Thai VI

เนื่องจากว่า ตอนนี้ผมกำลังอ่าน

intelligent investor ของ graham ที่เพิ่งไปซื้อมา

จากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ

ไปเจอประโยคหนึ่งซึ่งท่านได้กล่าวว่า

"ไม่ช้าก็เร็ว ตลาดกระทิงดุ ทุกครั้ง

จะต้องจบลงอย่างเจ็บปวด"

เลยอยากลองถามเล่น ๆ ว่า ถ้าพวกคุณอยู่ในช่วงนั้นจะ

ทำอย่างไรเอาตามความเป็นจริง นะครับ

ห้ามตอบตามทฤษฎี

พวกคุณจะทนไหวเหรอที่ดูหุ้นทุกตัวมันขึ้นไปอย่าง

รวดเร็ว โดยคุณไม่มีส่วนร่วมเลย (เป็นผมคงไม่ไหว)

(ถ้าวีไอ พันธ์แท้คงทนไหว)

ผมว่า ส่วนใหญจะต้องคิดว่า อีกหน่อยน่า ยังไม่ร่วงใน

อาทิตย์นี้หรอก หรือยังไม่ร่วงในเดือนนี้หรอก

(ถ้าเปรียบหุ้นไทยก็คงย้อนให้คุณไปอยู่ในสมัย

ก่อนปี 40 ตอนหุ้นอยู่ 1200 จุด

แล้วกำลังวิ่งเป็นกระทืงดุขึ้นเรื่อย ๆ โดยสมมติให้

คุณยังไม่รู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร)

พวกคุณอยู่ในช่วงนั้นจะทำอย่างไรระหว่าง

1.ขายตั้งแต่ 1000 จุดแล้ว พีอีสูงจะตาย แล้วดู

หุ้นมันวิ่งขึ้นทุกวัน ๆ อย่างน้ำลายไหล แต่ก็พูดกับตัวเอง

ว่า เดี๋ยวมันก็วินาศแน่อน

2.โอกาศอย่างนี้ก็ต้องถือหุ้นซิครับ ใครกำเงินสดก็บ้าแล้ว

เดี๋ยวให้ไป ...... จุดค่อยขาย ผมออกทันอยู่แล้ว

3.ขอมีส่วนร่วมหน่อย แต่ลดพอร์ต ลงเรื่อย ๆ เมื่อหุ้นวิ่ง

ขึ้นไป ถือคติยิ่งสูงยิ่งหนาว

4.วิธีอื่น ๆ

**************************

ผมถามเอาไว้เพื่อเป็นความรู้ เนื่องจากผมว่า ไม่ช้าก็เร็ว

ยังไง มันก็ต้องมีตลาดกระทิงดุในไทยอีกแน่นอน

จะได้จัดการถูก และถามสนุก ๆ ด้วยอยากรู้ความคิดของ

พวกท่าน ๆ ว่าคิดอย่างไร

(เป็นผมคงตอบข้อ 2 แน่เลย คงคิดว่า ตัวเองคงออกทัน

ขออีกหน่อยน่า อะไรประมาณนี้)

อ้อ ถ้าใครมีประสบการณ์จริงในการผ่านช่วงตลาด

กระทิงดุ จะเล่าเป็นอุทาหรธ์ ว่าท่านจัดการพอร์ต

ของท่านอย่างไร แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร

จักเป็นพระคุณยิ่ง

ถ้าตลาดกระทิงดุมาก  :shock:  ยังไงก็ไม่เข้าไปซื้อแน่นอนครับ ส่วนเรื่องขายนี่ถ้า over มากๆ ซึ่งผมว่าหลายคนมีเกณฑ์ของตัวเองอยู่แล้ว ว่าสูงขนาดไหน ยังไงก็ขายแน่นอนครับ ไม่ถือหุ้นก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้กังวลอะไร รอได้ก็รอครับ หุ้นมีขึ้นมีลงเสมอ ไม่เข้าไปร่วมวงบนดอยตามใครแน่ๆครับ

อยู่เฉยๆ สิครับ

เหมือนตอนที่ราคาหุ้นยังไม่มี Margin of Safety อะ

ถ้ามันเกินมูลค่าที่แท้จริงไปมากๆ
ก้อทยอยลดสัดส่วนการถือครองไป
แล้วไปช้อนตอนตลาดหมี

ครับ

ผมทำได้นะแบบนี้  8)  ...

ป.ล. สำหรับหุ้นที่มี High Performance & High Corporate Governance เท่านั้น ครับ ...

จากประสบการณ์จริงของผมนะครับ

ในช่วงที่อดีตนายกทักษิณชนะเลือกตั้งเป็นครั้งแรก

หุ้นของสถาบันการเงินวิ่งขึ้นอย่างมากมาย  Warrant วิ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ผมเองถือหุ้นที่ไม่ได้อิงกับตลาดมากนัก  ต้องทนทุกข์  อดทน  ต่อกิเลสอย่างมาก  จนผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งยากลำบากที่สุดในการลงทุนแนว VI

ผมได้แต่คอยย้ำเตือนตัวเองจากประสบการณ์ที่เคยเห็นมาในอดีต

และแล้วเมื่อราคาของหุ้นเหล่านั้นปรับตัวลดลงตามสภาพความเป็นจริง

ก็ทำให้ผมมั่นใจในแนวทาง VI มากขึ้น

แต่สำหรับบางท่านที่มีความสามารถพิเศษ  อาจคิดว่าตลาดกระทิงก็เปลี่ยนไปซื้อหุ้นตลาดชั่วคราว  ตลาดซบค่อยกลับมาหาหุ้น VI

สำหรับผมแล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรตลาดจะจบรอบกระทิง  เมื่อไรแค่ปรับฐานแล้ววิ่งต่อ  ชีวิตสับสนวุ่นวายครับ  ผมเลยไม่เอาดีกว่า

ซื้อแบบ  VI  
ดูแรงกรรมของผลประกอบการ

ถือแบบ  VSOP  
เฝ้าดูแรงกรรมของผลประกอบการผสมกับแรงกรรมของตลาดฯ

แต่ขายแบบ  VSOP     ตามแรงกรรมแห่งความโลภของคนในตลาดครับ
           

ไปหาหุ้นคนไม่สนใจแต่เป็นหุ้นคุณค่า และรอ ครับ

รักพี่เสียดายน้องครับ
ผมจะแบ่งเงินมาซัก 10% แล้วลองเสี่ยงดูซื้อแล้วทิ้งเอาไว้ ถ้าราคามันขึ้นก็ให้มันวิ่งไปเรื่อยๆ แค่ถ้ามันลงมาซัก 30-40% ก็ขาย การทำแบบนี้จะทำให้เราไม่เสียโอกาสที่จะได้รับบทเรียน(ถ้าหุ้นลง) แต่ถ้าหุ้นมันขึ้นเราจะได้เอาไว้โม้ข่มชาวบ้านและเป็นความมันส์ในชีวิต แต่ 90% ของพอร์ตยังเป็น VI อยู่นะครับ

ผมตั้งข้อสังเกตุว่าภาวะกระทิงจะมาพร้อมกับอัตตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนะครับถ้าอัตตราดอกเบี้ยเกินด10% ผมคงขายหุ้นทิ้งทั้งหมดมาฝากธนาคารดีกว่า
ปลอดภัยดี ส่วนธุรกิจต่างๆคงตายแน่ๆ และธุรกิจที่จะรอดจะต้องมีหนี้สินน้อยๆ

ถ้าหุ้นที่ถือไม่วิ่ง ก็รออย่างเดียว
ถ้าวิ่งก็ถือว่าได้อานิสงฆ์ไปด้วย