"ลบสี่สิบบวกร้อย" รหัสลับเล่นหุ้น
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 03, 2007 2:21 pm
"ลบสี่สิบบวกร้อย" รหัสลับเล่นหุ้น
"วิกรม เกษมวุฒิ" นักลงทุนแนวสถิติประยุกต์ เชื่อมั่นว่านักลงทุนสามารถนำประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย มาเป็นไฟส่องทางได้อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรง
จากการเก็บสถิติดัชนีหุ้นไทยในรอบ 31 ปี (30 เม.ย.2518 ถึง 24 พ.ค.2550) ทำให้เขาค้นพบเคล็ดลับว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องซื้อๆ ขายๆ บ่อยครั้ง แต่ให้ใช้หลักลงทุนแบบ "ลบสี่สิบบวกร้อย" เป็นแนวทาง
"ลบสี่สิบบวกร้อย" ในความหมายของวิกรมคือ ถ้าหุ้นลง 40% ถึงจังหวะซื้อยกพอร์ต และถ้าหุ้นขึ้น 100% ถึงเวลาขายให้เกลี้ยงพอร์ต
"อดีตบอกกับเราว่า หากซื้อและขายเพียง 6 ครั้งในรอบ 31 ปีโดยพิจารณาผลตอบแทนจากตลาดรวมเป็นเครื่องมือตัดสินใจ ก็ทำให้เรามีสิทธิรวยได้แล้ว"
วิกรม บอกว่า ในรอบ 31 ปีของตลาดหุ้นไทย มีโอกาสให้นักลงทุนหาจังหวะ "ซื้อ 3 ครั้ง" เท่านั้น คือ ในปี 2522 ,2540 และ 2543 เพราะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนได้ปรับลดลง และ "ขาย 3 ครั้ง" คือ ในปี 2520, 2532 และ 2546 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุด
"เคล็ดลับในการซื้อและขายคือ เมื่อใดที่ผลตอบแทนโดยรวมของตลาดมากกว่า 100% ให้เทขายหมดพอร์ต เช่นในปี 2520 ที่ผลตอบแทนตลาดขึ้นสูงสุด+119.59% ,ปี 2532 +127.34% และปี 2546+116.60% ในทางกลับกันเมื่อผลตอบแทนโดยรวมของตลาดหุ้นลดลงตกต่ำเกินกว่า 40% ให้ซื้อหมดพอร์ต เช่น ช่วงปี 2522 ผลตอบแทนตลาด-42.03% ,ปี 2540 -55.18% และปี 2543 -44.14%"
เจ้าตำรับนักลงทุนสถิติ ให้ข้อสังเกตเพื่อเป็นแนวทางลงทุนในอนาคตด้วยว่า นักลงทุนอาจมีจังหวะขายหุ้นครั้งใหญ่อีกครั้งในปี 2556 เพราะเขาเชื่อว่าปีนั้นตลาดหุ้นจะกลับมา "บูมสุดขีด" อีกครั้ง โดยใช้หลักสถิติเลข 14
"สถิติที่บอกว่าต้องขายหุ้นเมื่อผลตอบแทนตลาดโดยรวมเพิ่มขึ้นเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ 2 ครั้ง ตรงกับครบรอบ 14 ปีพอดี คือในปี 2532 ที่ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 127.34% และครั้งที่ 2 ในปี 2546 ตลาดให้ผลตอบแทน +116.60% ผมมั่นใจว่าปี 2556 จะครบรอบ 14 ปี เป็นครั้งที่ 3 เชื่อว่าหุ้นไทยจะบูมระเบิด ซึ่งเป็นจังหวะขายหุ้นครั้งใหญ่"
14 ปีจะมีหนที่ตลาดหุ้นบูมสุดขีดนั่นคือ สัญญาณบวกของตลาดหุ้น แต่ในเชิงสถิติก็บอก "ลางร้าย" ไว้ด้วย "วิกรม" บอกว่า ตัวเลขเตือนภัยของตลาดหุ้นคือ พี/อี เรโช ที่ 31 เท่า
เมื่อใดก็ตามที่ ค่าพี/อี เรโช ตลาดหุ้นไทย แตะ 31 เท่า เป็นลางบอกว่า หุ้นไทยเข้าสู่เขต "อันตราย" !! "มีสถิติ 2 ครั้งที่ค่าพี/อี เรโช ขึ้นไปถึง 31 เท่า และตลาดหุ้นพังครืนลงมา เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นสูงเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็น"
ครั้งแรกเมื่อปี 2533 ดัชนีหุ้นไทยได้ขึ้นไปสูงสุดที่ 1143.78 จุด เมื่อ 25 กรกฎาคม 2533 จากนั้นปรับตัวลดลงรุนแรงจากเหตุการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 หลังจากอิรักบุกคูเวต
ครั้งที่สอง ดัชนีขึ้นไปสูงสุด 1,753.73 เมื่อ 4 มกราคม 2537 โดยมีค่าพี/อี เรโช 31 เท่า และปรับตัวลงมารุนแรงถึงก้นบึ้งที่ 207 จุดในอีก 4 ปีต่อมาเมื่อ 4 กันยายน 2541 หลังจากเกิดวิกฤติการเงินและลอยตัวค่าเงินบาท"
วิกรม ชี้ว่า เมื่อใดที่ค่าพี/อีเรโช ขึ้นไปแตะ 31 เท่า นั่นคือ สัญญาณอันตรายที่นักลงทุนพึงระวัง
"ตอนนี้หุ้นไทยค่าพีอีอยู่ที่ 10.18 เท่า และผลตอบแทนตลาดโดยรวมอยู่ที่ 5.78% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก ฉะนั้นกลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ จึงควรรอให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมากค่อยซื้อ และขายเมื่อเกิดการแตกตื่นเช่นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่หุ้นตกกว่า 100 จุด"
สถิติบอกว่า หากจะลงทุนในหุ้นไทย อย่าซื้อๆ ขายๆ บ่อย แต่เลือกจังหวะซื้อให้ถูก และลงทุนระยะยาว ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ และหลักการ "ลบสี่สิบบวกร้อยเปอร์เซ็นต์" ก็คือสูตรลัดของ นักลงทุนรุ่นเก๋า "วิกรม เกษมวุฒิ" เซียนสถิติตัวยง
Bizweek - วันศุกร์ที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2550
"วิกรม เกษมวุฒิ" นักลงทุนแนวสถิติประยุกต์ เชื่อมั่นว่านักลงทุนสามารถนำประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย มาเป็นไฟส่องทางได้อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรง
จากการเก็บสถิติดัชนีหุ้นไทยในรอบ 31 ปี (30 เม.ย.2518 ถึง 24 พ.ค.2550) ทำให้เขาค้นพบเคล็ดลับว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไม่จำเป็นต้องซื้อๆ ขายๆ บ่อยครั้ง แต่ให้ใช้หลักลงทุนแบบ "ลบสี่สิบบวกร้อย" เป็นแนวทาง
"ลบสี่สิบบวกร้อย" ในความหมายของวิกรมคือ ถ้าหุ้นลง 40% ถึงจังหวะซื้อยกพอร์ต และถ้าหุ้นขึ้น 100% ถึงเวลาขายให้เกลี้ยงพอร์ต
"อดีตบอกกับเราว่า หากซื้อและขายเพียง 6 ครั้งในรอบ 31 ปีโดยพิจารณาผลตอบแทนจากตลาดรวมเป็นเครื่องมือตัดสินใจ ก็ทำให้เรามีสิทธิรวยได้แล้ว"
วิกรม บอกว่า ในรอบ 31 ปีของตลาดหุ้นไทย มีโอกาสให้นักลงทุนหาจังหวะ "ซื้อ 3 ครั้ง" เท่านั้น คือ ในปี 2522 ,2540 และ 2543 เพราะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนได้ปรับลดลง และ "ขาย 3 ครั้ง" คือ ในปี 2520, 2532 และ 2546 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุด
"เคล็ดลับในการซื้อและขายคือ เมื่อใดที่ผลตอบแทนโดยรวมของตลาดมากกว่า 100% ให้เทขายหมดพอร์ต เช่นในปี 2520 ที่ผลตอบแทนตลาดขึ้นสูงสุด+119.59% ,ปี 2532 +127.34% และปี 2546+116.60% ในทางกลับกันเมื่อผลตอบแทนโดยรวมของตลาดหุ้นลดลงตกต่ำเกินกว่า 40% ให้ซื้อหมดพอร์ต เช่น ช่วงปี 2522 ผลตอบแทนตลาด-42.03% ,ปี 2540 -55.18% และปี 2543 -44.14%"
เจ้าตำรับนักลงทุนสถิติ ให้ข้อสังเกตเพื่อเป็นแนวทางลงทุนในอนาคตด้วยว่า นักลงทุนอาจมีจังหวะขายหุ้นครั้งใหญ่อีกครั้งในปี 2556 เพราะเขาเชื่อว่าปีนั้นตลาดหุ้นจะกลับมา "บูมสุดขีด" อีกครั้ง โดยใช้หลักสถิติเลข 14
"สถิติที่บอกว่าต้องขายหุ้นเมื่อผลตอบแทนตลาดโดยรวมเพิ่มขึ้นเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ 2 ครั้ง ตรงกับครบรอบ 14 ปีพอดี คือในปี 2532 ที่ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 127.34% และครั้งที่ 2 ในปี 2546 ตลาดให้ผลตอบแทน +116.60% ผมมั่นใจว่าปี 2556 จะครบรอบ 14 ปี เป็นครั้งที่ 3 เชื่อว่าหุ้นไทยจะบูมระเบิด ซึ่งเป็นจังหวะขายหุ้นครั้งใหญ่"
14 ปีจะมีหนที่ตลาดหุ้นบูมสุดขีดนั่นคือ สัญญาณบวกของตลาดหุ้น แต่ในเชิงสถิติก็บอก "ลางร้าย" ไว้ด้วย "วิกรม" บอกว่า ตัวเลขเตือนภัยของตลาดหุ้นคือ พี/อี เรโช ที่ 31 เท่า
เมื่อใดก็ตามที่ ค่าพี/อี เรโช ตลาดหุ้นไทย แตะ 31 เท่า เป็นลางบอกว่า หุ้นไทยเข้าสู่เขต "อันตราย" !! "มีสถิติ 2 ครั้งที่ค่าพี/อี เรโช ขึ้นไปถึง 31 เท่า และตลาดหุ้นพังครืนลงมา เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นสูงเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็น"
ครั้งแรกเมื่อปี 2533 ดัชนีหุ้นไทยได้ขึ้นไปสูงสุดที่ 1143.78 จุด เมื่อ 25 กรกฎาคม 2533 จากนั้นปรับตัวลดลงรุนแรงจากเหตุการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 1 หลังจากอิรักบุกคูเวต
ครั้งที่สอง ดัชนีขึ้นไปสูงสุด 1,753.73 เมื่อ 4 มกราคม 2537 โดยมีค่าพี/อี เรโช 31 เท่า และปรับตัวลงมารุนแรงถึงก้นบึ้งที่ 207 จุดในอีก 4 ปีต่อมาเมื่อ 4 กันยายน 2541 หลังจากเกิดวิกฤติการเงินและลอยตัวค่าเงินบาท"
วิกรม ชี้ว่า เมื่อใดที่ค่าพี/อีเรโช ขึ้นไปแตะ 31 เท่า นั่นคือ สัญญาณอันตรายที่นักลงทุนพึงระวัง
"ตอนนี้หุ้นไทยค่าพีอีอยู่ที่ 10.18 เท่า และผลตอบแทนตลาดโดยรวมอยู่ที่ 5.78% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก ฉะนั้นกลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ จึงควรรอให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมากค่อยซื้อ และขายเมื่อเกิดการแตกตื่นเช่นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ที่หุ้นตกกว่า 100 จุด"
สถิติบอกว่า หากจะลงทุนในหุ้นไทย อย่าซื้อๆ ขายๆ บ่อย แต่เลือกจังหวะซื้อให้ถูก และลงทุนระยะยาว ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ และหลักการ "ลบสี่สิบบวกร้อยเปอร์เซ็นต์" ก็คือสูตรลัดของ นักลงทุนรุ่นเก๋า "วิกรม เกษมวุฒิ" เซียนสถิติตัวยง
Bizweek - วันศุกร์ที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2550