ย้อนยุทธ์ตอนที่ 2 เขย่าตลาดด้วยความง่ายกว่า
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 16, 2007 8:45 pm
ย้อนยุทธ์ตอนนี้สำหรับ VI ทุกท่านที่มีบัตรเครดิต โดยเฉพาะบัตรจากธนาคารต่างชาติแห่งหนึ่ง ให้รู้ที่มาว่าบริษัทฯ มองเห็นโอกาสในตลาดไทยอย่างไรและวางแผนบุกเบิกจนมาแรงแซงโค้งรุ่นก่อนๆได้อย่างไร ขณะนี้เป็นเวลา สองทุ่มเศษ กูรูพิมพ์ไปบนเสียงเพลงเพราะๆจากสถานีวิทยุแจ๊สแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังเปิดเพลงยุค Nostalgia อยู่พอดี สลับกับเสียงฟ้าข้างนอกร้องครืนๆ เชิญสบายอกสบายใจอ่านได้เลยครับ
ตอนที่ 2 เขย่าตลาดด้วยความง่ายกว่า
ชีวิตสมัยใหม่ช่างมีเงินจับจ่ายง่ายดายเหลือเกินนะครับ ไม่มีเงินธนบัตรจริงก็สามารถใช้เงินจากบัตรพลาสติกได้ แถมยังได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลมีเครดิตเสียอีก ซ้ำยังได้รับอภิสิทธิ์อื่นๆอีกมากมาย เช่น ได้รับส่วน ลดพิเศษเมื่อช้อปปิ้งตามร้านค้าต่างๆ ใช้ผ่อนซื้อสินค้าดอกเบี้ย 0 % รูดปรื๊ด รูดปรื๊ด สะสมคะแนนรับแลกของรางวัล เป็นต้น บัตรเครดิต เป็นธุรกิจอีกประเภทที่สามารถขยายตัวได้ไม่สิ้นสุด คนหนึ่งคนสามารถถือบัตร ได้ไม่จำกัดจำนวน แถมบางท่านยังใช้ประโยชน์ในการบริหารหมุนเงินส่วนตัวได้อย่างเยี่ยมยอดอีกด้วย
สำหรับกูรูของสนามเอง เห็นความจำเป็นของการมีบัตรเครดิตครั้งแรก เมื่อครั้งที่คุณพ่อเพื่อนเสียชีวิตกระทันหันในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อนของกูรูไม่สามารถเอาร่างคุณพ่อออกมาได้เพราะมีเงินสดไม่พอ อีกทั้งช่วงนั้นก็เป็นวันหยุดยาวประจำสัปดาห์ กว่าจะรอธนาคารเปิดทำการก็อีก 3 วันข้างหน้า (สมัยนั้นยังไม่มีบริการธนาคารนอกเวลาอย่างทุกวันนี้) เพื่อนโทรศัพท์รบกวนขอความช่วยเหลือ กูรูเองก็ต้องไปขอให้ญาติผู้ใหญ่มาช่วยชำระค่าใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตที ( เพราะกูรูเองก็ไม่มีบัตร) กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการเอาร่างคุณพ่อเพื่อนออกมาประกอบฌาปนกิจศพก็ใช้เวลาพอสมควร จึงเห็นประโยชน์ในการใช้บัตรเครดิตเมื่อยามฉุกละหุกเช่นนี้
ย้อนมองกลับไป ในสมัยที่บัตรเครดิตเป็นสิ่งที่ไกลสุดเอื้อม ผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถครอบครองบัตรต้องถูกคัดสรรจริงๆ แถมยังแบ่งชนชั้นเครดิตว่าถือบัตรเงิน บัตรทอง หรือให้สูงสถานะขึ้นไปอีกก็คือบัตรอเมริกันเอ็กซเพรส บัตรไดเนอร์สคลับ แต่ละบัตรจะมีอภิสิทธิ์ลดหลั่งกันไป การขอสมัครบัตรแต่ละใบ ก็ต้องส่งหลักฐานการเงินมากมายกว่าจะผ่านขั้นตอนการอนุมัติ ใช้เวลานับเดือนจนเราลืมไปเลย ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราเห็นผู้ถือบัตรบางคนภาคภูมิใจนักหนากับความเป็นคนมีระดับของตัวเอง เขาหรือเธอเหล่านั้นก็มักจะอวดบัตรโชว์ให้เห็นอย่างไม่ตั้งใจ( จริงๆตั้งใจครับ)
ธนาคารต่างชาติอันดับหนึ่งในบ้านเรา มองเห็นช่องว่างตลาดบัตรเครดิตของคนไทยที่ยังสามารถขยายตัวได้อีกมหาศาล เตรียมแผนจะออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินตัวใหม่คือบัตรเครดิต C ออกมา แต่จะทำอย่างไรดีเล่าให้แตกต่างจากบัตรพลาสติกรายอื่นๆซึ่งออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว นี่คือโจทย์สำหรับทีมงานการตลาดต้องหนุนหมอนนอนขบคิด
ทีมทำงานออกเดินเท้าทำวิจัย สำรวจผู้ที่ยังไม่ได้ถือหรือไม่คิดจะถือบัตรเครดิต ก็ได้รับคำตอบว่า ขั้นตอนการสมัครแสนยุ่งยาก ต้องมีหลักฐานการเงินน่าเชื่อถือ ต้องมีเงินก้อนฝากในบัญชี ต้องมีผู้ค้ำประกัน และสารพัดต้องทั้งหลายที่ตัดหนทางการสมัครเป็นสมาชิก (บางทีอาจจะเป็นความหวังดีที่ไม่อยากให้ผู้บริโภคเป็นหนี้ในอนาคตมากเกินไปก็ได้ครับ ) ทุกคนไม่มีข้อกังขาเรื่องประโยชน์หรือวิธีการใช้บัตรเลย เพราะบัตรเครดิตจ้าวต่างๆที่อยู่ในตลาดก่อนหน้าได้ให้ความรู้และการศึกษาอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
ทีมงานสุมหัวสรุปพฤติกรรมดังกล่าว อย่างนี้เขาเรียกว่า Desire is heated but Underserved ไฟปรารถนาถูกจุดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่มีสินค้าหรือบริการมารองรับ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็คงจะดับม้วยมอดและจุดติดยาก ฉะนั้น กลวิธีที่จะนำเสนอบัตรเครดิตตัวใหม่ ก็คือ ลดข้อจำกัดการสมัครให้น้อยลง หรือพูดอีกด้าน เขย่าตลาดบัตรเครดิตด้วยการทำทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้ ( Make it Easy to All ) แน่นอนครับ การมาทีหลังอาจจะเสียเปรียบเรื่องการยอมรับ แต่ก็ได้เปรียบด้วยสามารถเปรียบเทียบจุดอ่อน จุดแข็งและบทเรียนความสำเร็จ ล้มเหลวของผู้ที่อยู่ในตลาดมาก่อน บัตรเครดิต C จึงเตรียมกลยุทธความง่าย โดนใจดังนี้
ง่ายต่อการเข้าถึง ( Easy to Access)
แต่ไหนแต่ไร ลูกค้าท่านใดจะสมัครบัตรเครดิตต้องเดินเข้าไปสถาบันการเงินแห่งนั้น รอพบพนักงานผู้น่าเกรงขามและกรอกรายละเอียด บางครั้งก็ต้องถูกตรวจสอบทางสายตาและซักถามด้วยวาจา ลูกค้าบางท่านจึงไม่ทำธุรกรรมอะไรที่แบ็งก์นอกจากฝากเงิน (ส่วนถอนเงิน ใช้ ATM อยู่แล้วครับ) ทีมงานจึงสวนวิถีปฎิบัติแทนที่จะให้ลูกค้าเดินเข้ามาหา ก็ออกไปเชื้อเชิญลูกค้านอกสถานที่ตามแหล่งชุมชนสำนักงาน โปรยใบสมัครไปทั่วเหมือนแจกใบปลิวโฆษณา ทำให้ดูว่า การสมัครบัตรเครดิต C ช่างง่ายดาย ไม่ใช่เรื่องพิเศษที่ต้องสงวนสิทธิ์เฉพาะคนกลุ่มน้อยอีกต่อไป ( วิธีนี้ทำให้บรรดาคู่แข่งขวางๆอยู่สักหน่อย เพราะไปลดระดับชนชั้นบัตรเครดิตให้โก้น้อยลง) หรือจะหยิบใบสมัครจากกล่อง Take One Box ซึ่งจะวางบนเคาน์เตอร์ทุกแห่งที่สามารถวางได้ แม้แต่ในลิฟท์ตามตึกหรือทางเข้าที่จอดรถ ถ้าเจ้าของสถานที่อนุญาต
ง่ายต่อการอนุมัติ ( Easy to Get Approval)
ตัดเรื่องยุ่งยากของหลักฐานการเงินทั้งหลายออกไป ระบุการแนบเอกสารต่างๆเท่าที่จำเป็น เช่น ใบรับรองเงินเดือนหรือบัญชีแสดงสถานะเงินเดือนย้อนหลัง ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ไม่ต้องมีวงเงินฝากอยู่กับสถาบันการเงินต้นสังกัด ไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมแรกเข้า หนักไปกว่านั้นก็คือไม่ต้องชำระค่าสมาชิกรายปีตลอดชีพ...ว้าว (อย่างหลังนี้ชอบมากๆเลยครับ)
ที่สำคัญเป็นครั้งแรกที่ธุรกิจบัตรเครดิตเอื้อมแตะกลุ่มลูกค้าที่ถูกหมางเมินจากสถาบันการเงินทั่วไป นั่นก็คือ เหล่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ ซึ่งมักจะถูกประเมินว่ามีรายได้ไม่เข้าเกณฑ์ แต่หารู้ไม่ว่าคนกลุ่มนี้มีความมั่นคงทางหน้าที่การงานมากกว่าเอกชนนัก ฉะนั้นหากท่านใดเป็นข้าราชการระดับ C 4 ขึ้นไป ไม่แปลกใจเลยครับที่จู่ๆก็มีจดหมายเชื้อเชิญปูพรมแดงให้สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิต C อย่างไร้เงื่อนไข
เมื่อใบสมัครพร้อมหลักฐานครบ ขั้นตอนอนุมัติก็จะจบลงโดยเร็ว รับประกัน ภายใน 1 สัปดาห์ หรือเร็วกว่านั้นในกรณีพิเศษ เช่น เจ้าของบัตรต้องเดินทางไปต่างประเทศเร่งด่วน
ง่ายต่อการบริหารเครดิต ( Easy to Manage Revolving Credit)
ข้อได้เปรียบของการเป็นเครือข่ายสถาบันการเงินต่างประเทศก็คือ ได้รับการถ่ายทอดและเรียนรู้ข้อเสนอ บริการใหม่ๆที่เป็นสากล เช่นเดียวกัน เรื่อง Revolving Credit หรือเครดิตหมุนเวียน ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในเงื่อนไขการชำระเงินในระบบบัตรเครดิตมาก่อน นั่นก็คือ ผู้ใช้บัตรสามารถชำระเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นผ่านบัตรเครดิตได้ขั้นต่ำเพียง 10% เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็สมทบยอดไปกับค่าใช้จ่ายในงวดต่อไป ( อย่าลืมต้องคำนวณดอกเบี้ยด้วยนะครับ) บัตรเครดิตคู่แข่งไม่เคยมีข้อเสนอพิเศษนี้หยิบยื่นให้ แต่ประการใด แต่ก็ได้เสนอตามติดๆมาภายหลัง และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันว่า บัตรเครดิตคิดดอกเบี้ยขูดซิบๆเกินไปหรือไม่
ข้อกังวลใจประการหนึ่งที่น่าหวาดหวั่นก็คือ ความง่ายจะกลายเป็นมักง่ายไปหรือไม่ ด้วยเป้าหมายการตลาดที่ต้องการคว้าแชมป์บัตรเครดิตอันดับหนึ่งให้ได้ นั่นหมายถึงบริษัทจะต้องกว้านหาลูกค้าจำนวนมหาศาล ซึ่งอาจ จะมีความสามารถในการชำระเงินคืนครบบ้าง หย่อนบ้าง อันนำไปสู่ความล่าช้าหรือหนี้สูญ (โดยเฉพาะจากเงื่อนไข การชำระขั้นต่ำในระบบเครดิตหมุนเวียน) บริษัทจะทำอย่างไรหากกองหนี้สูงท่วมหัว คำตอบที่ได้รับก็คือ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เรามีทีมงานที่ติดตามหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งจะผ่านการอบรมถ่ายทอดประสบการณ์อย่างเข้มงวด มาถึงทุกวันนี้ ทุกคนก็คงประจักษ์แล้วนะครับว่า ทีมงานติดตามหนี้ของบัตรเครดิต C จ้าวนี้เข้มแข็งแค่ไหน..บรื๋อ..
หลังจากแนะนำตัวเองสู่ตลาดไปแล้ว พร้อมพรั่งด้วยแผนงานการตลาดที่หว่านทั่ว บัตรเครดิต C ก็พาตัวเองไปถึงดวงดาวจนได้ในที่สุด ด้วยสโลแกนที่เกทับนิดๆ ไมใช่แค่วีซ่าธรรมดา
เห็นมั้ยครับ ถึงจะมาทีหลัง แต่ทำให้แตกต่าง ทำให้ง่ายขึ้น ก็แซงหน้ารุ่นพี่ๆได้
จากวันนั้นถึงวันนี้ บัตรเครดิต C ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการตลาดบัตรเครดิตในประเทศไทย กลยุทธ ทำให้ง่ายเข้าไว้ ได้กลายเป็นวิถีปฎิบัติของบัตรเครดิตทุกจ้าวไปหมดแล้ว ทุกๆที่ทั่วหนแห่ง เราจะเห็นสาวๆชาวพริตตี้การ์ด เดิน ยืน คอยดักผู้สัญจรไปมาจนดูเป็นเรื่องแสนธรรมดาพร้อมข้อเสนอต่างๆมากมาย เช่น ใช้บัตรฟรีตลอดชีพ แถมบัตรเสริม ไม่นับของสมนาคุณที่ประเคนให้ชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ หมดสมัยแล้วครับที่จะปล่อยลูกค้าเดินเข้ามาในออฟฟิคตามยถากรรม และกล่าวเสียงอ่อยๆเกรงใจ ขอสมัครใช้บริการบัตรเครดิต
ส่วนผู้บริโภคเองก็มีโอกาสกว้างขึ้นในการเลือกบัตรเครดิตที่ให้เงื่อนไขตอบแทนดีที่สุด ไม่มีข้อผูกมัดหรือจำกัดเกินไป ขอเพียงแต่รู้จักการใช้บัตรบริหารเครดิตของตัวเองให้เหมาะสม ไม่เกินตัว สวัสดีครับ
ตอนที่ 2 เขย่าตลาดด้วยความง่ายกว่า
ชีวิตสมัยใหม่ช่างมีเงินจับจ่ายง่ายดายเหลือเกินนะครับ ไม่มีเงินธนบัตรจริงก็สามารถใช้เงินจากบัตรพลาสติกได้ แถมยังได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลมีเครดิตเสียอีก ซ้ำยังได้รับอภิสิทธิ์อื่นๆอีกมากมาย เช่น ได้รับส่วน ลดพิเศษเมื่อช้อปปิ้งตามร้านค้าต่างๆ ใช้ผ่อนซื้อสินค้าดอกเบี้ย 0 % รูดปรื๊ด รูดปรื๊ด สะสมคะแนนรับแลกของรางวัล เป็นต้น บัตรเครดิต เป็นธุรกิจอีกประเภทที่สามารถขยายตัวได้ไม่สิ้นสุด คนหนึ่งคนสามารถถือบัตร ได้ไม่จำกัดจำนวน แถมบางท่านยังใช้ประโยชน์ในการบริหารหมุนเงินส่วนตัวได้อย่างเยี่ยมยอดอีกด้วย
สำหรับกูรูของสนามเอง เห็นความจำเป็นของการมีบัตรเครดิตครั้งแรก เมื่อครั้งที่คุณพ่อเพื่อนเสียชีวิตกระทันหันในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อนของกูรูไม่สามารถเอาร่างคุณพ่อออกมาได้เพราะมีเงินสดไม่พอ อีกทั้งช่วงนั้นก็เป็นวันหยุดยาวประจำสัปดาห์ กว่าจะรอธนาคารเปิดทำการก็อีก 3 วันข้างหน้า (สมัยนั้นยังไม่มีบริการธนาคารนอกเวลาอย่างทุกวันนี้) เพื่อนโทรศัพท์รบกวนขอความช่วยเหลือ กูรูเองก็ต้องไปขอให้ญาติผู้ใหญ่มาช่วยชำระค่าใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตที ( เพราะกูรูเองก็ไม่มีบัตร) กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการเอาร่างคุณพ่อเพื่อนออกมาประกอบฌาปนกิจศพก็ใช้เวลาพอสมควร จึงเห็นประโยชน์ในการใช้บัตรเครดิตเมื่อยามฉุกละหุกเช่นนี้
ย้อนมองกลับไป ในสมัยที่บัตรเครดิตเป็นสิ่งที่ไกลสุดเอื้อม ผู้ที่มีคุณสมบัติสามารถครอบครองบัตรต้องถูกคัดสรรจริงๆ แถมยังแบ่งชนชั้นเครดิตว่าถือบัตรเงิน บัตรทอง หรือให้สูงสถานะขึ้นไปอีกก็คือบัตรอเมริกันเอ็กซเพรส บัตรไดเนอร์สคลับ แต่ละบัตรจะมีอภิสิทธิ์ลดหลั่งกันไป การขอสมัครบัตรแต่ละใบ ก็ต้องส่งหลักฐานการเงินมากมายกว่าจะผ่านขั้นตอนการอนุมัติ ใช้เวลานับเดือนจนเราลืมไปเลย ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราเห็นผู้ถือบัตรบางคนภาคภูมิใจนักหนากับความเป็นคนมีระดับของตัวเอง เขาหรือเธอเหล่านั้นก็มักจะอวดบัตรโชว์ให้เห็นอย่างไม่ตั้งใจ( จริงๆตั้งใจครับ)
ธนาคารต่างชาติอันดับหนึ่งในบ้านเรา มองเห็นช่องว่างตลาดบัตรเครดิตของคนไทยที่ยังสามารถขยายตัวได้อีกมหาศาล เตรียมแผนจะออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินตัวใหม่คือบัตรเครดิต C ออกมา แต่จะทำอย่างไรดีเล่าให้แตกต่างจากบัตรพลาสติกรายอื่นๆซึ่งออกมาก่อนหน้านั้นแล้ว นี่คือโจทย์สำหรับทีมงานการตลาดต้องหนุนหมอนนอนขบคิด
ทีมทำงานออกเดินเท้าทำวิจัย สำรวจผู้ที่ยังไม่ได้ถือหรือไม่คิดจะถือบัตรเครดิต ก็ได้รับคำตอบว่า ขั้นตอนการสมัครแสนยุ่งยาก ต้องมีหลักฐานการเงินน่าเชื่อถือ ต้องมีเงินก้อนฝากในบัญชี ต้องมีผู้ค้ำประกัน และสารพัดต้องทั้งหลายที่ตัดหนทางการสมัครเป็นสมาชิก (บางทีอาจจะเป็นความหวังดีที่ไม่อยากให้ผู้บริโภคเป็นหนี้ในอนาคตมากเกินไปก็ได้ครับ ) ทุกคนไม่มีข้อกังขาเรื่องประโยชน์หรือวิธีการใช้บัตรเลย เพราะบัตรเครดิตจ้าวต่างๆที่อยู่ในตลาดก่อนหน้าได้ให้ความรู้และการศึกษาอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
ทีมงานสุมหัวสรุปพฤติกรรมดังกล่าว อย่างนี้เขาเรียกว่า Desire is heated but Underserved ไฟปรารถนาถูกจุดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่มีสินค้าหรือบริการมารองรับ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็คงจะดับม้วยมอดและจุดติดยาก ฉะนั้น กลวิธีที่จะนำเสนอบัตรเครดิตตัวใหม่ ก็คือ ลดข้อจำกัดการสมัครให้น้อยลง หรือพูดอีกด้าน เขย่าตลาดบัตรเครดิตด้วยการทำทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้ ( Make it Easy to All ) แน่นอนครับ การมาทีหลังอาจจะเสียเปรียบเรื่องการยอมรับ แต่ก็ได้เปรียบด้วยสามารถเปรียบเทียบจุดอ่อน จุดแข็งและบทเรียนความสำเร็จ ล้มเหลวของผู้ที่อยู่ในตลาดมาก่อน บัตรเครดิต C จึงเตรียมกลยุทธความง่าย โดนใจดังนี้
ง่ายต่อการเข้าถึง ( Easy to Access)
แต่ไหนแต่ไร ลูกค้าท่านใดจะสมัครบัตรเครดิตต้องเดินเข้าไปสถาบันการเงินแห่งนั้น รอพบพนักงานผู้น่าเกรงขามและกรอกรายละเอียด บางครั้งก็ต้องถูกตรวจสอบทางสายตาและซักถามด้วยวาจา ลูกค้าบางท่านจึงไม่ทำธุรกรรมอะไรที่แบ็งก์นอกจากฝากเงิน (ส่วนถอนเงิน ใช้ ATM อยู่แล้วครับ) ทีมงานจึงสวนวิถีปฎิบัติแทนที่จะให้ลูกค้าเดินเข้ามาหา ก็ออกไปเชื้อเชิญลูกค้านอกสถานที่ตามแหล่งชุมชนสำนักงาน โปรยใบสมัครไปทั่วเหมือนแจกใบปลิวโฆษณา ทำให้ดูว่า การสมัครบัตรเครดิต C ช่างง่ายดาย ไม่ใช่เรื่องพิเศษที่ต้องสงวนสิทธิ์เฉพาะคนกลุ่มน้อยอีกต่อไป ( วิธีนี้ทำให้บรรดาคู่แข่งขวางๆอยู่สักหน่อย เพราะไปลดระดับชนชั้นบัตรเครดิตให้โก้น้อยลง) หรือจะหยิบใบสมัครจากกล่อง Take One Box ซึ่งจะวางบนเคาน์เตอร์ทุกแห่งที่สามารถวางได้ แม้แต่ในลิฟท์ตามตึกหรือทางเข้าที่จอดรถ ถ้าเจ้าของสถานที่อนุญาต
ง่ายต่อการอนุมัติ ( Easy to Get Approval)
ตัดเรื่องยุ่งยากของหลักฐานการเงินทั้งหลายออกไป ระบุการแนบเอกสารต่างๆเท่าที่จำเป็น เช่น ใบรับรองเงินเดือนหรือบัญชีแสดงสถานะเงินเดือนย้อนหลัง ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน ไม่ต้องมีวงเงินฝากอยู่กับสถาบันการเงินต้นสังกัด ไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมแรกเข้า หนักไปกว่านั้นก็คือไม่ต้องชำระค่าสมาชิกรายปีตลอดชีพ...ว้าว (อย่างหลังนี้ชอบมากๆเลยครับ)
ที่สำคัญเป็นครั้งแรกที่ธุรกิจบัตรเครดิตเอื้อมแตะกลุ่มลูกค้าที่ถูกหมางเมินจากสถาบันการเงินทั่วไป นั่นก็คือ เหล่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ ซึ่งมักจะถูกประเมินว่ามีรายได้ไม่เข้าเกณฑ์ แต่หารู้ไม่ว่าคนกลุ่มนี้มีความมั่นคงทางหน้าที่การงานมากกว่าเอกชนนัก ฉะนั้นหากท่านใดเป็นข้าราชการระดับ C 4 ขึ้นไป ไม่แปลกใจเลยครับที่จู่ๆก็มีจดหมายเชื้อเชิญปูพรมแดงให้สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิต C อย่างไร้เงื่อนไข
เมื่อใบสมัครพร้อมหลักฐานครบ ขั้นตอนอนุมัติก็จะจบลงโดยเร็ว รับประกัน ภายใน 1 สัปดาห์ หรือเร็วกว่านั้นในกรณีพิเศษ เช่น เจ้าของบัตรต้องเดินทางไปต่างประเทศเร่งด่วน
ง่ายต่อการบริหารเครดิต ( Easy to Manage Revolving Credit)
ข้อได้เปรียบของการเป็นเครือข่ายสถาบันการเงินต่างประเทศก็คือ ได้รับการถ่ายทอดและเรียนรู้ข้อเสนอ บริการใหม่ๆที่เป็นสากล เช่นเดียวกัน เรื่อง Revolving Credit หรือเครดิตหมุนเวียน ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยปรากฏในเงื่อนไขการชำระเงินในระบบบัตรเครดิตมาก่อน นั่นก็คือ ผู้ใช้บัตรสามารถชำระเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นผ่านบัตรเครดิตได้ขั้นต่ำเพียง 10% เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็สมทบยอดไปกับค่าใช้จ่ายในงวดต่อไป ( อย่าลืมต้องคำนวณดอกเบี้ยด้วยนะครับ) บัตรเครดิตคู่แข่งไม่เคยมีข้อเสนอพิเศษนี้หยิบยื่นให้ แต่ประการใด แต่ก็ได้เสนอตามติดๆมาภายหลัง และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันว่า บัตรเครดิตคิดดอกเบี้ยขูดซิบๆเกินไปหรือไม่
ข้อกังวลใจประการหนึ่งที่น่าหวาดหวั่นก็คือ ความง่ายจะกลายเป็นมักง่ายไปหรือไม่ ด้วยเป้าหมายการตลาดที่ต้องการคว้าแชมป์บัตรเครดิตอันดับหนึ่งให้ได้ นั่นหมายถึงบริษัทจะต้องกว้านหาลูกค้าจำนวนมหาศาล ซึ่งอาจ จะมีความสามารถในการชำระเงินคืนครบบ้าง หย่อนบ้าง อันนำไปสู่ความล่าช้าหรือหนี้สูญ (โดยเฉพาะจากเงื่อนไข การชำระขั้นต่ำในระบบเครดิตหมุนเวียน) บริษัทจะทำอย่างไรหากกองหนี้สูงท่วมหัว คำตอบที่ได้รับก็คือ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ เรามีทีมงานที่ติดตามหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งจะผ่านการอบรมถ่ายทอดประสบการณ์อย่างเข้มงวด มาถึงทุกวันนี้ ทุกคนก็คงประจักษ์แล้วนะครับว่า ทีมงานติดตามหนี้ของบัตรเครดิต C จ้าวนี้เข้มแข็งแค่ไหน..บรื๋อ..
หลังจากแนะนำตัวเองสู่ตลาดไปแล้ว พร้อมพรั่งด้วยแผนงานการตลาดที่หว่านทั่ว บัตรเครดิต C ก็พาตัวเองไปถึงดวงดาวจนได้ในที่สุด ด้วยสโลแกนที่เกทับนิดๆ ไมใช่แค่วีซ่าธรรมดา
เห็นมั้ยครับ ถึงจะมาทีหลัง แต่ทำให้แตกต่าง ทำให้ง่ายขึ้น ก็แซงหน้ารุ่นพี่ๆได้
จากวันนั้นถึงวันนี้ บัตรเครดิต C ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของการตลาดบัตรเครดิตในประเทศไทย กลยุทธ ทำให้ง่ายเข้าไว้ ได้กลายเป็นวิถีปฎิบัติของบัตรเครดิตทุกจ้าวไปหมดแล้ว ทุกๆที่ทั่วหนแห่ง เราจะเห็นสาวๆชาวพริตตี้การ์ด เดิน ยืน คอยดักผู้สัญจรไปมาจนดูเป็นเรื่องแสนธรรมดาพร้อมข้อเสนอต่างๆมากมาย เช่น ใช้บัตรฟรีตลอดชีพ แถมบัตรเสริม ไม่นับของสมนาคุณที่ประเคนให้ชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ หมดสมัยแล้วครับที่จะปล่อยลูกค้าเดินเข้ามาในออฟฟิคตามยถากรรม และกล่าวเสียงอ่อยๆเกรงใจ ขอสมัครใช้บริการบัตรเครดิต
ส่วนผู้บริโภคเองก็มีโอกาสกว้างขึ้นในการเลือกบัตรเครดิตที่ให้เงื่อนไขตอบแทนดีที่สุด ไม่มีข้อผูกมัดหรือจำกัดเกินไป ขอเพียงแต่รู้จักการใช้บัตรบริหารเครดิตของตัวเองให้เหมาะสม ไม่เกินตัว สวัสดีครับ