หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ปรัชญาความรวย: ทรัพย์คืออะไร ?

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 18, 2007 8:12 am
โดย bsk(มหาชน)
ปรัชญาความรวย: ทรัพย์คืออะไร ?

ไชยันต์ ไชยพร
4 มิถุนายน พ.ศ. 2550
กรุงเทพธุรกิจ :

การจะตอบคำถามดังกล่าว น่าจะต้องอาศัยความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ และหลายคนเชื่อว่า วิชาเศรษฐศาสตร์เป็นศาสตร์สมัยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนี้ องค์ความรู้เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ที่มีการวิเคราะห์ที่เป็นวิทยาศาสตร์และมีมิติของประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบก็น่าจะเกิดขึ้นครั้งแรกในหนังสืออันยิ่งใหญ่ของอดัม สมิธที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก นั่นคือ An Inquiry Into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หรือที่รู้จักกันในชื่อสั้นๆว่า The Wealth of Nations

นักวิชาการทั้งหลายส่วนใหญ่พากันลงความเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินในโลกยุคโบราณ ไม่ถือว่าเป็นองค์ความรู้เศรษฐศาสตร์ที่ถูกต้องแท้จริง อย่างไรก็ตาม ความคิดโบราณอาจจะล้าสมัยไม่เข้ากับบริบท แต่กระนั้น ก็น่าจะพิจารณาข้อเขียนในสัยกรีกโบราณชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า Oeconomicus ของเซโนฟอน (Xenophon)  Oeconomicus หรือถ้าจะแปลความก็น่าจะได้ความว่า การจัดการครัวเรือน---หรืออีกนัยหนึ่งคือ การดูแลจัดการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์-ทรัพย์สินและความเป็นอยู่ของครอบครัว แต่ก็มีประเด็นที่น่าพิจารณาประเมินคุณค่า เซโนฟอนเห็นว่าเป้าหมายของ oeconomicus คือการจัดการทรัพย์สินที่ดี นั่นคือ สามารถจัดการทรัพย์สินครัวเรือนของตนได้ดี

Oeconomicus ชี้ให้เห็นว่า ก่อนอื่น ในการเริ่มทำความเข้าใจในศิลปะวิทยาการว่าด้วยเรื่อง ทรัพย์สิน สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อนอื่นก็คือ เราต้องรู้เสียก่อนว่าทรัพย์สินคืออะไร ? Oeconomicus ได้ตั้งประเด็นขึ้นว่า oikos ของคนๆหนึ่งว่าหมายถึง อะไรก็ตามที่คนๆหนึ่ง มี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แม้ในเมืองอื่นก็ตาม ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของ oikos ของเขา ขณะเดียวกัน เมื่อทรัพย์สินถูกนิยามไว้อย่างกว้างๆ ว่าคือ อะไรก็ตามที่คนๆหนึ่ง มี ก็ดูจะก่อให้เกิดข้อสงสัยอย่างหนึ่งตามมาว่า นิยามนี้ถูกต้องเหมาะสมเพียงใด กล่าวคือ จริงหรือที่อะไรก็ตามที่คนๆหนึ่ง มี ควรถูกถือว่าเป็นทรัพย์สินของคนๆนั้นทั้งหมด?

ถ้าเช่นนั้น ศัตรูที่เรา มี ถือว่าเป็นทรัพย์สินของเราด้วย !

จากข้อความดังกล่าว ในทางหนึ่ง อาจเป็นไปได้ที่เซโนฟอนเขียนให้เราได้คิดเล่นๆ แม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องน่าขันก็ตาม นั่นคือ ปรกติตามสามัญสำนึกของเรา บางสิ่งบางอย่างที่คนๆ หนึ่ง มี เช่น ศัตรู ไม่ควรจะถูกนับรวมให้อยู่ในความหมายของ ทรัพย์สิน แต่ถ้าเราลองยึดนิยามของ ทรัพย์สิน ที่ปรากฏข้างต้นต่อกรณี การมีศัตรู ของเรา มันย่อมนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า ศัตรูที่เรามีอยู่ก็ต้องถือเป็นทรัพย์สินของเราด้วย

ซึ่งจะว่าไปแล้ว ถ้าเชื่อมโยงกับ ศาสตร์แห่งการจัดการทรัพย์สิน และ ผู้รู้ในศาสตร์ ที่สามารถใช้ความรู้ของเขารับจ้างดูแลทรัพย์สินของคนอื่นให้พอกพูนมากขึ้น มันก็จะได้ความว่า เขาผู้นั้นจะได้รับค่าจ้าง ในการเพิ่มจำนวน ศัตรู ให้กับคนๆหนึ่งที่จ้างเขามาดูแล oikos ของเขาคนนั้น ซึ่งฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าประหลาดแกมขบขันอย่างยิ่ง เพราะโดยปรกติ ศัตรูของคนๆหนึ่งย่อมให้โทษมากกว่าให้คุณแก่เขาคนนั้น

แต่กระนั้น ปัญหาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความคิดความเชื่อตามนิยามที่ว่า สิ่งต่างๆที่คนๆหนึ่ง มี ย่อมจะต้องเป็น ทรัพย์ ของคนๆนั้นเสมอไป แต่ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าเราเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปเสียหน่อยว่า ไม่ใช่ว่าอะไรที่คนๆหนึ่ง มี จะเป็น ทรัพย์ สำหรับเขาเสียทุกอย่างเสมอไป โดยสิ่งที่จะถือว่าเป็นทรัพย์ได้ จะต้องเป็นสิ่งที่ให้ผลประโยชน์ (profitable) แก่ผู้ที่ครอบครองสิ่งนั้น ส่วนอะไรที่ให้ผลร้ายเป็นอันตรายต่อผู้ครอบครอง ย่อมไม่อาจถือว่าเป็น ทรัพย์ แต่มันน่าจะเป็นความเสียหายมากกว่าจะเป็นความโภคทรัพย์ จากตัวอย่างที่ว่า ชายคนหนึ่งซื้อม้ามาตัวหนึ่ง แต่ขี่ไม่เป็น ตกม้าบาดเจ็บอยู่ตลอดเวลาจากการพยายามที่จะขี่มัน ดังนั้น ม้าย่อมไม่ใช่โภคทรัพย์สำหรับเขา

ด้วยเหตุผลและวิธีคิดดังกล่าวนี้เอง เมื่อนำมาปรับใช้ในกรณีของที่ดิน ซึ่งเป็นสิ่งที่โดยปรกติคนทั่วไปทุกหนแห่งย่อมเข้าใจและยืนยันอย่างแน่นนอนมั่นใจว่าเป็นทรัพย์สินหรืออสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้าเรามองทรัพย์สินตามนัยความหมายนิยามที่พัฒนามาจากข้อเขียนของเซโนฟอนได้ถึงขณะนี้ จะพบว่า ที่ดินย่อมไม่ใช่โภคทรัพย์ (wealth) สำหรับคนที่ไม่สามารถทำให้มันเกิดผล ที่ดินย่อมไม่ใช่โภคทรัพย์ ถ้ามันทำให้เราอดอยาก หรือกลับให้ผลเสียแก่เรา แทนที่จะให้ผลเรา ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า อะไรที่คนๆหนึ่งมี และให้ผลให้คุณ คือ โภคทรัพย์ ส่วนอะไรที่คนๆหนึ่งมี แต่ให้ผลเสียเป็นอันตราย ไม่ใช่โภคทรัพย์

จากที่กล่าวมานี้ ถ้าพิจารณาจากผู้คนทั่วไป เราย่อมทราบว่า คนเรามีความแตกต่างกัน มีความรู้ความสามารถต่างกัน และมีอะไรๆอีกหลายๆอย่างที่ต่างกันมากมาย และด้วยเหตุนี้เองที่ สิ่งหนึ่งๆจึงสามารถเป็นและไม่เป็นโภคทรัพย์ได้ ขึ้นอยู่กับว่า ใครสามารถที่จะมีความรู้ความเข้าใจที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น ในกรณีของเครื่องดนตรี เช่น ฟลูท (flute) คนที่เป่าเป็น ฟลูทก็ย่อมถือเป็นโภคทรัพย์สำหรับเขา ถ้าไม่เป็น ก็ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์

ต่อประเด็นดังกล่าวนี้ ข้อเสนอข้อหนึ่งใน Oeconomicus ได้ชี้ให้เห็นทางออกสำหรับปัญหานี้-คือ ปัญหาที่ว่าเราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งของที่เรามี-ย่อมแก้ไขได้โดย การขาย นั่นคือ สำหรับคนที่ใช้อะไรไม่เป็น อย่างน้อย ถ้ามันเป็นสิ่งที่สามารถนำไปขายได้ ก็น่าจะยังคงเป็นประโยชน์อยู่ดี นั่นคือ สิ่งของต่างๆที่คนๆหนึ่งมี แม้ว่าจะใช้ประโยชน์จากตัวมันโดยตรงไม่ได้ แต่ถ้าขายได้ สิ่งนั้นก็น่าจะเป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการซื้อขาย ด้วยเหตุนี้ จึงได้ข้อสรุปที่ว่า หากใช้ไม่เป็น ไม่เป็นไร แต่ถ้าสิ่งนั้นนำไปขายได้ สิ่งนั้นก็ถือว่าเป็นโภคทรัพย์ได้อยู่ดี

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ของที่แต่ละคน มี อยู่ ย่อมเป็นประโยชน์เสมอ ถ้าสามารถนำมาขายหรือพยายามขายให้ได้ นั่นคือ พยายามทำให้มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าหรือเป็นที่ต้องการในสังคมขึ้นมา หรือถ้ากล่าวในสำนวนสมัยใหม่ก็คือ แปลงสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ (สำหรับผู้ครอบครอง) ให้เป็นสิ่งที่ขายได้-สินทรัพย์-และแปลงสินทรัพย์ดังกล่าวให้เป็นทุน นั่นเอง

ขณะเดียวกัน มีข้อน่าสังเกตอย่างยิ่งจากสิ่งที่กล่าวไปแล้วที่ว่า สำหรับคนที่ใช้อะไรไม่เป็น อย่างน้อย ถ้ามันเป็นสิ่งที่นำไปขายได้ ก็น่าจะยังคงเป็นประโยชน์อยู่ดี จากข้อความดังกล่าวนี้ นอกจากจะบ่งชี้ในสิ่งที่กล่าวไปในย่อหน้าก่อนนี้แล้ว ยังบ่งบอกถึงสิ่งที่เป็นที่ปรารถนาร่วมกันสำหรับคนทุกคนในสังคม นั่นคือ เงิน และด้วยอานุภาพของเงินนี่เองที่ทำให้เกิดกระบวน แปลงสิ่งที่ไม่ได้มีไว้ขาย ให้กลายเป็นสินทรัพย์สำหรับขายเพื่อให้ได้เงินกลับมา และเงินได้กลายเป็นทรัพย์สินที่เป็นทุนสำคัญ และสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง

ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า สรรพสิ่งต่างๆที่แต่ละคน มี ถือเป็นทุนได้เสมอ ตราบเท่าที่นำไปขายได้ แม้เขาผู้นั้นจะไม่รู้วิธีที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ ก็ถือว่ามันมีประโยชน์ต่อการครอบครอง กระนั้นในงานของเซโนฟอนก็ได้ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า แต่ก็ใช่ว่า ทุกคนจะรู้วิธีที่จะขายของ ดังนั้น ประเด็นสำคัญอีกประเด็นคือ ความรู้ในการขายของ หรือรู้จักที่จะขาย

นัยความหมายของการรู้ที่จะขายก็คือ รู้ว่าจะขายหรือแลกของที่มีอยู่เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เขา เพราะถ้าขายของไป หรือแลกของไปกับสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าจะใช้มันให้เกิดประโยชน์อะไร การขายนั้นก็หาได้แปรเปลี่ยนสิ่งของนั้นให้กลายเป็นโภคทรัพย์ (wealth) ได้ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ เงิน คือสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ครอบครองหรือไม่ ? แค่ไหนอย่างไร ?

คนทั่วไปทั้งในสมัยกรีกโบราณและในปัจจุบันที่อยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่มีการใช้เงินตราแลกเปลี่ยน (cash economy) ย่อมสงสัยว่า จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะขายของไปแล้ว ไม่ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์กลับมา เพราะอย่างน้อยก็ได้ เงิน และ จะมีหรือ ? คนที่ใช้เงินไม่เป็น ? นอกเสียจากว่า การใช้เงินเป็นจะแตกต่างจากการใช้เงินซื้อของเป็นและการใช้เงินให้เป็นประโยชน์

เซโนฟอนเขียนต่อไปว่า ที่ผ่านมา ท่านก็เห็นด้วยไม่ใช่หรือว่าโภคทรัพย์ คือ อะไรก็ตามที่เราสามารถจะได้ประโยชน์จากมัน (profit) โดยเขายกตัวอย่างขึ้นมาว่า ถ้าใครคนหนึ่ง ใช้เงินซื้อบริการจากหญิงงามเมือง ที่ทำให้เขาต้องเสียสุขภาพร่างกาย----จิตใจและทรัพย์ เงินที่ใช้ไปจะถือว่าเป็น สิ่งที่ให้ประโยชน์ (profitable) ได้อย่างไร ? และสำหรับในประเด็นเรื่องเงินนี้ เซโนฟอนเขียนย้ำว่า เงินจะต้องถูกเก็บไว้ห่างๆคนที่ไม่รู้จักใช้มัน และไม่ควรจะถูกจัดว่าเป็นโภคทรัพย์ (wealth) เนื่องจากในระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา (cash economy) เงินสามารถเป็นตัวกลางที่ใช้แลกซื้อสิ่งต่างๆได้เกือบทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์แก่ผู้ซื้อ แถมยังให้โทษได้อีกด้วย เงินและสิ่งต่างๆจะเป็นโภคทรัพย์ก็ต่อเมื่อมันให้ประโยชน์ต่อเรา เฉกเช่นเดียวกับ มิตร ถ้าเราสามารถใช้ประโยชน์จากเขาได้ ก็ถือว่าเป็นโภคทรัพย์ และฝูงวัวควายสามารถเป็นโภคทรัพย์มากกว่ามิตร หากฝูงวัวควายมีประโยชน์มากกว่า

เงินจะต้องถูกเก็บไว้ห่างๆคนที่ไม่รู้จักใช้มัน และไม่ควรจะถูกจัดว่าเป็นโภคทรัพย์ (wealth) หรือ เงิน เป็นสิ่งที่ให้โทษมากกว่าให้คุณเป็นทรรศนะที่นอกจากจะปรากฏชัดเจนในงานของเซโนฟอนแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นแห่งวิวาทะระหว่างภูมิปัญญาโบราณและภูมิปัญญาสมัยใหม่ จาก Xenophons Oeconomicus ถึง An Inquiry Into the Nature and Causes of the Wealth of Nations ของ Adam Smith และ Capital ของมาร์กซ์ ในศตวรรษที่สิบแปด