Thai VI

ผมไปงาน thai investor days (ของต้นเดือนนี้) มาได้ฟัง ด.ร.นิเวศน์ พูดว่าเล่นหุ้นเดี่ยวนี้น่ะ ต้องดูคุณภาพเป็นหลัก ราคาเกี่ยงน้อยหน่อย
ภายหลังเลิกงานมีโอกาศได้คุยกับด.ร. ผมถามเขาเกี่ยวกับหุ้นตัวนึงที่ p/e 26 p/bv 4 เท่า ผมถามเขาว่าเป็นไงบ้าง ท่านบอกว่าไอ้ bv เนี้ยแถบไม่มีความสำคัญเลย เพราะเป็นแค่สินทรัพย์อะไรบ้างอย่าง






และก่อนหน้านี้ในงาน thai investors days ประมาณเกือบ 1 ปีมาแล้ว มีคนถาม ด็อกเตอร์ว่า bh เป็นอย่างไร ตอนน้นราคาประมาณ 30 บาท ด.ร.บอกว่า
bh เนี้ยเป็นกิจการที่สุดยอดมาก แต่ราคาไม่ถูก คุณต้องไปคิดดูเองว่าราคาแบบนี้รับไหวไหม


ผมรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็น mint , bh ,cp7-11 ,hmpro ไรพวกเนี้ยผมว่ารอไปราคาก็ไม่ลง แต่คุณภาพบริษัทเนี้ยดีมาก ท่าน ด.ร.เลยพูดอย่างนั้น


บางคนอาจบอกว่าราคาที่ไม่มี margin of safety จะไม่ซื้อ แต่ถ้าคุณภาพดีมากๆ แล้วคุณอาจจะไม่ได้หุ้นเลยล่ะ คุณจะรอต่อไปไหม


buffet ยังรอ wal mart ตั้งหลายปี ผลสุดท้ายก็ต้องมาซื้อแพงเลยนี้

ตัดสินใจลำบากนะ


ทุกท่านคิดว่าไง

บริษัทที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้น บางตัวที่สุดแล้วก็จะสามารถสร้างกำไรให้เติบโตได้ตามที่นักลงทุนคาดหวังไว้จริงๆ บางครั้งพีอีสูงก็ไม่ได้แปลว่าแพง เพราะอีในอนาคตของบริษัท ไม่มีใครสั่งไว้ว่าต้องเท่าเดิมหรือใกล้เดิม

ขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เรามีครับ ถ้าเราสามารถหาบริษัทที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันได้ แต่ตลาดยังให้ราคาธรรมดาๆ เท่านั้น ก็เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจมากกว่าครับ

สุมาอี้ เขียน:บริษัทที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้น บางตัวที่สุดแล้วก็จะสามารถสร้างกำไรให้เติบโตได้ตามที่นักลงทุนคาดหวังไว้จริงๆ บางครั้งพีอีสูงก็ไม่ได้แปลว่าแพง เพราะอีในอนาคตของบริษัท ไม่มีใครสั่งไว้ว่าต้องเท่าเดิมหรือใกล้เดิม

ขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เรามีครับ ถ้าเราสามารถหาบริษัทที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันได้ แต่ตลาดยังให้ราคาธรรมดาๆ เท่านั้น ก็เป็นทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจมากกว่าครับ

จริงด้วยครับ  แหมท่านแม่ทัพมีทีเด็ดมาให้สัก ตัวสองตัวไหมครับ หึหึ

ผมฝีมือยังไม่ถึงขั้นเลยต้องซื้อราคาแพงหน่อย ยังมองแนวโน้มธุรกิจไม่เก่งเหมือนพวกพี่ๆน่ะครับ พี่สุมาอี้รู้ป่าว ผมเห็นด้วยกับกฎ 10 ข้อของพี่มากนะ

มีกฏข้อที่บอกว่าอย่าไปสนใจหุ้นที่จ่ายปันผลมากให้ดูว่าเอาเงินไปทำอะไรมากกว่า

ผมก็ว่าจริง อายุยังน้อยต้องหาหุ้น growth stock ไว้ดีกว่า ตามกฎที่บอกว่า อาจจะให้ return ได้ 200 ,300%  หุ้นปันผลเยอะราคาบางทีก็ไม่ไปไหน อย่าง se-ed ไม่มีหนึ้เลย ปันผล 98 % ของกำไร ขยายตัวค่อนข้างช้า เลยขายออกไปซื้อ 7-11

แต่ผมชอบ se-ed ตรงที่โปร่งใสสุดๆ เพราะไปประชุมมา

SE-ED ที่ขยายตัวช้า  คงไม่ใช่เพราะนำเงินสดไปจ่ายปันผลหมด  จนไม่มีเงินขยายกิจการหรอกครับ

ที่โตช้าลง  คงเป็นเพราะตลาดเริ่มอิ่มตัวนะ  เพราะเดิมตลาดยังเล็ก  และ SE-ED ก็ขยายเร็วตาม Discount Store ต่างๆ  ศูนย์การค้าต่างๆ  รวมทั้งคู่แข่งก็ยังไม่น่ากลัว

หลังๆ Discount Store ขยายตัวช้าลง  ศูนย์การค้าที่เปิดใหม่ เช่น พารากอน และเซ็นทรัล เวิร์ล  ก็ไม่มีร้านซีเอ็ด

ขยายตาม Lotus Express และ สถานีรถไฟใต้ดิน  ก็ผิดหวัง

ผมว่าการประเมินราคาที่ดีก็ควรที่จะพิจารณาอัตราการเติบโตในอนาคตของบริษัทรวมอยู่ด้วยนะครับ

ถ้าจะพิจารณาง่ายๆ  ที่เห็นใช้กันอยู่ก็ อัตราการเติบโต / PE

ผมว่าเรื่อง pe เรากำลังคุยอยู่กับอนาคต pe ที่ซื้อในปัจจุบัน 30 เท่า แต่ถ้าปีนี้บริษัทโต 100% ละ เท่ากับpe ที่เราซื้อประมาณ 15 เท่า แล้วถ้าโต 200% ละ?  สิ่งที่สำคัญในความคิดผมคือ e จะต้องมั่นคงและมีแนวโน้มที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด(กำไรที่เป็นเงินสดนะตัวเลขไม่เอา) pe สูงก็น่าซื้อ แต่ในทางกลับกันถ้าpe สูงแย้วไม่มีความสามารถในการทำกำไรจะซื้อไปทำไม ????

ปล. เป็นความเห็นส่วนตัวนะคับอาจจะขัดแย้งกับผุ้อื่นบ้าง

ดร.พูดไม่เหมือนพ่อผมเลยหน่ะ พ่อผมบอกว่า มีเงินอยู่ ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ซื้อ
รอไปเหอะ หุ้นดีดีหน่ะมีให้ซื้อแน่
ถ้าไม่จริงหุ้นพวกนี้หน่ะมีราคานี้ได้ยังไง
METCO ตอน 11 บาท
LH ตอน 11 บาท
SVH ตอน 3 บาท
BGH ตอน 20 บาท
RAM BBL KBANK SCB ตอนนั้นเท่าไหร่ก็ไม่รู้

แต่ไม่เข้าใจเลย ปากก็บอกว่า หุ้นตอนนี้ว่าไม่ถูกนะ ไม่มีอะไรดีเลย แต่มือก็ซื้อไปเรื่อยเลย

คุ้นๆ...
บัฟเฟตต์บอกว่าถ้าได้ซื้อบริษัทที่ยอดเยี่ยมก็สามารถยอมรับ Margin of Safety ที่น้อยลงได้

Kao เขียน:คุ้นๆ...
บัฟเฟตต์บอกว่าถ้าได้ซื้อบริษัทที่ยอดเยี่ยมก็สามารถยอมรับ Margin of Safety ที่น้อยลงได้

มิน่า ที่คุ้นเพราะเพิ่งอ่านที่พี่ WEB โพสท์เมื่อคืนนี้เอง

- บัฟเฟตต์บอกว่าการซื้อบริษัทชั้นเยี่ยมไม่จำเป็นต้องมี Margin of safety สูงๆ เนื่องจากโอกาสผิดพลาดมีน้อย  ให้ซื้อสิ่งที่เราเข้าใจ  ซื้อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นสิ่งที่จะทำให้เรามีมุมมองเกี่ยวกับอนาคต

เดินเป็นแล้ว
คง
ไม่อยากกลับไปคลาน

แต่

หกล้มแล้วบาดเจ็บสูง โดยเฉพาะล้มจากการวิ่งเร็วมากๆครับ

ถ้าเราวิเคราะห์เก่งแล้ว  มั่นใจแน่แล้ว

การที่มี Margin of Safety น้อยมากๆ  ก็คงโอเค

แต่สำหรับผมแล้ว  ยังวิเคราะห์ไม่เก่ง  ยังเห็นความผันผวน  ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว  และรุนแรง  มากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต

ผมขอ Margin of Safety มากน้อยแล้วกันนะครับ  

ไม่อยากผิดกฎทั้ง 2 ข้อของ Buffett   :lol:

[quote="Kao"]มิน่า ที่คุ้นเพราะเพิ่งอ่านที่พี่ WEB โพสท์เมื่อคืนนี้เอง

- บัฟเฟตต์บอกว่าการซื้อบริษัทชั้นเยี่ยมไม่จำเป็นต้องมี Margin of safety สูงๆ เนื่องจากโอกาสผิดพลาดมีน้อย

ในตลาดตอนนี้ หรือตอนไหน margin of safety  ยังมีความจำเป็นและใช้ได้เสมอครับ แต่จะให้น้ำหนักมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวของนักลงทุนเองครับ แต่สำหรับผมแล้ว margin of safety ยังมีความจำเป็นด้วยเหตุผลดังนี้
1)ผมยังวิเคราะห์ธุรกิจไม่เก่งมากพอ
2)การลงทุนในหุ้นที่ไม่มี หรือมี margin of safety ไม่มากพอ ทำให้ผมไม่มั่นใจ และกินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับทุกครั้งที่ลงทุน
3)หากผมซื้อหุ้นได้ในราคาถูก แม้ว่ากำไรของมันตกต่ำลงมาเล็กน้อย ผลตอบแทนที่ผมได้รับยังถือว่าน่าพอใจ
4)ข้อมูลของบริษัทที่ผมหาได้ยังไม่สมบูรณ์ใกล้เคียงร้อยเปอรเซ็นต์ และผมไม่อยู่ในฐานะที่ใกล้ชิดข้อมูลของบริษัทที่ผมลงทุนได้เท่าผู้บริหารของบริษัท
5)ไม่มีใครเคยพลาด แม้บริษัทที่ผมลงทุนจะมีผู้บริหารที่เก่งดีเลิศในสายตาผม แต่คงจะมีสักครั้งที่พวกเขาพลาด และเมื่อพวกเขาพลาดและเกิดความเสียหายขึ้นกับบริษัท การที่ลงทุนโดยมี margin of safety จะเป็นเสมือนเบาะนุ่มๆคอยรองรับไม่ให้ผมบาดเจ็บมากเกินไปในยามที่ผมร่วงกระแทกพื้น
6)ความผันผวนของตลาดและแนวโน้มเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ผมคาดเดาไม่ได้ และอยู่นอกเหนือการควบคุมของผม
7)เท่าที่ผ่านมา  ผมยังหาบริษัทที่ดีและมี margin of safety ได้ตลอดเวลา และบางช่วงมันลดราคาไม่มากพอ ผมก็ยินดีที่จะรอ  หากเป็นเกมส์ฟุตบอลคุณอาจจะโดนจับออฟไซด์หากคุณไปยืนกางมุ้งรอยิงที่หน้าประตู หรือบอลผ่านหน้าคุณไปแล้วคุณไม่ยิงคุณอาจถูกโค้ชตำหนิ หรือหากยิงไม่ได้ก็จะหมดเวลา  แต่ในเรื่องการลงทุน ผมสามารถยืนรอจังหวะได้นานแค่ไหนก็ได้ หากผมไม่สามารถหาตำแหน่งยิงได้เต็มข้อหรือระยะห่างเกิน5หลาจากประตู ผมก็ไม่เสียแรงง้างเท้ายิง และก็ไม่มีใครตำหนิผม คนดูไม่โห่ไล่  ผมไม่ถนัดที่จะลากเลื่อยพาบอลจากครึ่งสนามไปยิงประตูแบบมาราโดน่า ผมถนัดแต่ในเกมส์ของผมคือรออยู่หน้าประตูในระยะไม่เกิน5หลาแล้วเลือกยิงในตำแหน่งของลูกที่ผมสามารถเตะบอลได้เต็มข้อเท้าเท่านั้น
  หากวันใดผมสามารถพัฒนาความรู้ในเรื่องการลงทุนได้ใกล้เคียงกับ ดร.นิเวศน์ หรือบัฟเฟตต์ แล้วผมอาจจะลงทุนโดยไม่ใช้ margin of safety ก็ได้

ก่อนซื้อหุ้น ผมจะคำนึงถึง margin of safety เสมอ

แต่ช่วงนี้ ผมคิดแต่จะทำยังไงกับ margin loan ดี

ช่วงนี้ต้องอดหลับอดนอนกับนายตลาด  ไม่ค่อยมีเวลาไปจีบคุณ margin of safety เลยครับ

อ้าววว ที่แท้ท่านมาดแมนก็คือ โจ้ 5 หลาปลอมตัวมานี่เอง
เข้ามาแซว  :D

จริงแล้ว  ผมว่าน่าจะเป็น  นักลงทุนชั้นเยี่ยม  ไม่จำเป็นต้องมี Margin of safety สูงๆ  เนื่องจากโอกาสที่จะวิเคราะห์ผิดพลาดมีน้อย  นะครับ

เพราะคงมีแต่นักลงทุนชั้นเยี่ยมเท่านั้น  ที่จะค้นพบบริษัทชั้นเยี่ยมได้อย่างมั่นใจ

ที่พี่ฉัตรชัยเขียนนี่น่าจะใกล้เคียงที่สุดแล้ว

ถ้าเมื่อไหร่ที่เราประเมินตัวเองสูงเกินไป คิดว่าเราเก่งแล้ว
เราอาจจะพลาดหนักๆก็ได้ ถ้าขาด margin of safety ที่เพียงพอ
เพราะยังไงๆ เราก็ไม่ได้เก่งเหมือน ดร หรือ ปู่บัฟแน่ๆ

ดังนั้น margin of safety จะมากหรือน้อย
คงขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลมากกว่า
ห้ามลอกเลียนแบบ

เพิ่มเติมความคิดพี่ๆนะคับ นอกจาก margin of safety(ขอใช้คำว่า ROF แทนนะคับ) แล้วสิ่งที่ต้องคำนึกถึงอีกอย่างหนึ่งคือต้นทุนทางการเงิน เพราะทุกท่านมีต้นทุนทางการเงินที่ไม่เหมือนกัน คนที่มีต้นทุนทางการเงินสูงอาจต้องหากิจการที่ดี และมี rof มากกว่าคนที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำเพื่อป้องกันความเสียหายจากการลงทุนจาก 2 ทาง คือการลดลงของราคาหุ้นและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงิน

Margin of Safety มักจะมีเยอะ ตอน Panic ครับ

ผมรออยู่นะเนี่ย  8)  ...

[quote="กุหลาบงามหลังฝน"]ผมว่าเรื่อง pe เรากำลังคุยอยู่กับอนาคต pe ที่ซื้อในปัจจุบัน 30 เท่า แต่ถ้าปีนี้บริษัทโต 100% ละ เท่ากับpe ที่เราซื้อประมาณ 15 เท่า แล้วถ้าโต 200% ละ?

[quote="chatchai"]ถ้าเราวิเคราะห์เก่งแล้ว

[quote="chartchai madman"]ในตลาดตอนนี้ หรือตอนไหน margin of safety

ผมขอถามพี่ฉัตรชัยหน่อยได้ไหมครับ

ว่าถ้าตอนนี้พี่ไม่ได้ถือ wg อยู่ มีเงินสดทั้งหมด

ตอนนี้พี่จะยังถือเงินสดต่อไป หรือว่าซื้อหุ้นบ้างครับ

เอาตลาดช่วงนี้นะคับ

[quote="chatchai"]
ขยายตาม Lotus Express และ สถานีรถไฟใต้ดิน

ที่บอกว่าอายุยังน้อย ผมเพิ่ง 21 นะครับ เพิ่งเล่นหุ้น 2 ปี ประสบการณ์ยังน้อย

เลยใจร้อน เลยอยาก share กับพี่ๆ นะครับ กลัวขาดทุนมาก

โอ้โห ยังมีโอกาสอีกเยอะมาก  
buffet แนะนำว่า ตลอดชีวิตให้ทำตั๋วลงทุนซัก 20 ใบ พอลงทุนครั้งนึงตั๋วก็จะหมดไปใบนึง เพื่อให้การจะลงทุนแต่ละครั้งจะต้องคิดให้รอบครอบ และอดทนรอจังหวะเวลา

ถ้าผมย้อนเวลากลับไปอายุเท่าคุณได้ สิ่งที่ผมจะทำคือ
1.ตั้งใจทำงานเพื่อเก็บเงินสดไว้ให้มากที่สุด
2.ทำwatchlist  port ศึกษาหุ้นที่เราชอบธุรกิจเขา
3.ซื้อหุ้นปีละไม่เกิน 2 ครั้ง เฉพาะเวลาที่เลือดนองถนน

อย่างน้อยการที่เข้ามาใน TVI ตั้งแต่อายุยังน้อยแสดงว่า ไขกุญแจถูกดอกละครับ[/quote]

contrarian เขียน:

โอ้โห ยังมีโอกาสอีกเยอะมาก

ปีละ 15-20% ก็พอแล้ว เก็บไว้ให้ลูกก็แล้วกัน

สำหรับผมได้ 10-15% ต่อปีติดกันทุกปีจนกว่าจะเลิกลงทุน ก็หรูมากแล้วครับ