หน้า 1 จากทั้งหมด 1
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 17, 2007 2:41 pm
โดย bmw2681

Dollar Cost Average เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการลงทุน โดยมีหลักการคร่าวๆ คือ เราจะซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ในช่วงเวลาที่สม่ำเสมอ และใช้เงินลงทุนเท่ากันทุกครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้น และช่วยแบ่งเบาภาระในการลงทุนด้วยเงินจำนวนมากๆ
ตัวอย่างข้างบนคือ การลงทุนในหุ้น BIGC โดยเริ่มลงทุนตั้งแต่เดือนมกราคม 2005 กำหนดให้ซื้อ ณ ราคาปิดทุกๆวันที่ 10 ของทุกเดือน ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หากวันที่ 10 ของเดือนไหนตรงกับวันหยุดทำการ ให้ซื้อ ณ ราคาปิดของวันทำการถัดไป ในตัวอย่าง ใช้เงินลงทุน 10,000 บาท ในทุกๆครั้ง หากจำนวนหุ้นไม่เต็มจำนวนร้อย ให้ปัดลงเสมอ
ผลที่ได้คือ
1.เมื่อลงทุนครั้งเดียว ตั้งแต่แรก ใช้เงินลงทุน 280,000 บาท ซื้อ BIGC ณ วันที่ 10 มกราคม 2005 เทียบกับวันที่ 10 เมษายน 2007 ได้ส่วนต่างของราคา ประมาณ 183%
2.เมื่อใช้ Dollar Cost Average ได้ส่วนต่าง 78%
3.ลองใช้วิธีลงทุน ด้วยเงินทุนสะสมระยะหนึ่ง คือสะสมเงินครบ 1 ปี แล้วลงทุนครั้งหนึ่ง เท่ากับตลอดช่วงเวลาทดลอง สามารถใช้ได้ 2 ครั้ง ผลต่างที่ได้ เท่ากับ 28%
สรุปว่า DCA ช่วยสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี และช่วยลดภาระการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 17, 2007 6:32 pm
โดย javoel
สรุปว่า DCA ช่วยสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี และช่วยลดภาระการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก
ในความเห็นส่วนตัว ผมว่า ต้องทดลองทำซำๆ เเละใช้ระยะเวลาพอสมควร ก่อนที่จะสรุปออกมาเป็นหลักการลงทุนที่เเน่นอนครับ
เรียนคุณ bmw2681
โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 17, 2007 10:00 pm
โดย chartchai madman
ผมสนใจการศึกษาชิ้นนี้ของคุณมากๆครับ เพียงอยากถามเพิ่มเติมครับ ในกรณีของคุณ ที่ยกกรณีศึกษาของบิ๊กซี พอเข้าใจได้ครับเพราะเทรนของราคาบิ๊กซีนั้นราคาเพิ่มขึ้น แต่ในกรณีที่ราคามีแนวโน้มต่ำลง หรือกรณีที่ราคามีลักษณะไซด์เวย์ วิธีการซื้อ และผลตอบแทนจะต่าง หรือเหมือนกันเช่นไร คุณมีผลการศึกษากรณีทั้งสองนี้ไหมครับ ถ้ามีผลเป็นอย่างไรช่วยบอกจะเป็นพระคุณยิ่งครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
Re: เรียนคุณ bmw2681
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 18, 2007 9:49 am
โดย bmw2681
[quote="chartchai madman"]ผมสนใจการศึกษาชิ้นนี้ของคุณมากๆครับ เพียงอยากถามเพิ่มเติมครับ ในกรณีของคุณ
thank so much
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 18, 2007 1:52 pm
โดย chartchai madman
ขอขอบคุณ คุณ bmw2681 มากๆครับ สำหรับความรู้ที่มาแบ่งปันกันครับ
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 18, 2007 8:20 pm
โดย Ryuga
ตั้งแต่ลอยตัวค่าเงินบาท BIGC ก็กรอบเป็นข้าวเกรียบตามมาด้วยการเพิ่มทุนครั้งใหญ่ แม้กำลังการซื้อจะชะลอตัวแต่บริษัทก็ดำเนินงานได้ดียอดขายเพิ่มขึ้นและพลิกมากำไรในปี 43 เป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้นบริษัทก็เพียงแต่ปล่อยให้อำนาจเครือข่ายของตนแสดงผล กำไร BIGC โตเป็นเลขสองหลักอย่างสม่ำเสมอมาเรื่อยๆ (เว้นปี 46 ที่ได้แค่เกือบสองหลัก:lol:)ซึ่งตลาดย่อมต้องสังเกตเห็น แต่ราคาหุ้นจากปี 43 มาปี 47 ก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเพราะเมื่อเทียบเวลาเดียวกัน ปี 43 นั้นเต็มไปด้วยหุ้นราคาถูก ซึ่งต่อมาเมื่อตลาดกลับมาดีก็พบว่ามีหุ้น 3 เด้ง 5 เด้ง 7 เด้ง อยู่มากมาย ด้วยราคาหุ้นที่ไม่ไปไหนกลับทำให้ P/E ของ BIGC ต่ำลงเรื่อยๆ
มาปี 48 นี่เองที่พลังที่สะสมเอาไว้เกิดการระเบิด ช่วงที่ผ่านมาในปี 46 ความสนใจส่วนใหญ่ไปกระจุกที่หุ้นกระแส+หุ้นฟื้นตัว+หุ้นวัฏจักร ตลาดจะไม่สน BIGC ก็ไม่แปลกแต่ด้วยการประเมินค่าอย่างง่าย เราไม่จำเป็นต้องไปสนใจบริษัทที่ราคา 18.00 บาท P/E 20 เท่า และหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดราคาถูก แต่กับในสถานการณ์ที่ราคา 18.00 บาท เท่าเดิม P/E ไม่ถึง10 เท่า และหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมีราคายุติธรรม BIGC จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก บริษัทยังคงโตเป็นเลขสองหลักเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงฉะนั้นการตัดสินใจใช้ DCA ใน BIGC แทนการทุ่มซื้อทั้งหมดตั้งแต่แรกจะเป็นปัญหาขึ้นมาทันทีว่าเราคิดอะไรอยู่
สาเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจใดๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเมื่อมันผ่านไปเราก็ตามกลับไปแก้ไขไม่ได้ หากเราประเมินด้วยพื้นฐานในกรณี BIGC จะค่อนข้างชัดว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ DCA คืออยากเห็นข้อมูลเปรียบเทียบน่ะครับ :mrgreen: รบกวนพี่ bmw2681ช่วยคิดให้ด้วยซิครับว่าหากเราเลือกใช้ DCA หวิดไป 1 บริษัทเป็น BJC แทนมันจะเกิดอะไรขึ้น ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ :lol:
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 18, 2007 9:05 pm
โดย กุหลาบงามหลังฝน
dca เป็นการลงทุนที่ได้รับการยอมรับว่าได้ผลดีในหุ้นตัวที่มีพื้นฐานดีแต่ราคายังผันผวน dac จะไม่เหมาะกับห้นขาขึ้นตลอด(ไม่รู้จะมีไหมอิอิ) และขาลงตลอด
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 18, 2007 11:37 pm
โดย bmw2681
เหตุที่เลือก BIGC เพราะหุ้นตัวนี้ (ณ ต้นปี 2005) เกิดสัญญาณซื้อระยะกลางขึ้น (RSI month ทะลุระดับ 60%) ส่วน BJC เกิดสัญญาณขายระยะกลาง (หลุด SMA 20 week) ช่วงปลายปี 2004
เหตุที่นำ DCA มาแสดง ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า หากคุณมีข้อกำจัดเรื่องทุนที่มีไม่มาก และความมั่นใจในหุ้นที่อาจยังไม่ถึงขั้นอ่านขาด DCA เป็นวิธีหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจ
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2007 5:04 pm
โดย Ryuga
งั้นขอเป็นอะไรก็ได้ที่มีสัญญาณซื้อเมื่อต้นปี 48 เหมือนกันอีกซักสองสามตัวอย่างครับ เพราะถ้ามี BIGC เจ้าเดียวดูจะน้อยไปหน่อย :lol: มิอาจด่วนสรุป
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 20, 2007 10:51 pm
โดย Ryuga
ขออนุญาตเดาดูนะครับ :lol: คิดว่าน่าจะเป็นเพราะ BIGC ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมาตลอด(หมายความว่ามองย้อนจากตอนนี้) พอกลับไปดูพื้นฐานก็เห็นว่าดี แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อดีรึยังเพราะอาจเกิดมหกรรมเทกระจาดซ้ำรอยปลาย 45 ต้น 46 จะกลายเป็นซื้อเร็วไปจึงต้องใช้เทคนิคมาช่วย พอผ่านเทคนิคแล้วก็ยังไม่แน่ใจ DCA จึงเข้ามาตาม และพอเป็นเช่นนี้การศึกษานี้ก็ไม่อาจเรียกเป็น DCA ล้วนๆ ได้แต่จะกลายเป็น DCA+Technical ไป
หากเหตุผลที่เลือก BIGC คือสัญญาณเทคนิค ปัญหาก็ตามมาว่าปลาย 47 ต้น 48 นั้นมีทั้งน้อง De effect และ น้อง Jan effect หุ้นที่น่าจะเข้าข่ายมีสัญญาณซื้อพื้นฐานดีน่าจะมีอีกมากโดยเฉพาะใน SET 50 ที่ปกติผันผวนตามฝรั่ง ไม่มากบริษัทนักที่จะวิ่งมาสองปีเต็มเหมือน BIGC
อย่างที่ผมกล่าวไป การใช้สัญญาณเทคนิคแล้วตามด้วย DCA นั้นเป็นเหตุผลที่ยังไม่ชื่นใจเพราะเมื่อมีสัญญาณซื้อจึงซื้อโดย DCA จะหมายความว่าถ้าต่อมาเกิดสัญญาณขายขึ้นเราจะต้องขายหุ้นทิ้งไปเลยรึไม่ จะต้องทยอยขายรึเปล่า รึว่าจะคงซื้อต่อไปเรื่อยๆ ถ้าจะซื้อต่อไปตามหลัก DCA แล้วสัญญาณเทคนิคตอนแรกย่อมหมดความสำคัญไปเลย ฉะนี้จึงต้องมาเรียนถามความกระจ่างครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ :D
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 21, 2007 12:26 am
โดย bmw2681
[quote="Ryuga"] อย่างที่ผมกล่าวไป การใช้สัญญาณเทคนิคแล้วตามด้วย DCA นั้นเป็นเหตุผลที่ยังไม่ชื่นใจเพราะเมื่อมีสัญญาณซื้อจึงซื้อโดย DCA จะหมายความว่าถ้าต่อมาเกิดสัญญาณขายขึ้นเราจะต้องขายหุ้นทิ้งไปเลยรึไม่ จะต้องทยอยขายรึเปล่า รึว่าจะคงซื้อต่อไปเรื่อยๆ ถ้าจะซื้อต่อไปตามหลัก DCA แล้วสัญญาณเทคนิคตอนแรกย่อมหมดความสำคัญไปเลย ฉะนี้จึงต้องมาเรียนถามความกระจ่างครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 22, 2007 8:03 am
โดย Ryuga
ขอกรณีศึกษาอย่าง PDI หรือ TOP ก็ดีครับ เพราะ PDI ตั้งแต่ต้น 48 ผันผวนไปมาก่อนที่จะพุ่ง TOP พอพีกกันยาแล้วก็ขาลงแต่ก็ผันผวน อันว่าเราก็เดาราคาสังกะสีกับค่าการกลั่นไม่ถูกเช่นเดียวกับคนจำนวนมาก เช่นนี้แล้วเราจะจัดการพอร์ตอย่างไรด้วย DCA :D
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 22, 2007 6:41 pm
โดย bmw2681

การลงทุนด้วย DCA กับหุ้น PDI ตั้งแต่ต้นปี 2005 ได้ผลลัพธ์คือ ต้นทุนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 20.56 เทียบกับราคาปัจจุบันที่ 40.5 ได้ส่วนต่าง 97% ส่วนในความเห็นส่วนตัว PDI มีสัญญาณซื้อทางเทคนิค (สำหรับผม) ตั้งแต่เดือนมกราคม 49 ผลลัพธ์คือ ต้นทุนเฉลี่ยคือ 32.48 ส่วนต่างของราคาเทียบปัจจุบัน คือ 25%
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 29, 2007 4:23 pm
โดย Luty97
เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ ข้อดีของวิธีนี้คือ ได้ก็ได้ไม่มาก เสียก็เสียไม่เยอะ
ก็แค่นี้เองครับ ไม่น่าจะซับซ้อนอะไร เหมาะกับผู้ที่จะเก็บออมแบบเป็นระบบ :o
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 30, 2007 4:34 pm
โดย ดาวหางสีแดง
ความเห็นส่วนตัวนะครับ
DCA สำหรับผมนอกจากการเฉลี่ยการซื้อตามระยะเวลาแล้ว
มันยังต้องเฉลี่ยการซื้อออกหลายๆกลุ่มธุรกิจด้วยนะครับ
การซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว แม้จะเฉลี่ยซื้อตามระยะเวลาอย่างเป็นระบบก็ตาม สำหรับผมมันไม่ใช่ DCA ครับ
DOLLAR COST AVERAGE
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 30, 2007 5:29 pm
โดย Alastor
DCA ต้องมีการกระจายความเสี่ยงด้วยครับ เอามาซื้อหุ้นแค่ 1 ตัว ก็แล้วแต่หุ้นตัวนั้นว่า performance เป็นยังไง ลอง DCA กับ ITV ก็น้ำตาร่วงได้
ลอง run ผลใหม่กับ SET50 ดีไหมครับ เพราะถ้าออกมาใช้ได้จริงก็มีกองทุน SET50 Index Fund ให้เอาให้ apply จริงได้เลย ค่า commission ก็น้อย ถ้าบริษัทใน set50 มีปันผลก็ได้ NAV เพิ่มขึ้นด้วย