หน้า 1 จากทั้งหมด 1
ที่ว่าประมูล โรงไฟฟ้า กันเนี่ย...
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2007 12:11 pm
โดย nearly_vi
เค้าจะไปสร้างโรงไฟฟ้ากันที่ไหนเหรอครับ
หรือว่าแล้วแต่ บริษัทที่ประมูลได้
หัวข้อ: EGCO-RATCH-TOP ตัวเก็ง คาดมูลค่าหุ้นเพิ่ม 3-15 บาท
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 23, 2007 2:52 pm
โดย Linsu_th
EGCO-RATCH-TOP ตัวเก็ง คาดมูลค่าหุ้นเพิ่ม 3-15 บาท
นักวิเคราะห์ประเมิน "EGCO" "RATCH" และ "TOP" มีโอกาสชนะประมูลโรงไฟฟ้ามากที่สุด คาดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหุ้นตั้งแต่ 3-15 บาทต่อหุ้น แนะซื้อลงทุน "หุ้น TOP" ที่ราคายังต่ำอยู่ และซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวใน "หุ้น EGCO" ส่วนหุ้น RATCH แนะเพียง "ถือ"
เค้กแสนล้านประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีรอบนี้จะตกเป็นของใคร ... นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างมองสอดคล้องกันว่า 3 หุ้นโรงไฟฟ้า อย่างบริษัทผลิตไฟฟ้า (EGCO) โรงไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) และไทยออยล์ (TOP) มีโอกาสชนะประมูลมากที่สุด เพราะมีความพร้อมในทุกด้าน เราคาดว่าจะมีโรงไฟฟ้าที่จะชนะการประมูลประมาณ 4 โรงๆ ละประมาณ 800 เมกะวัตต์ รวม 3,200 เมกะวัตต์ ซึ่งจะใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมด โดยเชื่อว่า EGCO RATCH และ TOP จะเป็นบริษัทที่มีโอกาสชนะประมูลสูงสุด เพราะมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ สาธารณูปโภค สายส่ง ประสบการณ์ เชื้อเพลิงและเงินทุน" กิติชาญ ศิริสุขอาชา นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ให้ความเห็น ฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง มองว่า ทั้ง 3 บริษัทมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะบริษัทผลิตไฟฟ้า จะมีความได้เปรียบมากสุด เพราะมีพื้นที่ในการประมูลโรงไฟฟ้าครอบคลุมกว่า ทั้งภาคตะวันออกใน จ.ระยอง ภาคตะวันตก จ.ราชบุรี และภาคใต้ จ.สุราษฎร์ธานี
ขณะที่บริษัทโรงไฟฟ้าราชบุรีมีจุดเด่นในเรื่องต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และมีต้นทุนการเงินที่สามารถแข่งขันได้ ส่วนไทยออยล์ มีผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ปตท.ให้การสนับสนุน และมีพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าอยู่ในจังหวัดระยอง ซึ่งได้รับการอนุมัติการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว จึงทำให้ได้เปรียบ ทั้งสามบริษัทจะได้รับชัยชนะการประมูลโรงไฟฟ้ารายละ 1 โรงอย่างแน่นอน ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่ 4 คาดว่าจะเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าหรือ EGCO แต่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการด้วยว่าจะมีความต้องการไฟฟ้าในภาคใด รวมถึงราคาการเสนอประมูลว่าภาคไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน" กิติชาญกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ที่เห็นต้องกันว่า 3 บริษัทโรงไฟฟ้า จะมีโอกาสชนะการประมูลในรอบแรกมากที่สุด โดยมีโรงไฟฟ้าราชบุรีมาเป็นอันดับแรกๆ เนื่องจากมีความพร้อมจึงสามารถเสนอราคาต่ำได้ ตามติดด้วยบริษัทผลิตไฟฟ้า เพราะมีพื้นที่โรงไฟฟ้าหลายส่วน แต่พื้นที่ในภาคตะวันออก น่าจะมีโอกาสมากสุด เนื่องจากมีความพร้อมทั้งพื้นที่และระบบสายส่ง ไม่ต้องก่อสร้างหรือลงทุนระบบใหม่ ตลอดจนบริษัทมีความเชี่ยวชาญในโรงไฟฟ้าเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น ไทยออยล์ เป็นบริษัทที่สามที่จะมีโอกาสชนะประมูล เพราะบริษัทมี ปตท.เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และบริษัทย่อยของไทยออยล์ยังมีที่ตั้งอยู่ที่อ่าวไผ่ ซึ่งมีระบบสายส่งที่พร้อม สามารถรองรับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นอีก 1 โรง หรือจำนวน 700 เมกะวัตต์ได้
ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่ 4 ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย มองในมุมต่างว่า น่าจะเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากถ่านหิน เนื่องจากมีต้นทุนที่ถูก หากประชาชนไม่คัดค้าน
"เรามองว่า ไออาร์พีซี (ทีพีไอเดิม) ที่จับมือกับโกลว์ พลังงาน (GLOW) จะมีโอกาสได้รับการประมูล เพราะบริษัทมีพื้นที่เหลือมาก นอกจากนั้นยังอยู่ใกล้ท่าเรือน้ำลึก แต่ปัญหาคือประชาชนจะคัดค้านการสร้างโรงงานไฟฟ้าจากถ่านหินหรือไม่"
อย่างไรก็ตาม หากโรงไฟฟ้าแห่งที่ 4 ไม่ได้ใช้ถ่านหิน ไออาร์พีซีก็จะไม่มีโอกาส เพราะไม่มีความชำนาญและความพร้อมในการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซเทียบเท่า 3 บริษัทโรงไฟฟ้าใหญ่ดังกล่าว สำหรับแนวทางการลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้า ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ให้คำแนะนำ "ซื้อ" ลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้าที่มีโอกาสได้โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ทั้ง 3 บริษัท คือ หุ้น EGCO RATCH และ TOP "EGCO เป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งและฐานกำไรเติบโตโดดเด่นมากที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากบริษัทจะมีโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่จะทยอยเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า ทำให้ฐานกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นตลอด ขณะที่หุ้น TOP ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีผลดีในการกระจายรายได้ไปยังหลายธุรกิจ ทำให้ฐานกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น ส่วนหุ้น RATCH แม้จะได้โรงไฟฟ้าไอพีพีใหม่จะทำให้บริษัทเติบโตต่อ แต่ในแง่ของฐานกำไรบริษัทจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นเด่นชัดมากนัก เนื่องจากบริษัทต้องหยุดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุง"
ฝ่ายวิจัยแห่งนี้ มองว่า มูลค่าหุ้นของ 3 บริษัท จะปรับเพิ่มขึ้นจากการได้รับประมูลโรงไฟฟ้าแห่งใหม่นี้ โดยประเมินว่าจะเพิ่มมูลค่าให้หุ้น EGCO ราว 9 บาท จะทำให้ราคาเหมาะสมของหุ้นเป็น 122 บาท จากเดิม 113 บาท, หุ้น RATCH เพิ่มเป็น 51 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท และหุ้น TOP เพิ่มเป็น 77 บาท หรือเพิ่มขึ้นอีก 5 บาท
เราแนะซื้อหุ้นทั้ง 3 ตัว เพราะราคายังไม่ปรับขึ้นไปมาก แต่หุ้น EGCO และ TOP จะมีความโดดเด่นของการเติบโตของกำไรมากสุด โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปีนี้ (2550) ของหุ้นผลิตไฟฟ้าที่ 113 บาท และหุ้นไทยออยล์ที่ 72 บาท" ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ให้คำแนะนำในขณะที่ฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง มองว่า ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าได้ปรับตัวขึ้นรับข่าวดีไปมากแล้ว.. "ราคาหุ้นส่วนใหญ่ได้ปรับตัวขึ้นไป สะท้อนข่าวการประมูลไปค่อนข้างมากแล้ว 30-40% โดยเฉพาะหุ้น EGCO ได้ปรับขึ้นมาแล้ว 38% หุ้น RATCH เพิ่มขึ้นแล้ว 40% แต่หุ้น TOP ได้ปรับขึ้นมาเพียง 16% เท่านั้น เพราะไทยออยล์ทำธุรกิจโรงกลั่น ทำให้คนยังไม่คาดหวังเรื่องกำไรในโรงไฟฟ้ามากนัก เรายังคงแนะนำซื้อลงทุนในหุ้น TOP โดยราคาเป้าหมายสิ้นปีที่ 75 บาท ส่วนหุ้น EGCO ให้ซื้อเมื่ออ่อนตัว และให้ราคาเป้าหมายที่ 108 บาท และให้ถือหุ้น RATCH ให้ราคาเป้าหมายที่ 45 บาทตอนสิ้นปี" กิติชาญกล่าว ส่วนกรณีทั้ง 3 บริษัท ชนะการประมูลโรงไฟฟ้าอีกหนึ่งแห่ง ฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง ประเมินมูลค่าหุ้น EGCO จะเพิ่มอีก 15 บาท เป็น 123 บาท, หุ้น RATCH เพิ่มขึ้น 6 บาท เป็น 51 บาท และหุ้น TOP เพิ่มอีก 4 บาท เป็น 79 บาท อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยให้ข้อสังเกตว่า โครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าและรับรู้รายได้และผลกำไรในช่วงปี 2555-2557 ซึ่งการให้มูลค่าส่วนเพิ่มของโครงการไปในราคาหุ้นปัจจุบัน อาจมีความไม่แน่นอนทั้งในเรื่องผู้ชนะการประมูล จำนวนเมกะวัตต์ที่ชนะการประมูล ปีที่เริ่มจ่ายไฟฟ้า และความเสี่ยงในการก่อสร้าง ฝ่ายวิจัย บล.กิมเอ็ง จึงยังคงราคาเป้าหมายเดิมไว้จนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องการประมูลมากขึ้นเสียก่อน
strong catalyst ?
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 23, 2007 3:21 pm
โดย chartchai madman
เป็นอีกตัวอย่างของหุ้นที่มี ตัวเร่ง (catalyst)ครับ แต่ ตัวเร่งนี้จะมีผลต่อการเติบโตของบริษัทแค่ไหนต้องวิเคราะห์กันในเชิงลึกครับ แต่ที่แน่ๆคงมีผลบุญส่งไปถึงการเติบโตของหุ้นในกลุ่มเสี่ย ปอ.ของผมบ้างละ เพราะใช้ต้องใช้ก๊าซ :lol: :lol: :lol:
ที่ว่าประมูล โรงไฟฟ้า กันเนี่ย...
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 24, 2007 9:30 am
โดย tummeng
ลงทุน"แสนล้าน"ดัน"จีดีพี"พุ่ง
มีความเคลื่อนไหวที่น่าติดตาม สำหรับการประมูลโรงไฟฟ้าไอพีพีรอบแรก ที่จะออกประกาศเชิญชวนในเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนที่จะกำหนดให้ไอพีพียื่นข้อเสนอในเดือนตุลาคมในช่วงปลายของรัฐบาลชั่วคราว อย่างจงใจให้การประมูลเสร็จสิ้นลง ก่อนที่จะลากยาวไปถึงรัฐบาลหน้า
เวทีนี้มีผู้เล่นเป็นภาคเอกชน 6 ราย โดดเข้าชิงชัย บนข้อกังขา "ปิดทาง" รายใหม่ และไม่กำหนดประเภทเชื้อเพลิง เพื่อเลี่ยงการปะทะกับมวลชน และเปิดทางให้บริษัทลูก กฟผ.-ปตท.เข้าร่วมประมูล ซึ่งเป็นอีกข้อได้เปรียบเหนือบริษัทอื่น
หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติอนุมัติแผนกำลังการผลิตไฟฟ้า หรือพีดีพี 2007 (PDP2007) ในระยะ 15 ปี (2550-2564) กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 39,676.25 เมกะวัตต์
โดยแบ่งกำลังการผลิตไฟฟ้าออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 โครงการที่ได้รับอนุมัติแล้วและอยู่ระหว่างก่อสร้างในปี 2550-2553 รวม 7,885.25 เมกะวัตต์ และช่วงที่ 2 โครงการที่จะดำเนินการในปี 2554-2564 รวม 31,791 เมกะวัตต์
ประกอบด้วย โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) จำนวน 18 โครงการ จำนวน 12,600 เมกะวัตต์ โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนขนาดเล็ก (เอสพีพี) จำนวน 1,700 เมกะวัตต์ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 5,091 เมกะวัตต์ และโครงการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการเอง 16 โครงการ จำนวน 12,400 เมกะวัตต์ รวมวงเงินลงทุนตามแผนดังกล่าวสูงถึง 2.08 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากคำนวณเฉพาะการประมูลแข่งขันผลิตไฟฟ้าตามไอพีพี ช่วงที่ 1 ที่จะออกประกาศเชิญชวน (ทีโออาร์) ในช่วงเดือนมิถุนายน 2550 กำลังการผลิต 3,200 เมกะวัตต์ ก่อนจะยื่นข้อเสนอในเดือนตุลาคม 2550 และประเมินคัดเลือกแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2550 (ป้อนไฟเข้าระบบในปี 2555-2557) คาดการณ์กันว่า ต้องใช้เม็ดเงินลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าสูงกว่าแสนล้านบาท
หรือคิดเป็น 5% (2555-2557) ของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศไทยที่มีมูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท
การก่อสร้างโรงไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ ถูกประเมินว่าต้องใช้ทุนราว 35 ล้านบาท ถ้าโรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกะวัตต์ 1 โรง ก็ต้องลงทุนมากถึง 2 หมื่นล้านบาท
โครงการไอพีพีจึงถือเป็น ชิ้นปลามัน ที่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่จ้องตาไม่กะพริบ
ยิ่งในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ดด้วยแล้ว การดันโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจค) ยังเหมือนเป็นการต่อลมหายใจให้กับระบบเศรษฐกิจ เพื่อผลักดัน การลงทุนตรงภาคเอกชน ซึ่งเป็นขาหนึ่งในการคำนวณจีดีพีของประเทศ นอกเหนือจากพึ่งพาการส่งออก ซึ่งก่อนหน้านี้ ครม.เพิ่งอนุมัติก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง วงเงิน 1.55 แสนล้านบาท ไปแล้ว
มาดูความเคลื่อนไหวของบรรดาผู้ผลิตไฟฟ้าไอพีพี ยิ่งเข้าใกล้วันซื้อซองและยื่นซองประมูล ความคึกคัก ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น มีการกะเก็งกันว่า..ใคร ? จะเป็นตัวเต็งคว้ากำลังการผลิตไฟฟ้าได้มากที่สุด
ระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (RATCH) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ซึ่งดูจะมีภาษีเหนือคู่แข่งอื่น
เพราะสองบริษัทแรกถือหุ้นใหญ่โดย กฟผ.และยังเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนที่มีกำลังการผลิตเป็นอันดับแรกและอันดับที่ 2 ของประเทศ ส่วนไทยออยล์ มีดีตรงที่มีบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
เมื่อเทียบกับผู้ผลิตไฟฟ้าไอพีพีอีก 3 ราย ที่หาญกล้า โดด เข้าชิงดำในสมรภูมินี้ด้วย แม้แบ็คอัพ (ผู้หนุนหลัง) จะไม่ปึ้กเท่า แต่ก็แก้ทางด้วยการดึงพันธมิตรเข้ามาเสริมความแกร่ง อย่างบริษัทโกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) ที่จับมือกับบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) (HEMRAJ)
ขณะที่เหล้าเก่าในขวดใหม่อย่างไออาร์พีซี (ทีพีไอเดิม) ก็ขอร่วมแจม
รายนี้แม้จะมี ปตท.เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ต้องยอมรับว่าไออาร์พีซียังไม่ใช่ พี่เบิ้ม ในแวดวงผลิตไฟฟ้า ซึ่งเดิมเป็นเพียงธุรกิจสนับสนุนปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ของตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ เท่านั้น
ขณะที่บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) แหยงที่จะร่วมประมูล ชิงประกาศถอนตัวไปก่อนหน้า โดยอ้างถึงการแข่งขันที่ดุเดือด พิจารณาจากจำนวนรายที่ประกาศตัวเข้าประมูล จากการประมูลไอพีพีรอบนี้ อั้นมานาน เพราะห่างจากการประมูลครั้งแรกนานถึง 10 ปี ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ยังผลักดันให้ภาคเอกชนดิ้นรับงานประมูล
ผู้บริหารบ้านปูจึงเชื่อว่าผลตอบแทนการลงทุน หรือ IRR ของไอพีพีรอบนี้ จะไม่จูงใจเพียงพอเมื่อเทียบกับการลงทุนในต่างประเทศซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และยังเป็นนโยบายของบ้านปูในการลุยลงทุนในต่างประเทศเหมืองถ่านหิน และโรงไฟฟ้าหน้าเหมือง
โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเข้าร่วมทุนในอีกหลายโปรเจค
ประกอบกับการที่บ้านปูชนะการประมูลผลิตไฟฟ้าโครงการหงสา-ลิกไนต์ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ส.ป.ป.ลาว) ซึ่งขับเคี่ยวมากับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) มาโดยตลอด
โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 1,800 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนราว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท (35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.โดยมีรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยานไปแล้ว
หากคำนวณผลตอบแทนการลงทุนแล้ว ถือว่าสูงกว่าโครงการไอพีพีรอบนี้ ที่อย่างเก่งบ้านปูอาจจะชนะประมูลเพียง 700 เมกะวัตต์ เท่านั้น
ราชบุรีฯมั่นใจติด 1 ใน 3
ณรงค์ สีตสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บอกว่า เขามีความมั่นใจว่าราชบุรี โฮลดิ้ง จะติด 1 ใน 3 รายที่จะชนะการประมูลไอพีพีรอบนี้ เมื่อพิจารณาจากความพร้อมของบริษัทในด้านต่างๆ ทั้งบุคลากรที่ส่วนใหญ่โอนมาจาก กฟผ.ซึ่งถือว่าเชี่ยวชาญในการผลิตไฟฟ้า
ในส่วนของเงินลงทุนก็เช่นเดียวกัน บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจากกำไรสะสมจากการดำเนินงานที่มีมากถึง 20,712 ล้านบาท มีเงินทุนหมุนเวียน 12,346 ล้านบาท และยังมีกระแสเงินสดเข้ามาปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท
ประกอบกับมีสถานที่ก่อสร้างและระบบสาธารณูปโภคพร้อมรองรับกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในจังหวัดราชบุรี ซึ่งผ่านการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้ว
โดยเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกะวัตต์ พื้นที่ดังกล่าวยังอยู่ใกล้กับท่อส่งก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ที่ต่อท่อมาจากประเทศพม่าเข้ามายังโรงไฟฟ้าราชบุรีโดยตรง จึงมีก๊าซธรรมชาติเพียงพอสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่แน่นอน
นอกจากนี้ยังเจรจากับ ปตท.เพื่อขอซื้อก๊าซเพิ่มเติมแล้ว พื้นที่ยังอยู่ใกล้สายส่งไฟฟ้า ขนาด 230 เควี ทำให้ไม่ต้องลงทุนก่อสร้างระบบสายส่งใหม่ทั้งหมดที่ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท แต่อาจต้องลงทุนเพิ่มเติมเพียงไม่กี่สิบล้านบาท ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทถูกกว่ารายอื่น ทำให้สามารถเสนออัตราค่าไฟฟ้าในการประมูลได้ต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ
"จากกำไรสะสม เงินทุนหมุนเวียน และกระแสเงินสด ที่มีอยู่ ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงินใดๆ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เรายังเชื่อว่าจะเป็นผู้ที่เสนออัตราค่าไฟฟ้าได้ต่ำที่สุด หากไม่ได้งานนี้ ผมเองก็พร้อมที่จะพิจารณาตัวเอง กรรมการผู้จัดการราชบุรี โฮลดิ้ง เอาตำแหน่งตัวเองเป็นเดิมพัน
เอ็กโกคุยชิงเค้กไอพีพีอย่างน้อย 30%
ด้านบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก เป็นอีกหนึ่งรายที่น่าจับตามอง แม้จะปรับแผนเข้าร่วมประมูลไอพีพีใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ โดยเปลี่ยนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินมาเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
วิศิษฎ์ อัครวิเนค กรรมการผู้จัดการใหญ่เอ็กโก คาดการณ์ว่า บริษัทจะชนะประมูลอย่างน้อย 30% ของกำลังการผลิตที่เปิดประมูล
ล่าสุด เอ็กโกเตรียมพื้นที่สำหรับการประมูลไว้ถึง 5 แห่ง เป็นโรงไฟฟ้าก๊าซทั้งหมด และหากประมูลได้เกินกว่าหนึ่งโรงจะร่วมกับพันธมิตร
"ผมมั่นใจว่าอย่างน้อยเอ็กโกก็น่าจะได้การประมูล 30% เพราะความพร้อมในแง่ของพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าใหม่ ซึ่งมีอยู่แล้วในบริเวณโรงไฟฟ้าเดิม คือโรงไฟฟ้าขนอมใน จ.สุราษฎร์ธานี ที่มีสายส่งพร้อมโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการดำเนินงานไม่สูงมาก ทำให้สามารถเสนอราคาประมูลได้ต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ อย่างแน่นอน"
ขณะนี้เอ็กโกมีเงินสดอยู่ในมือ 6,048 ล้านบาท มีกระแสเงินสด 2,969 ล้านบาท หากไม่เพียงพอก็สามารถดำเนินการกู้เงินจากสถาบันการเงินได้โดยไม่กระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัท เพราะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก คือ 0.96 เท่า จึงยังมีเครดิตที่จะขอกู้เงินจากสถาบันการเงินได้อีก
สำหรับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ก็สนใจเข้าร่วมประมูลไอพีพีรอบนี้เช่นกัน ปัจจุบันไทยออยล์ก็ทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าไอพีพีอยู่แล้ว จากการเข้าไปถือหุ้นอยู่ในโรงไฟฟ้า 2 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าของบริษัทไทยออยล์เพาเวอร์ (พีที) ในสัดส่วน 56% และบริษัทผลิตไฟฟ้าอิสระ (ไอพีที) ในสัดส่วน 80%
ก่อนหน้านี้ วิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า ไทยออยล์มีแผนจะเข้าร่วมประมูลเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 700-1,400 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
โดยได้เตรียมพื้นที่ไว้แล้วกว่า 90 ไร่ เพียงพอสำหรับสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกะวัตต์ ถึง 2 โรง
ไทยออยล์ยังมีข้อได้เปรียบในด้านระบบสาธารณูปโภคอื่นๆ เช่น ท่อส่งน้ำดิบ ท่อก๊าซธรรมชาติ และระบบเชื้อเพลิงสำรอง เพราะตั้งอยู่ใกล้โรงกลั่น ซึ่งเป็นแหล่งเชื้อเพลิงสำรอง (น้ำมันดีเซล) ทำให้มีต้นทุนถูกกว่า
โกลว์-เหมราชผนึก 2 โรงชิงดำ
ข้ามมาฟากบริษัทข้ามชาติอย่างโกลว์ พลังงาน ที่มี สุเอช บริษัทแม่จากฝรั่งเศสเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็สนใจจะเข้าร่วมประมูลไอพีพีในรอบนี้ โดยร่วมกับเหมราช โดย "สุทธิวงศ์ คงสิริ" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน กล่าวว่า โกลว์รอมานานมากที่จะเข้าร่วมประมูลไอพีพี
"โกลว์ศึกษาโครงการนี้ไว้แล้ว เรามีหลายทางเลือกทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าถ่านหิน ซึ่งทั้ง 2 ประเภท โกลว์เองมีความเชี่ยวชาญ และยังมีสุเอช บริษัทแม่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าให้ความช่วยเหลือ มั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน"
สำหรับพื้นที่โรงไฟฟ้า ได้เตรียมไว้ 2 แห่ง สำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ จะตั้งอยู่ในพื้นที่ของเหมราช บริเวณภาคตะวันออก ขนาด 700 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 16,000 ล้านบาท ส่วนโรงไฟฟ้าถ่านหินก็มีพื้นที่แล้วเช่นเดียวกัน โดยจะอยู่ในบริเวณโรงไฟฟ้าเดิมในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ขนาดโครงการ 700 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 40,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าถ่านหินนี้ โกลว์มีความพร้อมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภค เช่น ท่าเรือขนส่งถ่านหิน สะพานขนส่งถ่านหิน รวมไปถึงปริมาณถ่านหินที่มีเพียงพออย่างแน่นอน เพราะจะนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการทำสัญญากันไว้แล้ว
ในส่วนของเงินลงทุนเอง ถือว่าโกลว์ ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ารายอื่นๆ เพราะมีเงินสดมากถึง 3,352 ล้านบาท อีกทั้งยังมีเงินทุนในส่วนของเหมราชเข้ามาช่วยอีกทาง
ไออาร์พีซีขอแจมส่งโรงถ่านหินเข้าประมูล
รายสุดท้าย คือ บริษัทไออาร์พีซี สนใจเข้าร่วมประมูลไอพีพีเช่นกัน โดยเตรียมพื้นที่สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินไว้ถึง 2 ยูนิตๆ ละ 800 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ของบริษัทที่ จ.ระยอง ซึ่งยังมีพื้นที่เหลืออยู่กว่า 6,000 ไร่
ดร.ปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไออาร์พีซี กล่าวว่า แม้เวลาจะกระชั้นชิดเพราะเหลือเพียงอีก 4 เดือนให้เตรียมตัว แต่ก็ยังพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลไอพีพี "เราคงไม่ส่งโรงก๊าซธรรมชาติเข้าร่วมประมูล เพราะคงสู้รายอื่นๆ ไม่ได้ ผมคิดว่าจะส่งโรงถ่านหินเข้าร่วมทั้ง 2 ยูนิต ซึ่งมั่นใจว่าจะได้เปรียบคนอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า ซึ่งมีพื้นที่กว่า 6,000 ไร่ และไม่ได้อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จึงไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม เนื่องจากรอบๆ ตัวโรงไฟฟ้ารัศมี 3 กิโลเมตร ก็คือโรงงานของไออาร์พีซีทั้งหมด ไม่มีชุมชน"
เขายังกล่าวอีกว่า นอกจากความได้เปรียบในเรื่องของพื้นที่แล้ว ไออาร์พีซียังมีระบบสาธารณูปโภครองรับ ท่าเรือที่มีอยู่ก็เป็นของบริษัท รวมทั้งบริษัทจะลงทุนเพิ่มในเรื่องของเทคโนโลยีเพื่อลดปัญหามลภาวะเป็นพิษ
เขามั่นใจว่า ไออาร์พีซีจะต้องเป็นหนึ่งในบริษัทที่ชนะการประมูล เพราะจากความได้ปรียบต่างๆ ที่มีอยู่ น่าจะทำให้บริษัทมีความได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่า "ถ้าไออาร์พีซีเกิดโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่ได้ โรงไฟฟ้าถ่านหินอื่นๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน"
Bizweek - วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2550
ที่ว่าประมูล โรงไฟฟ้า กันเนี่ย...
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 24, 2007 9:56 am
โดย สุมาอี้
tummeng เขียน:
ขณะที่บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) แหยงที่จะร่วมประมูล ชิงประกาศถอนตัวไปก่อนหน้า โดยอ้างถึงการแข่งขันที่ดุเดือด พิจารณาจากจำนวนรายที่ประกาศตัวเข้าประมูล จากการประมูลไอพีพีรอบนี้ อั้นมานาน เพราะห่างจากการประมูลครั้งแรกนานถึง 10 ปี ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ยังผลักดันให้ภาคเอกชนดิ้นรับงานประมูล
ผู้บริหารบ้านปูจึงเชื่อว่าผลตอบแทนการลงทุน หรือ IRR ของไอพีพีรอบนี้ จะไม่จูงใจเพียงพอเมื่อเทียบกับการลงทุนในต่างประเทศซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และยังเป็นนโยบายของบ้านปูในการลุยลงทุนในต่างประเทศเหมืองถ่านหิน และโรงไฟฟ้าหน้าเหมือง
โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเข้าร่วมทุนในอีกหลายโปรเจค
ประกอบกับการที่บ้านปูชนะการประมูลผลิตไฟฟ้าโครงการหงสา-ลิกไนต์ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ส.ป.ป.ลาว) ซึ่งขับเคี่ยวมากับบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) มาโดยตลอด
โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 1,800 เมกะวัตต์ มูลค่าการลงทุนราว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท (35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.โดยมีรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยานไปแล้ว
หากคำนวณผลตอบแทนการลงทุนแล้ว ถือว่าสูงกว่าโครงการไอพีพีรอบนี้ ที่อย่างเก่งบ้านปูอาจจะชนะประมูลเพียง 700 เมกะวัตต์ เท่านั้น
this guy is so bright.
