ศก.หัวทิ่ม-นำเข้าทรุดกดจีดีพี !!!!
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 26, 2007 6:19 pm
ศก.หัวทิ่ม-นำเข้าทรุดกดจีดีพี ตู้สินค้าขาดฉุดขนส่งเสียศูนย์
ตอกย้ำรูปธรรมเศรษฐกิจขาลง นำเข้าต่ำติดดิน ส่งผลตู้คอนเทนเนอร์ขาดหนัก "สุนิดา สกุลรัตนะ" ผอ.การท่าเรือฯแจงเฉพาะ 5 เดือนแรก ไทยต้องนำเข้าตู้เปล่าเพิ่มขึ้น 32.87% สอดคล้องกับตัวเลขสินค้านำเข้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้านสภาผู้ส่งสินค้า ทางเรือยอมรับสายการเดินเรือต้องนำตู้เปล่าเข้าประเทศ เพราะการนำเข้าสินค้าทุนลดต่ำลงอย่างมาก แบงก์ชาติทำใจลดตัวเลข จีดีพีเหลือ 3.75% กรรมาธิการ สนช.หวั่นส่งออกเริ่มชะลอตัว
นางสุนิดา สกุลรัตนะ ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงสถานการณ์การส่งออกและนำเข้าของไทยว่า ขณะนี้สินค้านำเข้าลดลงมาก ขณะที่การส่งออกคงเดิม ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้า "ตู้เปล่า" เพิ่มขึ้น เฉพาะท่าเรือกรุงเทพมีการนำเข้าตู้เปล่าในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 (ต.ค.2549-ก.พ.2550) จำนวน 52,455 TEU หรือเพิ่มขึ้น 32.87% เนื่องจากมีความต้องการ ตู้คอนเทนเนอร์เพื่อส่งสินค้าออกยังมีปริมาณคงเดิมและเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ปริมาณการนำเข้าสินค้ากลับลดลง อย่างไรก็ตามการท่าเรือฯคาดว่าในปี 2550 ปริมาณตู้สินค้าที่ผ่านท่าเรือกรุงเทพจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.45 ล้าน TEU จากที่ในปี 2549 มีปริมาณตู้สินค้า 1.34 ล้าน TEU ส่วนท่าเรือแหลมฉบัง คาดว่าจะมีปริมาณตู้สินค้าผ่าน 4.6-4.7 ล้าน TEU จากในปี 2549 ที่มีปริมาณตู้สินค้า 4 ล้าน TEU
เฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 (ต.ค.2549-มี.ค.2550) มีเรือเข้าจอดเทียบท่าเรือแหลมฉบัง 3,248 เที่ยว เพิ่มขึ้น 9.4% เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 ส่วนสินค้าผ่านท่ามีจำนวนทั้งสิ้น 21.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15.8% และมีตู้สินค้าผ่านท่าจำนวน 2.2 ล้าน TEU เพิ่มขึ้น 15.8%
เรือเข้าจอดเทียบท่าเรือกรุงเทพในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 (ต.ค.2549-มี.ค.2550) เปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 พบว่ามีจำนวนเรือผ่าน ท่า 1,435 เที่ยว เพิ่มขึ้น 2.3% ส่วนสินค้าผ่านท่ามีจำนวนทั้งสิ้น 9.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 9.6% และมีตู้สินค้าผ่านท่าจำนวน 0.7 ล้าน TEU เท่ากับปีก่อน
ท่าเรือภูมิภาค ท่าเรือเชียงแสน และเชียงของ มีจำนวนเรือผ่านท่า 2,124 เที่ยว เพิ่มขึ้น 15.7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนสินค้าผ่านท่ามีจำนวนทั้งสิ้น 90,332 ตัน เพิ่มขึ้น 2.4% ท่าเรือระนอง มีจำนวนเรือผ่าน ท่า 150 เที่ยว เพิ่มขึ้น 15.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนสินค้าผ่าน ท่ามีจำนวนทั้งสิ้น 13,190 ตัน เพิ่มขึ้น 547% รวม กทท.มีรายได้ 4,177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% ขณะที่ค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 3,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% ทำให้มีกำไรสุทธิเป็นเงิน 1,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1%
การให้บริการตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 579,882 TEU เป็น 635,975 TEU (เปรียบเทียบ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ) โดยเพิ่มขึ้น 56,093 TEU หรือเพิ่มขึ้น 9.67% ท่าเรือแหลมฉบัง ตู้สินค้าผ่านท่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 1,638,172 TEU เป็น 1,820,457 TEU โดยเพิ่มขึ้น 182,285 TEU หรือเพิ่มขึ้น 11.13% ส่วนท่าเรือระนอง ตู้สินค้าผ่านท่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 6 TEU เป็น 7 TEU โดยเพิ่มขึ้น 1 TEU หรือเพิ่มขึ้น 16.67% สำหรับท่าเอกชน 4 ท่า ตู้สินค้าผ่านท่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 88,420 TEU เป็น 90,830 TEU โดยเพิ่มขึ้น 2,410 TEU หรือเพิ่มขึ้น 2.73%
สภาเรือชี้นำเข้าสินค้าทุนต่ำจนตู้ขาด
ด้านนายสมบูรณ์ เจือเสถียรรัตน์ เลขาธิการ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้น่าเป็นห่วงสถานการณ์นำเข้าและส่งออกของไทยในระยะสั้นมาก เนื่องจากปริมาณการนำเข้าที่ลดลงในช่วงปลายปี 2549 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2550 จนทำให้เกิดปรากฎการณ์ตู้สินค้าส่งออกขาดแคลน จนสายเดินเรือต้องนำเข้าตู้เปล่ากลับเข้ามาเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนลดลงต่ำและจะส่งผลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าทำให้การส่งออกลดลงด้วย
ทางกลุ่มผู้ส่งออกมีการประเมินถึงผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วว่า ส่งผลกระทบทำให้ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ไม่กล้ารับออร์เดอร์มาก เพราะส่งออกมากยิ่งขาดทุนมาก ส่วนใหญ่จึงรับออร์เดอร์แค่พอรักษาตลาดเดิมไว้เท่านั้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาการนำเข้าสินค้าทุนซึ่งเป็นวัตถุดิบมีการชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ส่งออกได้คาดการณ์ในทางที่ดีว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2-ไตรมาสที่ 3 น่าจะมีการนำเข้าเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลิตสินค้าส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 3-ไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ส่วนกรณีที่บริษัทเรือมีการนำเข้าตู้สินค้ามากขึ้นนั้น ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงกับผู้ส่งออก เพราะผู้ส่งออก 80% ส่งออกแบบ FOB ดังนั้นต้นทุนของผู้ส่งออกจึงยังไม่เพิ่มขึ้น
ส่งออกโต 18.4% นำเข้าลดลงต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานการส่งออก-นำเข้าสินค้าไทยในเดือนมีนาคมเข้ามาว่า การส่งออกของประเทศไทยยังขยายตัวสูงขึ้นถึง 18.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่า 13,103.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่องจากต้นปี และยังมีมูลค่าสูงกว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกด้วย
ขณะที่การนำเข้าในเดือนมีนาคม ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือเพิ่มขึ้นเพียง 0.58% คิดเป็นมูลค่า 10,836.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าถึง 2,267.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.2550) ประเทศไทยมีอัตราการส่งออกขยายตัว 18.2% หรือมูลค่า 34,824.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเกินดุลอยู่ที่ 4,270.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกเติบโตต่อเนื่องเป็นเพราะสินค้าสำคัญในรายการส่งออกมีอัตราเพิ่มขึ้นทุกหมวด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรเพิ่มขึ้น 20.4% โดยเฉพาะข้าว, มันสำปะหลัง, อาหารแช่แข็ง/แปรรูป, อาหารทะเล, ผัก/ผลไม้ และไก่
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.4% จากการส่งออกสินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, วัสดุก่อสร้าง, ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องหนัง อีกทั้งกลุ่มสินค้าอื่นๆ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 24.6% เช่น เคมีภัณฑ์, เครื่องจักรกล/ส่วนประกอบของอากาศยาน, อุปกรณ์การบิน และเลนส์
โดยนายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แสดงความกังวลถึงตัวเลขการนำเข้าที่ลดลงอย่างผิดปกติ "น่าจับตามองว่า ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น แต่การนำเข้าสินค้ายังลดลง แต่ประเทศไทยยังสามารถแข่งขันได้และคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะยังขยายตัว 12.5% ตามเป้าที่วางไว้"
ธปท.ปรับลด GDP
ในด้านเศรษฐกิจรวม นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2549 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2550 ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง อุปสงค์ในประเทศที่อ่อนตัวลงทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นภาคเอกชนที่ยังคงเปราะบาง แต่เชื่อว่าการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มเร่งตัว และการส่งออกที่ยังขยายตัวดีจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป
กนง.ได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะ 8 ไตรมาสข้างหน้า ได้เปลี่ยนแปลงสมมติฐานสำคัญในส่วนของราคาน้ำมัน, แนวโน้มค่าเงินบาท, การใช้จ่ายภาครัฐ และเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่สำคัญจึงเปลี่ยนแปลงประมาณการ GDP จากรายงานครั้งก่อนที่ 4-5% เป็น 3.75-4.75%
ส่วนเงินเฟ้อ แม้จะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน แต่ ธปท.ยังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปตลอดปีจะอยู่ที่ 1.5-2.5% เงินเฟ้อพื้นฐาน 1-2% เนื่องมาจากไม่มีปัจจัยการส่งผ่านจากเงินเฟ้อทั่วไปสู่เงินเฟ้อพื้นฐานเพราะการอ่อนตัวของอุปสงค์ในประเทศ
ด้านเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าประเมินว่า ในปี 2550-2551 จะขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะเศรษฐกิจยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชีย ที่คาดว่าจะขยายตัวในปีนี้ 2.3% 2.1% 6.2% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.0% 2.0% และ 1.9% ตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดจะสามารถชดเชยการชะลอตัวของสหรัฐ ที่คาดว่าจะขยายตัวในปี 2550 2.4% จากเดิมมองไว้ที่ 2.5% ผลจากการชะลอตัวในตลาดที่อยู่อาศัย และปัญหาผู้กู้ความน่าเชื่อถือต่ำ
จากการชะลอตัวของสหรัฐ ทำให้คาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ารวมจะขยายตัวที่ 4.4% และจะปรับดีขึ้นเป็น 4.5% ในปี 2551 ตามการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐ จากการที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
"ในระยะที่ผ่านมายอดสต๊อกสินค้าของเอกชนได้ลดต่ำลง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก ส่วนการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมเดิมอาจจะมีต่อเนื่อง แต่โอกาสที่จะเห็นการลงทุนใหม่ในปีนี้คงจะมีไม่มากเนื่องจากปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างที่ไม่เอื้อ เช่น ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสถานการณ์ทางการเมือง แต่ก็คาดว่าหากมีการเลือกตั้งตามกรอบเวลาที่รัฐบาลให้ไว้การลงทุนจะดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า" นายเมธีกล่าว
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเข้ามาเสริมที่ออกไปแล้ว เพื่อให้เม็ดเงินไปสู่ประชาชนฐานรากมากขึ้น แต่จะมากแค่ไหนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในเดือน มี.ค.2550 ก็ไม่ได้มีอะไรที่แย่หมดทุกตัว อาทิ ภาคการส่งออกก็ยังขยายตัวได้ถึง 18% แม้ค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น แต่การขยายตัวครั้งนี้อาจจะไม่กระจายทั่วถึงทุกกลุ่ม มีบางกลุ่มได้มาก บางกลุ่มติดลบ ซึ่งกลุ่มไหนที่มีปัญหาก็จะต้องลงไปดูว่าเกิดจากปัจจัยอะไรถึงติดลบ โดยวันที่ 2 พฤษภาคมนี้จะเรียกสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมาหารือเพื่อเร่งรัดสินเชื่อลงสู่ภาคเศรษฐกิจฐานราก ส่วนมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ขอศึกษาให้เสร็จก่อน และให้สินเชื่อแบงก์รัฐออกไปก่อน ค่อยพิจารณามาตรการอสังหาริมทรัพย์
กรรมาธิการคลัง หวั่นส่งออกเริ่มชะลอตัวแล้ว
นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ กรรมาธิการการคลังการธนาคารและสถาบันการเงิน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ความเห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในช่วงนี้ การส่งออกชะลอตัวลง อัตราการบริโภคของประชาชนลดลง
"ผมไม่แน่ใจว่าอัตราการบริโภคของประชาชนที่ลดลงนั้น เกิดจากคนไม่มั่นใจในการบริโภค หรือคนเป็นหนี้จนบริโภคไม่ได้ ผมคาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจก็ยังไม่ดีขึ้น ยกเว้นว่าจะมีการเลือกตั้งที่จะสามารถฟื้นฟูดึงความเชื่อมั่น แต่จะด้วยวิธีใดนั้นคงบอกยาก"
นายสมชายกล่าวต่อไปว่า การส่งออกเริ่มชะลอตัว เพราะผลกระทบจากค่าเงินบาท ต่อไปนี้คือ "ของจริง" ค่าเงินบาทสูง การแข่งขันของเรายังไม่ดีขึ้น ดูได้จากไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้วจนถึงเดือนมีนาคมปีนี้ ลดลงไป 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ แสดงว่าการส่งออกมีการชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะมาจากปัญหาความไม่เชื่อมั่นของประชาชน
"ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่า มาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ดีหรือไม่ดี ตลาดหุ้นจะขึ้นดีหรือไม่ดี ตรงนี้ไม่มีใครบอก ซึ่งจริงๆ แล้วผู้บริหารต้องเลือกว่าจะเอาอะไร จะถูกจะผิดไม่เป็นไร แต่เมื่อไม่เลือก ลอยไปลอยมาอยู่อย่างนี้ คนเลยเลิกใช้เงิน เพราะไม่รู้ว่าการเมืองจะไปทางไหน การตัดสินใจของรัฐบาลนั้นสำคัญ นักลงทุนนักธุรกิจจะตัดสินใจอะไรก็ต้องตัดสินใจหลังรัฐบาลทุกครั้ง เมื่อนักธุรกิจดูแนวทางของรัฐแล้ว แต่รัฐกลับไม่ชัดเจน การวางแผนทางธุรกิจก็ทำได้แต่ wait and see เกียร์ว่างกันทั้งระบบ" นายสมชายกล่าว
ตอกย้ำรูปธรรมเศรษฐกิจขาลง นำเข้าต่ำติดดิน ส่งผลตู้คอนเทนเนอร์ขาดหนัก "สุนิดา สกุลรัตนะ" ผอ.การท่าเรือฯแจงเฉพาะ 5 เดือนแรก ไทยต้องนำเข้าตู้เปล่าเพิ่มขึ้น 32.87% สอดคล้องกับตัวเลขสินค้านำเข้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้านสภาผู้ส่งสินค้า ทางเรือยอมรับสายการเดินเรือต้องนำตู้เปล่าเข้าประเทศ เพราะการนำเข้าสินค้าทุนลดต่ำลงอย่างมาก แบงก์ชาติทำใจลดตัวเลข จีดีพีเหลือ 3.75% กรรมาธิการ สนช.หวั่นส่งออกเริ่มชะลอตัว
นางสุนิดา สกุลรัตนะ ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงสถานการณ์การส่งออกและนำเข้าของไทยว่า ขณะนี้สินค้านำเข้าลดลงมาก ขณะที่การส่งออกคงเดิม ทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้า "ตู้เปล่า" เพิ่มขึ้น เฉพาะท่าเรือกรุงเทพมีการนำเข้าตู้เปล่าในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 (ต.ค.2549-ก.พ.2550) จำนวน 52,455 TEU หรือเพิ่มขึ้น 32.87% เนื่องจากมีความต้องการ ตู้คอนเทนเนอร์เพื่อส่งสินค้าออกยังมีปริมาณคงเดิมและเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ปริมาณการนำเข้าสินค้ากลับลดลง อย่างไรก็ตามการท่าเรือฯคาดว่าในปี 2550 ปริมาณตู้สินค้าที่ผ่านท่าเรือกรุงเทพจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.45 ล้าน TEU จากที่ในปี 2549 มีปริมาณตู้สินค้า 1.34 ล้าน TEU ส่วนท่าเรือแหลมฉบัง คาดว่าจะมีปริมาณตู้สินค้าผ่าน 4.6-4.7 ล้าน TEU จากในปี 2549 ที่มีปริมาณตู้สินค้า 4 ล้าน TEU
เฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 (ต.ค.2549-มี.ค.2550) มีเรือเข้าจอดเทียบท่าเรือแหลมฉบัง 3,248 เที่ยว เพิ่มขึ้น 9.4% เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 ส่วนสินค้าผ่านท่ามีจำนวนทั้งสิ้น 21.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15.8% และมีตู้สินค้าผ่านท่าจำนวน 2.2 ล้าน TEU เพิ่มขึ้น 15.8%
เรือเข้าจอดเทียบท่าเรือกรุงเทพในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2550 (ต.ค.2549-มี.ค.2550) เปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 พบว่ามีจำนวนเรือผ่าน ท่า 1,435 เที่ยว เพิ่มขึ้น 2.3% ส่วนสินค้าผ่านท่ามีจำนวนทั้งสิ้น 9.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 9.6% และมีตู้สินค้าผ่านท่าจำนวน 0.7 ล้าน TEU เท่ากับปีก่อน
ท่าเรือภูมิภาค ท่าเรือเชียงแสน และเชียงของ มีจำนวนเรือผ่านท่า 2,124 เที่ยว เพิ่มขึ้น 15.7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนสินค้าผ่านท่ามีจำนวนทั้งสิ้น 90,332 ตัน เพิ่มขึ้น 2.4% ท่าเรือระนอง มีจำนวนเรือผ่าน ท่า 150 เที่ยว เพิ่มขึ้น 15.4% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนสินค้าผ่าน ท่ามีจำนวนทั้งสิ้น 13,190 ตัน เพิ่มขึ้น 547% รวม กทท.มีรายได้ 4,177 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% ขณะที่ค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 3,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% ทำให้มีกำไรสุทธิเป็นเงิน 1,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1%
การให้บริการตู้สินค้าผ่านท่าเรือกรุงเทพมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 579,882 TEU เป็น 635,975 TEU (เปรียบเทียบ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ) โดยเพิ่มขึ้น 56,093 TEU หรือเพิ่มขึ้น 9.67% ท่าเรือแหลมฉบัง ตู้สินค้าผ่านท่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 1,638,172 TEU เป็น 1,820,457 TEU โดยเพิ่มขึ้น 182,285 TEU หรือเพิ่มขึ้น 11.13% ส่วนท่าเรือระนอง ตู้สินค้าผ่านท่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 6 TEU เป็น 7 TEU โดยเพิ่มขึ้น 1 TEU หรือเพิ่มขึ้น 16.67% สำหรับท่าเอกชน 4 ท่า ตู้สินค้าผ่านท่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 88,420 TEU เป็น 90,830 TEU โดยเพิ่มขึ้น 2,410 TEU หรือเพิ่มขึ้น 2.73%
สภาเรือชี้นำเข้าสินค้าทุนต่ำจนตู้ขาด
ด้านนายสมบูรณ์ เจือเสถียรรัตน์ เลขาธิการ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้น่าเป็นห่วงสถานการณ์นำเข้าและส่งออกของไทยในระยะสั้นมาก เนื่องจากปริมาณการนำเข้าที่ลดลงในช่วงปลายปี 2549 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2550 จนทำให้เกิดปรากฎการณ์ตู้สินค้าส่งออกขาดแคลน จนสายเดินเรือต้องนำเข้าตู้เปล่ากลับเข้ามาเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนลดลงต่ำและจะส่งผลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าทำให้การส่งออกลดลงด้วย
ทางกลุ่มผู้ส่งออกมีการประเมินถึงผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วว่า ส่งผลกระทบทำให้ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ไม่กล้ารับออร์เดอร์มาก เพราะส่งออกมากยิ่งขาดทุนมาก ส่วนใหญ่จึงรับออร์เดอร์แค่พอรักษาตลาดเดิมไว้เท่านั้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาการนำเข้าสินค้าทุนซึ่งเป็นวัตถุดิบมีการชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ส่งออกได้คาดการณ์ในทางที่ดีว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2-ไตรมาสที่ 3 น่าจะมีการนำเข้าเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลิตสินค้าส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 3-ไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ส่วนกรณีที่บริษัทเรือมีการนำเข้าตู้สินค้ามากขึ้นนั้น ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงกับผู้ส่งออก เพราะผู้ส่งออก 80% ส่งออกแบบ FOB ดังนั้นต้นทุนของผู้ส่งออกจึงยังไม่เพิ่มขึ้น
ส่งออกโต 18.4% นำเข้าลดลงต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานการส่งออก-นำเข้าสินค้าไทยในเดือนมีนาคมเข้ามาว่า การส่งออกของประเทศไทยยังขยายตัวสูงขึ้นถึง 18.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่า 13,103.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่องจากต้นปี และยังมีมูลค่าสูงกว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกด้วย
ขณะที่การนำเข้าในเดือนมีนาคม ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือเพิ่มขึ้นเพียง 0.58% คิดเป็นมูลค่า 10,836.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าถึง 2,267.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.2550) ประเทศไทยมีอัตราการส่งออกขยายตัว 18.2% หรือมูลค่า 34,824.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเกินดุลอยู่ที่ 4,270.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกเติบโตต่อเนื่องเป็นเพราะสินค้าสำคัญในรายการส่งออกมีอัตราเพิ่มขึ้นทุกหมวด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรเพิ่มขึ้น 20.4% โดยเฉพาะข้าว, มันสำปะหลัง, อาหารแช่แข็ง/แปรรูป, อาหารทะเล, ผัก/ผลไม้ และไก่
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.4% จากการส่งออกสินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, วัสดุก่อสร้าง, ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องหนัง อีกทั้งกลุ่มสินค้าอื่นๆ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 24.6% เช่น เคมีภัณฑ์, เครื่องจักรกล/ส่วนประกอบของอากาศยาน, อุปกรณ์การบิน และเลนส์
โดยนายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แสดงความกังวลถึงตัวเลขการนำเข้าที่ลดลงอย่างผิดปกติ "น่าจับตามองว่า ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น แต่การนำเข้าสินค้ายังลดลง แต่ประเทศไทยยังสามารถแข่งขันได้และคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะยังขยายตัว 12.5% ตามเป้าที่วางไว้"
ธปท.ปรับลด GDP
ในด้านเศรษฐกิจรวม นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2549 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2550 ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง อุปสงค์ในประเทศที่อ่อนตัวลงทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นภาคเอกชนที่ยังคงเปราะบาง แต่เชื่อว่าการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มเร่งตัว และการส่งออกที่ยังขยายตัวดีจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป
กนง.ได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะ 8 ไตรมาสข้างหน้า ได้เปลี่ยนแปลงสมมติฐานสำคัญในส่วนของราคาน้ำมัน, แนวโน้มค่าเงินบาท, การใช้จ่ายภาครัฐ และเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่สำคัญจึงเปลี่ยนแปลงประมาณการ GDP จากรายงานครั้งก่อนที่ 4-5% เป็น 3.75-4.75%
ส่วนเงินเฟ้อ แม้จะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน แต่ ธปท.ยังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปตลอดปีจะอยู่ที่ 1.5-2.5% เงินเฟ้อพื้นฐาน 1-2% เนื่องมาจากไม่มีปัจจัยการส่งผ่านจากเงินเฟ้อทั่วไปสู่เงินเฟ้อพื้นฐานเพราะการอ่อนตัวของอุปสงค์ในประเทศ
ด้านเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าประเมินว่า ในปี 2550-2551 จะขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะเศรษฐกิจยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชีย ที่คาดว่าจะขยายตัวในปีนี้ 2.3% 2.1% 6.2% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.0% 2.0% และ 1.9% ตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดจะสามารถชดเชยการชะลอตัวของสหรัฐ ที่คาดว่าจะขยายตัวในปี 2550 2.4% จากเดิมมองไว้ที่ 2.5% ผลจากการชะลอตัวในตลาดที่อยู่อาศัย และปัญหาผู้กู้ความน่าเชื่อถือต่ำ
จากการชะลอตัวของสหรัฐ ทำให้คาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ารวมจะขยายตัวที่ 4.4% และจะปรับดีขึ้นเป็น 4.5% ในปี 2551 ตามการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐ จากการที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
"ในระยะที่ผ่านมายอดสต๊อกสินค้าของเอกชนได้ลดต่ำลง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก ส่วนการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมเดิมอาจจะมีต่อเนื่อง แต่โอกาสที่จะเห็นการลงทุนใหม่ในปีนี้คงจะมีไม่มากเนื่องจากปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างที่ไม่เอื้อ เช่น ความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่อสถานการณ์ทางการเมือง แต่ก็คาดว่าหากมีการเลือกตั้งตามกรอบเวลาที่รัฐบาลให้ไว้การลงทุนจะดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า" นายเมธีกล่าว
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม ว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเข้ามาเสริมที่ออกไปแล้ว เพื่อให้เม็ดเงินไปสู่ประชาชนฐานรากมากขึ้น แต่จะมากแค่ไหนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
สำหรับภาวะเศรษฐกิจในเดือน มี.ค.2550 ก็ไม่ได้มีอะไรที่แย่หมดทุกตัว อาทิ ภาคการส่งออกก็ยังขยายตัวได้ถึง 18% แม้ค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น แต่การขยายตัวครั้งนี้อาจจะไม่กระจายทั่วถึงทุกกลุ่ม มีบางกลุ่มได้มาก บางกลุ่มติดลบ ซึ่งกลุ่มไหนที่มีปัญหาก็จะต้องลงไปดูว่าเกิดจากปัจจัยอะไรถึงติดลบ โดยวันที่ 2 พฤษภาคมนี้จะเรียกสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐมาหารือเพื่อเร่งรัดสินเชื่อลงสู่ภาคเศรษฐกิจฐานราก ส่วนมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ขอศึกษาให้เสร็จก่อน และให้สินเชื่อแบงก์รัฐออกไปก่อน ค่อยพิจารณามาตรการอสังหาริมทรัพย์
กรรมาธิการคลัง หวั่นส่งออกเริ่มชะลอตัวแล้ว
นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ กรรมาธิการการคลังการธนาคารและสถาบันการเงิน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ความเห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในช่วงนี้ การส่งออกชะลอตัวลง อัตราการบริโภคของประชาชนลดลง
"ผมไม่แน่ใจว่าอัตราการบริโภคของประชาชนที่ลดลงนั้น เกิดจากคนไม่มั่นใจในการบริโภค หรือคนเป็นหนี้จนบริโภคไม่ได้ ผมคาดว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจก็ยังไม่ดีขึ้น ยกเว้นว่าจะมีการเลือกตั้งที่จะสามารถฟื้นฟูดึงความเชื่อมั่น แต่จะด้วยวิธีใดนั้นคงบอกยาก"
นายสมชายกล่าวต่อไปว่า การส่งออกเริ่มชะลอตัว เพราะผลกระทบจากค่าเงินบาท ต่อไปนี้คือ "ของจริง" ค่าเงินบาทสูง การแข่งขันของเรายังไม่ดีขึ้น ดูได้จากไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้วจนถึงเดือนมีนาคมปีนี้ ลดลงไป 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ แสดงว่าการส่งออกมีการชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะมาจากปัญหาความไม่เชื่อมั่นของประชาชน
"ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่า มาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์ดีหรือไม่ดี ตลาดหุ้นจะขึ้นดีหรือไม่ดี ตรงนี้ไม่มีใครบอก ซึ่งจริงๆ แล้วผู้บริหารต้องเลือกว่าจะเอาอะไร จะถูกจะผิดไม่เป็นไร แต่เมื่อไม่เลือก ลอยไปลอยมาอยู่อย่างนี้ คนเลยเลิกใช้เงิน เพราะไม่รู้ว่าการเมืองจะไปทางไหน การตัดสินใจของรัฐบาลนั้นสำคัญ นักลงทุนนักธุรกิจจะตัดสินใจอะไรก็ต้องตัดสินใจหลังรัฐบาลทุกครั้ง เมื่อนักธุรกิจดูแนวทางของรัฐแล้ว แต่รัฐกลับไม่ชัดเจน การวางแผนทางธุรกิจก็ทำได้แต่ wait and see เกียร์ว่างกันทั้งระบบ" นายสมชายกล่าว