ้นมีสินทรัพย์มากๆเราก็ต้องประเมินว่ามีโอกาสมากแค่ไหนที่สินทรัพย์ที่ซ่อนอยู่นั้นจะถูกเปลี่ยนมาเป็นผลประกอบการที่ดีขึ้น หรือมีใครจะมาเทคโอเวอร์
หลายๆท่านที่เก่งๆและประสบผลสำเร็จ มักจะมีความสามารถในการคาดเดากำไรได้อย่างแม่นยำ เช่นคุณนริศเดากำไร ilink ได้ใกล้เคียงมากเป็นต้น(อยู่ในร้อยคน ilink)
หรือเซียนอย่างพี่เหาฉลามก็ใช้วิธีคาดเดากำไรเป็นลำดับแรกในการวิเคราะห์ อยู่ในร้อยหุ้น tasco
ส่วนการจะคาดเดากำไรให้แม่นยำได้อย่างไรนั้น ผมไม่มีความสามารถพอ แต่เคยอ่านวิธีของคุณ invisible hand เรื่อง คุณภาพของกำไรแล้วถูกใจมากๆครับ น่าจะอยู่ในห้องบทความนะครับ :lol:
อ้อ.....เรื่องประมวลก็คงใช้วิธีง่ายๆมั้งครับเพราะการทำวิจัยคงจะยากเกินไป คือดูจากผลประกอบการของพอร์ทเราเอง :lol:
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 9:18 pm
โดย ...
สามัญชน เขียน:เรื่องจิ๊กซอว์ผมชอบวิธีของพี่เพื่อนครับ แฮ่ ๆ กระทู้ไหนผมก็หาไม่เจอ จำได้ว่าผ่านตาแว็บๆ แต่ชอบไอเดียพี่เพื่อน แบบว่าใช่เลย
อันนี้หรือเปล่าครับ
เพื่อน เขียน:ผมชอบหลักการต่อจิ๊กซอร์ครับ
จิ๊กซอร์แค่ชิ้นแรกๆ จะวางตรงไหน ยังไม่แน่ใจ...เรามักจะเลือกที่รูปคมๆเห็นรูปทรงชัดๆมาก่อน หรือไม่ก็ตัวที่อยู่ตามขอบภาพ
ชิ้นต่อไป ก็ยังไม่รู้ แต่ก็เริ่มเห็นสภาพการเกาะกุ่มชัดขึ้น...เราอาจไม่ได้รับตัวจิ๊กซอร์มาครบทั้งหมด...แต่เราเริ่มประติดประต่อหลายๆอย่างได้ชัดขึ้น และเริ่มทำนายอะไรได้ดีกว่าเดิม...อาจจะยังไม่ถูก แต่ก็มีโอกาสผิดน้อยลงเรื่อยๆ
....ที่สำคัญคือคนที่ช่างสังเกตุจะเห็นการตอบรับกันเองของจิ๊กซอร์แต่ละกลุ่มว่ามีอะไรผิดปรกติหรือปล่าว...หลายครั้งที่จะรู้สึกว่ามันมีอะไรขัดๆอยู่ และคิดว่ายังไม่ควรปักใจเชื่อว่านี่เป็นตำแหน่งที่ถูกต้องของมันจนกว่าจะเห็นชัดกว่านี้
บางอย่างก็ใช้การสังเกตุ บางอย่างก็เป็นเรื่องของการฝึกฝนและประสพการณ์ บางครั้งก็เป็นเรื่องของพรสวรรค์
คนที่มีโอกาสพบปะเจรจากับผู้คน(โดยเฉพาะระดับบริหาร)หลายรูปแบบจะได้เปรียบในเรื่องของประสพการณ์
เดี๋ยวรอคนอื่นๆมาให้หลักการที่นำมาประกอบการสังเกตุที่เป็นรูปธรรมกว่าอีกทีครับ
เพื่อน เขียน:เราคงต้องช่วยกันสังเกตุด้วยครับว่าผู้บริหารเริ่มแสดงอะไรแปลกๆออกมาให้เราเห็น...ดูแล้วรู้สึกเหมือนต่อจิ๊กซอร์ไม่ค่อยลงตัว
ขอยกตัวอย่างประเภทกรณีที่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ เช่น...ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้เอง ขณะที่ผมเริ่มสนใจหุ้นอยู่บริษัทหนึ่งซึ่งกำลังฮอตมากๆในเวปเรา ผู้บริหารให้ข่าวดีค่อนข้างมาก แต่ผู้บริหารเองก็ขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก และให้เหตุผลว่าเพื่อต้องการเสริมสภาพคล่อง(พร้อมกับประกาศขายต่ออีกจำนวนมาก) ....ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ และก็ได้โพสต์เข้าไปถามสมาชิกในกระทู้ห้องร้อยคนร้อยหุ้นว่า มีใครรู้สึกแปลกๆแบบผมมั่ง....ดูเหมือนไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่ ด้วยความฮ๊อตของหุ้น ....ต่อมาไม่นานถึงเวลาประกาศงบไตรมาส4 ปรากฎว่า บริษัทประกาศเพิ่มทุนและให้Esopกับผู้บริหารรายนั้นสูงมากๆ....
เค้ารู้ตัวก่อนผู้ถือหุ้นรายย่อยและมีโอกาสเตรียมตัวก่อน....สำหรับผมถือเป็นแบล็คลิสต์เลยครับสำหรับท่านนี้
ไม่นานมานี้ผมก็พบอีกบริษัทหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้บริหารเริ่มโม้มากจนผิดปรกติ เค้าเริ่มจับประเด็นโน้นประเด็นนี้มาผสมกันแล้วสรุปว่าบริษัทกำลังไปได้ดี....ผมก็ได้โพสต์เตือนๆไปว่าอย่าเพิ่งปักใจมั่นมากกับเค้า อาจจะทำได้จริงหรือไม่ก็ได้(รู้สึกว่าเค้าโม้มากเพื่อเหตุผลบางอย่าง) ในระยะยาวอาจมีความน่ากังวลอยู่...ตอนนี้ยังไม่เห็นผลครับ และอาจไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นด้วย แต่ด้วยความรู้สึกว่าจิกซอร์ต่อไม่ค่อยลงตัวแล้ว ทำให้ผมรู้สึกลังเลเหมือนกันต้องระวังไว้ก่อน
....ก็แล้วแต่การพิจารณาของแต่ละคนจะตัดสินใจกันเอง ผมก็แค่จับความรู้สึกส่วนตัวออกมาขยายความให้อ่านดูกัน...
จากกระทู้
ความน่าเชื่อถือของคำพูดผู้บริหาร
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 10:44 pm
โดย Rocker
หลังจาก ดร พูดถึง ภาพใหญ่ เสร็จ ก็พูดถึง Critical Factor ของบริษัท
ว่าหลายกลุ่มยังวิเคราะห์ไม่ใช่ critical factor หลักที่กระทบบริษัท
พี่หมอช่วยขยายความ Critical Factorทีครับ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 30, 2007 10:50 pm
โดย miracle
งง กับคำว่าภาพใหญ่ครับ
ภาพใหญ่มีระดับโลก พวกกลุ่มเคมีภัณฑ์ ,กลุ่มเหล็ก
ภาพใหญ่ระดับภูมิภาค เช่น กองเรือ
ภาพใหญ่ระดับประเทศ เช่น ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ,พลังงานทดแทน
ภาพใหญ่ของหุ้น เช่น วัฏจักร ,Asset Play
สุดท้ายคำว่าภาพใหญ่มันคือระดับไหนครับ
ภาพย่อยคือ ระดับบริษัทที่เราสนใจ งบการเงิน ข่าวของบริษัทพวกนี้คือ ภาพเล็กแน่นอน
ตอนนี้ งงมาก ใครก็ได้ช่วยที่
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 9:38 am
โดย สามัญชน
[quote="Rocker"]หลังจาก ดร พูดถึง ภาพใหญ่ เสร็จ ก็พูดถึง Critical Factor ของบริษัท
ว่าหลายกลุ่มยังวิเคราะห์ไม่ใช่ critical factor
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 10:42 am
โดย thawattt
คุณสามัญชน
ผมมานึกขึ้นได้ตอนฟังซ้ำนั่นแหละครับ ว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นเคล็ดลับแล้วผมถึงจะต่อยอดได้
ผมคิดว่า "การเรียงลำดับความสำคัญ" คือเคล็ดลับที่ว่าครับ เราจะมองภาพใหญ่และต่อยอดไม่ได้เลยถ้าเราไม่เรียงลำดับความสำคัญ
และแนวคิดนี้สอดคล้องกับสัจธรรมหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ในรรมชาติ และสอดคล้องกับกฎ 80/20 เสียด้วยสิ
ยกตัวอย่าง หุ้น TASCO ถามว่าภาพใหญ่คืออะไร ก็ต้องตอบว่า เป็นหุ้นวัฏจักร
แล้วสำหรับหุ้นวัฏจักรนั้น อะไรสำคัญที่สุด
ที่ผมนึกออกก็คือ
ตอนนี้ถึงรอบวัฏจักรหรือยัง เป็นต้น หุ้นวัฏจักรนั้นถึงแม้จะมีข้อเสียอื่นๆมากมาย แต่ถ้าภาพใหญ่ถูกต้อง โอกาสที่จะได้กำไรก็จะมีสูงมาก แม้ว่าบริษัทจะมีหนี้สินเยอะเหลือเกิน(อันนี้สมมติครับ) แม้ว่าจะปันผลน้อยเหลือเกิน(สมมติอีกนั่นแหละครับ) หรือแม้ว่าจะ ....อะไรๆๆ..........อีกเยอะแยะ
ในขณะที่ถ้าเป็นหุ้นเติบโตภาพใหญ่ก็จะเป็นอีกแบบ
หรือหุ้นก้นบุหรี่ภาพใหญ่ก็จะเป็นอีกแบบ
อยากให้คุณหมอสามัญชน ช่วยกรุณาแสดงความเห็นการต่อยอดซักธุรกิจหนึ่ง ที่แสดงการเชื่อมโยงภาพใหญ่ ไปสู่ภาพเล็ก เพื่อต่อยอดความเห็นที่เราได้จากการสัมมนาที่ผ่านมาเพิ่มเติมตรงนี้สัก Model หนึ่งให้ชัด ๆ เลย ก็จะเป็นประโยชน์ให้ผู้สนใจมาแสดงความเห็นต่อยอดเพิ่มเติมก็ดีครับ
หรือจะเปิด Workshop กัน เลือกประเด็นมาสนทนาเพิ่มเติม เพราะถ้าเห็นแบบจำลองความคิดเพื่อการต่อยอด จะทำให้สามารถนำไปประยุกต์กับการลงทุนได้ครับ
เห็นด้วยกับคุณหมอสามัญชนว่า ต้องมีอะไรที่เป็นเคล็ดลับที่ต้องไปต่อยอด ดังนั้นบางครั้งเราฟังแล้วผ่าน ๆ ไป แต่เวลาประยุกต์ใช้เพื่อต่อยอด มันไม่ง่ายเหมือนที่คิดครับ ขอบคุณสำหรับความเห็นของคุณหมอด้วยครับ กำลังติดตามอ่านต่อครับ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 12:19 pm
โดย naris
miracle เขียน:งง กับคำว่าภาพใหญ่ครับ
ภาพใหญ่มีระดับโลก พวกกลุ่มเคมีภัณฑ์ ,กลุ่มเหล็ก
ภาพใหญ่ระดับภูมิภาค เช่น กองเรือ
ภาพใหญ่ระดับประเทศ เช่น ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ,พลังงานทดแทน
ภาพใหญ่ของหุ้น เช่น วัฏจักร ,Asset Play
สุดท้ายคำว่าภาพใหญ่มันคือระดับไหนครับ
ภาพย่อยคือ ระดับบริษัทที่เราสนใจ งบการเงิน ข่าวของบริษัทพวกนี้คือ ภาพเล็กแน่นอน
ตอนนี้ งงมาก ใครก็ได้ช่วยที่
กำลังนึกอยู่ว่าจะเอาบทความเรื่องอะไรลงวารสารให้ดร.โหน่ง(ฉบับปฐมฤกษ์ เดือนส.คนี้) ยังไงผมขอยกคำถามนี้เป็นคำถามไว้ตอบฉบับนี้แล้วกันนะครับ ใครอยากรู้มุมมองผมในเรื่องนี้ต้องไปซื้อมาอ่านครับ ชื่อวารสาร Investor Digest ขายผ่านTHAIVI.COM นี่แหละครับตอนนี้ก็ดูมุมมองของคนอื่นไปก่อนแล้วกันนะครับ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 12:40 pm
โดย สุมาอี้
[quote="สามัญชน"]
ผมคิดว่า
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 1:22 pm
โดย ลูกอิสาน
ผมเขียนในบทความทีวีไอมีตติ้งครั้งที่ผ่านมาด้วยครับ ไม่รู้ตรงกับกระทู้หรือเปล่า
11. มองภาพใหญ่ อย่าใส่ใจภาพเล็ก กิจการทุกกิจการย่อมมีข้อดี ข้อเด่นข้อด้อย แตกต่างกันไป ไม่มีกิจการใดที่ดีพร้อม หรือแย่ไปหมดทุกอย่าง นักลงทุนควรจะเลือกกิจการที่มีข้อเสียน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับราคา การให้ความสำคัญมากเกินไปกับข้อเสียเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไร ทำให้นักลงทุนหลายๆคนพลาด ปล่อยโอกาสที่จะได้ลงทุนในกิจการที่ดีเยี่ยมหลุดลอยไป
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 1:27 pm
โดย สามัญชน
เปิดฟังอีกรอบแล้วครับ แฮ่ ๆต้องขอโทษเพื่อนๆที่ยังไม่ได้รับดีวีดีนะครับ ตอนนี้เสร็จหมดแล้ว วันจันทร์น้องโอ๊ตก็จะไปรับของและคงเริ่มจัดส่งให้สมาชิกได้เลย อดใจรออีกนิดนะครับ พอดีน้องโอ๊ตทำคนเดียวอาจจะมีข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆได้ ต้องขอความเห็นใจให้น้อง oatty ด้วยครับ
เปิดดูแล้วผมไม่เจอคำว่า critical factor นะครับ ไม่รู้ไปอยู่ตรงไหน
ผมเลยถอดคำพูดเรื่องภาพใหญ่มาให้ฟังไปพลางๆก่อนในระหว่างที่สมชิกยังไม่ได้รับดีวีดีครับ เมื่อได้รับแล้วต้องรบกวนสมาชิกช่วยกันโพสท์ต่อๆด้วย
ดร.พูดหลังจากที่ได้ฟังกลุ่มย่อยทั้งสิบกลุ่มนำเสนอหุ้นตัวเองนะครับ ดร.พูดว่า
"ผมดูภาพรวมๆแล้ว จุดอ่อนอันหนึ่งก็คือว่า พวกเราไปพูดแต่เรื่อง ที่เป็นคุณลักษณะ หรือเหตุการณ์อะไรบางอย่างของตัวกิจการ ซึ่งบางทีมันไม่เข้าประเด็นใหญ่ว่า บริษัทนี้ถ้ามองกันแบบมองทีเดียวแล้วเห็นเนี่ยนะ คือจุดเด่นมันอยู่ตรงไหน ตรงนี้เราก็จะจับความสำคัญได้ว่า บริษัทนี้มีอะไรที่เด่นมาก ดูปั๊บก็รู้เลย"
ผมฟังแล้วก็นึกถึงปีเตอร์ ลินช์ครับ วิธีที่ลินช์หาหุ้นก็คือ เขาให้เวลาคนที่เสนอหุ้นให้เขาฟังนั้น แค่หนึ่งนาทีต่อหุ้น เคล็ดลับก็คือถ้าเรามีเวลาสั้นๆที่จะพูดถึงหุ้น เราก็จะต้องเลือกแต่ "หัวใจ" มาพูดใช่ไหมครับ อะไรที่เป็นน้ำๆก็จะถูกตัดออกไป ก็จะทำให้เราโฟกัสไปเฉพาะเรื่องที่เป็นแก่นจริงๆ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 1:28 pm
โดย สามัญชน
อีกท่านหนึ่งก็คือ เดล คาร์เนกี เขาจัดงานอะไรสักอย่าง แล้วให้คนขึ้นมาพูดแค่คนละหนึ่งนาทีเท่านั้นเกี่ยวกับสิ่งที่เขามั่นใจมากๆว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่ชีวิตเขาทั้งชีวิตได้สะสมความรู้มา ซึ่งปรากฎว่างานนั้นเป็นที่ฮือฮามาก มีคนไปฟังกันล้นหลาม
อืม....เวลาสั้นๆสำคัญอย่างนี้เอง
หนังจีนกำลังภายในก็มีนะครับ เขาบอกว่า คำพูดของคนใกล้ตาย(แบบว่าเกือบจะเฮือกสุดท้ายแล้วนั่นแหละครับ) เป็นคำพูดที่พลาดไม่ได้ที่จะต้องฟัง(ว่าเข้าไปนั่น)
แต่คำพูดของหนังจีน ประเภทที่กำลังจะตายแล้วบอกชื่อว่า ฆาตกรที่ฆ่าตัวเองนั้น คือ อ อ อ แล้วก็ตายไป อย่างนี้ไม่สำคัญครับ เพราะไม่มีทางรู้หรอกครับว่าเป็นใครแถมอาจจะโดนหลอก เพราะผู้กำกับต้องการผูกเรื่องต่อไปและอาจจะพลิกความคาดหมายเพื่อหักมุมตอนจบด้วยซ้ำ :lol:
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 1:28 pm
โดย สามัญชน
ต่อครับ ดร.พูดอีกว่า
"และถ้าให้พูดอย่างเร็วๆ คำหนึ่งหรือประโยคหนึ่ง ไอ้บริษัทนี้จุดเด่นมันอยู่ตรงไหน พวกเราก็ยังบรรยายอะไร บางทียังสะเปะสะปะบ้าง ไปเล่าเรื่องที่ ความจริงมันไม่สำคัญหรอก ความจริงควรจะหาจุดที่..แบบสำคัญๆ อันนี้พูดถึง คุณภาพ"
แฮ่ ๆ ๆ ๆ เหมือนแนวคิดของลินช์ไหมครับ ที่จริงคนเก่งๆคนอื่นก็มักจะเป็นแบบนี้นะครับเวลาเขาทำงาน ส่วนเวลาว่างอื่นๆเขาก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ที่จริงเวลาทำงานเขาก็ไม่รีบร้อนนะครับ ที่เขาทำแบบนี้ก็เป็นกุศโลบายเพื่อที่จะให้คิดกันแต่ในเรื่องแก่นๆหรือหัวใจเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยไปเรื่อยๆก็จะมีแต่น้ำท่วมทุ่งเสียเวลาเปล่าๆ เรื่องเสียเวลาก็ยังไม่สาหัสนัก แต่เสียเป้าหมายทำให้ซื้อหุ้นผิดตัวนี่สิสำคัญ :lol:
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 1:29 pm
โดย สามัญชน
ดร.ยังพูดอีกว่า
"และอีกจุดหนึ่งก็คือเรื่อง ราคา เนี่ย... ไม่ค่อยมีกลุ่มไหนพูดถึงเลยว่า หุ้นของเขา ราคาถูก หุ้นตัวเอง ราคาถูก มันถูกยังไง ราคาเท่าไหร่ pe เป็นยังไง อะไรต่างๆเหล่านี้ก็ยังไม่ค่อยชัด"
บิงโก้เลยไหมครับ เรื่องราคาเนี่ยเป็นหัวใจหลักของ หลักการวีไอ เลยครับ
ราคา(ที่เราซื้อ)ต้อง
ต่ำกว่า
คุณค่า(ที่หุ้นมี) มากๆ ถ้าผิดจากนี้ก็ไม่ใช่หุ้นวีไอ แลไม่มีประโยชน์อะไรที่จะซื้อหุ้นดีๆที่ราคา overvalue
เพียงแต่ตัวราคานั้นเรารู้ชัดๆว่าเราต้องซื้อไปที่ราคาเท่าไหร่เรารู้ถึงทศนิยมสองตำแหน่งด้วยซ้ำ แต่การประเมิน คุณค่า นั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ซึ่งยากที่จะบอกได้ชัดเจนว่ามันควรมีคุณค่าเท่าไหร่กัน และด้วยความยากนี้แหละครับแม้จะเป็นวิกฤติสำหรับผู้อื่น แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับชาววีไอ และวีไอก็แตกแขนงสาขาไปได้หลายรูปแบบตามที่เราทราบๆกัน
หรือสรุปง่ายๆ หุ้นของชาว VI ก็คือหุ้นที่ Under Value จำง่ายๆ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 1:29 pm
โดย สามัญชน
ดร.ยังพูดอีกว่า
"อีกจุดหนึ่งก็คือ ที่ผมเห็นว่าเป็นจุดอ่อนก้คือ เราไม่ได้มอง เขาเรียกว่า กำไรพื้นฐาน หรือว่า ผลประกอบการพื้นฐานของตัวกิจการ เพราะบางทีมันมีกำไรที่เกิดขึ้นชั่วคราว ที่พูดมามีหลานอันนะ กำไรที่เกิดขึ้นชั่วคราวและไม่สามารถอยู่ได้ต่อเนื่องยาวนาน ไม่ยั่งยืน"
เรื่องกำไรพื้นฐานนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญในระยะยาวที่ผู้เล่นหุ้นมือใหม่จะ
"ต้อง" รู้ เพราะเป็นเรื่อง
ธรรมชาติ ของธุรกิจและเป็นภาพใหญ่อีกเช่นเดียวกัน การรู้ธรรมชาติของอะไรๆก็ตามจะช่วยเราได้ในระยะยาว คือระยะต้นๆนั้นเราก็เพียงแต่บันทึกข้อมูลลงสมองว่า อ้อ....ธุรกิจแบบนี้ กำไรจะประมาณเท่านี้ แต่เราจะไม่ผิดสังเกตุในระยะต้นๆเพราะเราไม่รู้ธรรมชาติของธุรกิจมาก่อน(อันนี้สำหรับผู้ที่ไม่ได้จบมาด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านธุรกิจหรือเคยทำธุรกิจมาก่อนนะครับ) แต่เมื่อระยะเวลายืดยาวออกไปจนเราเริ่มรู้ธรรมชาติของมัน เราจะได้ความสามารถที่เรียกว่า เอ๊ะ....อันนี้มันผิดธรรมชาตินะ มันผิดสังเกตุนะ มันเป็นกับดักนะ เป็นต้น
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 1:30 pm
โดย สามัญชน
[quote="ลูกอิสาน"]ผมเขียนในบทความทีวีไอมีตติ้งครั้งที่ผ่านมาด้วยครับ ไม่รู้ตรงกับกระทู้หรือเปล่า
[quote]11. มองภาพใหญ่ อย่าใส่ใจภาพเล็ก
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 1:41 pm
โดย สามัญชน
miracle เขียน:งง กับคำว่าภาพใหญ่ครับ
ภาพใหญ่มีระดับโลก พวกกลุ่มเคมีภัณฑ์ ,กลุ่มเหล็ก
ภาพใหญ่ระดับภูมิภาค เช่น กองเรือ
ภาพใหญ่ระดับประเทศ เช่น ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ,พลังงานทดแทน
ภาพใหญ่ของหุ้น เช่น วัฏจักร ,Asset Play
สุดท้ายคำว่าภาพใหญ่มันคือระดับไหนครับ
ภาพย่อยคือ ระดับบริษัทที่เราสนใจ งบการเงิน ข่าวของบริษัทพวกนี้คือ ภาพเล็กแน่นอน
ตอนนี้ งงมาก ใครก็ได้ช่วยที่
ภาพใหญ่ Big picture ภาษาอังกฤษสื่อได้ค่อนข้างดี ภาษาไทยอาจจะสื่อแล้วความหมายเพี้ยนไปบ้างเลยทำให้สับสน
ถ้าลองเปลี่ยนจากคำว่าภาพใหญ่กับภาพเล็ก เป็นเรื่องใหญ่กับเรื่องเล็ก อาจจะชัดเจนมากขึ้น
คือหมายถึงว่าหุ้นแต่ละตัวนั้น เราต้องเรียงลำดับความสำคัญว่า อะไรคือเรื่องใหญ่และอะไรคือเรื่องเล็กให้ได้
เราเรียงความสำคัญได้ถูกต้องไหมนั้น ก็มีวิธีพิสูจน์ครับ
อย่างเช่น เราเรียงจากสำคัญมากไปน้อยเป็นข้อๆจากหนึ่งถึงยี่สิบ
ถ้าเรื่องที่1-3 เราคาดเดาได้ถูก และเรื่องที่ 10-20 เราเดาผิด(ซึ่งอันหลังนี้ผิดถึงสิบข้อขณะที่ถูกมีเพียงสามข้อ) เท่านั้นเอง และผลออกมาก็ยังกลายเป็นว่าบริษัทก็ไปได้ดี อย่างนี้แปลว่าเราเรียงลำดับถูก
แต่ถ้าเราเดาข้อ1-10 ถูก แต่ไปผิดข้อ 20 ข้อเดียว แล้วบริษัทเจ๊ง อย่างนี้แปลว่าเราเรียงความสำคัญผิด
ในชีวิตจริงนั้นเราไม่สามารถคาดเดาได้ถูกหมดทุกเรื่อง แต่ถ้าเราเดาเรื่องที่สำคัญๆถูกเราก็จะประสบผลสำเร็จ และทำให้ชีวิตเรา "ง่าย" ขึ้น "สงบสุข" มากขึ้น
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 2:21 pm
โดย โอ@
โอ้ พี่หมอพูดให้คิดได้อีกอย่างเลยครับ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 3:18 pm
โดย miracle
ขอบคุณพี่สามัญชน
ถ้าแบบนี้ ท่านดร.นิเวศน์ ต้องการสื่อว่า
ต้องมองให้ทะลุเห็นตับไต ไส้พุงของตัวหุ้นเลยว่า
มันคืออะไร เห็นกันชัดเจน
แล้วเอามาเขียนเป็น story ในสมองว่า
ตัวนี้มันคืออะไรใช่ไหมครับ
เช่น
1. หุ้นวัฏจักร
2. ราคาขึ้นอยู่กับน้ำมัน
3. สินค้าที่ส่งขาย ใครผลิตก็ได้ แต่กำลังการผลิตตอนนี้ล้น
4. ราคาเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่ เงินที่ได้รับเป็นเงินบาทลดลง
เป็นต้น
ประมาณนี้ใช่ไหมครับ
ค่อยไล่จากภาพใหญ่แบบนี้
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 3:20 pm
โดย ก้อนหิน
สุดยอดครับ
กฏ 80/20 ยังใช้ได้เสมอจริงๆครับ ผมว่าอันนี้เนื้อๆที่ ดร ต้องการจะสื่อเลยนะครับ
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 4:59 pm
โดย Raphin Phraiwal
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 6:47 pm
โดย 007-s
เห็นด้วยกะพี่หนุ่มศรรามมากๆค่ะ ใช่เลย
ดิฉันอ่าน ลุงลินช์ กะ ลุงบัฟ แล้ว แต่ละเล่มมันหนามากๆ
ตอนอ่าน เข้าใจหมด แต่พวกกฏ หรือหลักคำนวน ปลีกย่อยไรต่างๆ มักจำไม่แม่น ต้องคอยมาเปิดดูอีกรอบ เวลาจะใช้งานเฉพาะจุด
แต่สองอันจำแม่นเลย จากของทั้งคู่
หนึ่ง ต้องอธิบายข้อดีเสีย หรือเหตุผลในการจะลงทุนในบริษัทนั้นๆ ออกมาให้ง่ายจนเด็กเล็กๆ ฟังรู้เรื่อง
สอง ถ้ายังวาดออกมาเป็นรูปไม่ได้ ยังไม่ควรลงทุนในบริษัทนั้นๆ
นัยยะสองข้อนี้ มีความหมายมาก
(คงไม่ได้แปลว่า ถ้าเป็นคนไม่รักเด็ก หรือหาเด็กเล็กๆมาคุยด้วยไม่เจอต้องไม่ลงทุน และไม่ได้แปลว่า ถ้าวาดรูปไม่เก่งก็ลงทุนไม่ได้นะ :lovl: )
ภาพใหญ่
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 7:27 pm
โดย CEO
เอ่อ ยิ่งอ่านผมก็ยิ่งไม่เข้าใจครับ
เอาเป็นว่า หุ้นจะไป 2000 จุด
ใช่ไหมครับ