หน้า 1 จากทั้งหมด 1

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 11:50 am
โดย beammy
ของผม 30% หรือมากกว่า จากมูลค่าพื้นฐานกิจการที่คำนวณได้ ครับ  8)  ...
เฉพาะกิจการที่ดีๆ และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ เท่านั้น ครับ
ถ้าบริษัทใด มีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล
หรือดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการ แล้วมีพวกแปลกๆ ปนเข้ามา
อันนี้ไม่ต้องเผื่อเลยครับ เลิกดู!

ตัวอย่างเช่น Fair Value ที่ผม "คำนวณได้เอง" อยู่ที่ 10 บาท
ถ้าหุ้นนั้น ไม่ลงมาถึง 7 บาท ก้อไม่ซื้อ รอต่อไป
รอเป็นลิงเลยครับ ไม่ลงมาซักที

อิอิ

เพื่อนๆ เผื่อกันไว้เท่าไรบ้าง ครับ ...

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 12:29 pm
โดย naris
สำหรับผมคงไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนครับ เพราะขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น
1time ว่าจะถือสั้นระดับรายไตรมาทหรือยาวระดับราย5ปีเป็นต้น แต่ขอแนะนำว่าที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีผมเจอหมีตะปบเพราะการเก็งระยะสั้น กลยุทธ์ปีนี้ก็เลยจะเน้นระยะยาวมากขึ้น(เอาไว้มีเวลาจะเขียนประสบการณ์การผิดศิลVIในการเก็งกำไรระยะสั้นเมื่อต้นปีให้ฟังครับ)
2down side ที่กำไรของบ.จะลดลงในระยะเวลาที่เกี่ยวกับข้อที่1
3up side ที่กำไรของบ. จะเพิ่มในระยะเวลาที่เกี่ยวกับข้อที่1
4popของความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นที่ทำให้เกิดข้อ2และ3ในระยะเวลาที่1

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 1:51 pm
โดย beammy
ขอบคุณพี่นริศมากครับ

ท่านอื่นใช้แนวไหนอยู่บ้างฮะ ...

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 2:42 pm
โดย thawattt
มีนิทานของต่างประเทศเรื่องหนึ่งนะครับน่าสนใจมาก

มีกลุ่มเม่นกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ที่สถานที่ ที่อากาศหนาวเย็นมาก

ตอนกลางคืน กลุ่มเม่นเหล่านี้เวลานอนร่วมกัน ก็ต้องเข้าหากันเพื่อให้ความร้อนของเพื่อนเม่นด้วยกันมาช่วยทำให้เกิดความอุ่น

เมื่อเข้ามาใกล้กันมากเกินไป ขนของเม่นแต่ละตัวก็แทงเข้ากับเนื้อของเม่นที่เข้ามาใกล้ ต่างคนต่างก็เจ็บปวดจากขนเม่นที่ต่างทิ่มแทงซึ่งกันและกัน

แล้วฝูงเม่นก็แก้ปัญหาด้วยการทิ้งความห่างกันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ  ความห่างกันดังกล่าว ก็ทำให้เกิดปัญหาใหม่ว่า อากาศหนาวจากภายนอกได้ส่งผลกระทบกับฝูงเม่นดังกล่าว ทำให้ทนความหนาวไม่ค่อยได้

ตรงนี้จึงทำให้ฝูงเม่นเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้นมาว่า

หากใกล้ชิดมากไป ก็อาจบาดเจ็บจากขนเม่นของเพื่อนที่ทิ่มแทง

หากห่างกันเกินไป ก็จะทำให้ทนกับอากาศหนาวไม่ได้

สุดท้ายก็เลยห่างกันอย่างพอประมาณ ทำให้ทนอากาศหนาวได้ และทำให้ขนเม่นของเพื่อนในกลุ่มไม่ทิ่มแทงโดนตนเองด้วย และทำให้ตนเองและเพื่อนในกลุ่มก็ทนความหนาวได้อีกด้วย

ผมคิดว่า ความห่างของขนเม่น ก็เหมือน Margin of safety

มี Margin of Safety น้อยเกินไป โอกาสที่จะโดนทิ่มแทงก็มาก เพราะใกล้กับราคาที่ควรจะเป็น ถ้าพลาดก็เจ็บตัวมากได้ง่าย

คิดจะได้หุ้นที่มี Margin of Safety มาก ๆ แต่มากเกินควร ก็อาจจะรอแล้วรอเล่า รอจนหนาวแล้วหนาวหน้าอีก และราคาก็ปรับตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่ได้ซื้อซักที บางครั้งรอจนราคาที่สูงไปมากจนท้อ และก็ไม่เห็นหุ้นดีดังกล่าวลงมาให้สอยได้ซักที ก็เลยพลาดโอกาสที่ดี แม้จะวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว แต่พลาดจังหวะการซื้อที่เหมาะสมครับ จนโอกาสก็ลอยผ่านไปเรื่อย ๆ

ตรงนี้จึงเป็นศิลปเหมือนกัน ที่ต้องเรียนรุ้ศิลปการซื้อ ที่ต้องรอก็ต้องรอ ที่จังหวะที่ควรต้องซื้อ ก็ต้องกล้าตัดสินใจซื้อ

การอดทนรอคอยในเวลาที่เหมาะสม การมีวินัยในการซื้อเมื่อราคาลงมาถึงจุดที่ควรต้องซื้อ ใจเป็นเรื่องสำคัญครับ ซึ่งก็คงต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไป โดยการพัฒนากลยุทธ์และกลวิธีของตนเองขึ้นมา

เช่น บางครั้งก็อาจใช้วิธีการทะยอยซื้อ แทนที่จะซื้อ Lot เดียวทีเดียวไปเลย บางครั้งอาจซื้อ Lot นิดหน่อยเพื่อติดตามผลงานไปซักระยะหนึ่งจนมั่นใจจริงๆ บางครั้งต้องอดทนไม่ซื้อถ้าราคาแพงมาก แต่ก็หาทางลดความเสี่ยงโดยการหาความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจไปก่อน อดทนรอคอยแบบเหยี่ยวที่มองเหยี่อโดยไม่กระพริบ แต่เมื่อถึงเวลา ก็พร้อมตัดสินใจโฉบล่าเหยื่อโดยไม่ลังเลใจ (บัฟเฟทใช้บ่อย บางครั้งราคายังไม่สมควรซื้อก็รอคอยได้ แต่เมื่อได้จังหวะ ก็ตัดสินใจซื้อได้ทันทีไม่ลังเลใจ อันนี้เกิดจากการที่บัฟเฟทมีการเรียนรู้มาก่อนตั้งนานแล้วครับ ไม่ใช่ ณ เวลาที่ซื้อครับ)

การมี Margin of Safety ที่เผื่อเหลือเผื่อขาดนั้นคงไม่มีสูตรตายตัวนะครับ แต่เราสามารถใช้การเรียนรู้ และพัฒนาวิธีการ ค่อย ๆ ปรับใช้ จนได้ Margin of Safety ของหุ้นที่มันดูเหมาะสมที่สุดสำหรับเฉพาะตัวของเราขึ้นมา

ซึ่งวิธีการดังกล่าว สุดท้ายเราก็จะได้วิธีการที่เป็นทางสายกลางที่เหมาะสม และสามารถอยู่ร่วมกับหุ้นที่เราคิดว่าเป็นหุ้นที่ดี มี Margin of Safety พอประมาณลองรับกับความเสี่ยง ไม่เจ็บตัวมากไป และไม่ต้องทนรอเกินควรทำให้เสียโอกาสครับ

ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันรึเปล่านะครับ แต่ผมคิดแบบนี้ครับอิ อิ  :lol:

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 2:51 pm
โดย kok2029
naris เขียน:เอาไว้มีเวลาจะเขียนประสบการณ์การผิดศิลVIในการเก็งกำไรระยะสั้นเมื่อต้นปีให้ฟังครับ

มารอฟัง ครับผม :lol:

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 3:34 pm
โดย birdflu
[quote="thawattt"]มีนิทานของต่างประเทศเรื่องหนึ่งนะครับน่าสนใจมาก

มีกลุ่มเม่นกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ที่สถานที่ ที่อากาศหนาวเย็นมาก

ตอนกลางคืน กลุ่มเม่นเหล่านี้เวลานอนร่วมกัน ก็ต้องเข้าหากันเพื่อให้ความร้อนของเพื่อนเม่นด้วยกันมาช่วยทำให้เกิดความอุ่น

เมื่อเข้ามาใกล้กันมากเกินไป ขนของเม่นแต่ละตัวก็แทงเข้ากับเนื้อของเม่นที่เข้ามาใกล้ ต่างคนต่างก็เจ็บปวดจากขนเม่นที่ต่างทิ่มแทงซึ่งกันและกัน

แล้วฝูงเม่นก็แก้ปัญหาด้วยการทิ้งความห่างกันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 4:54 pm
โดย naris
kok2029 เขียน:
มารอฟัง ครับผม :lol:
เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะครับ(ถ้าว่าง)เพราะวันนี้คุณthawatttเล่นถามคำถามในTNHเอาซะผมต้องไปพลิกตำรารื้อฟื้นความจำกันตอนซื้อTNHใหม่ๆเลยครับ(ใช้เวลาตอบเป็นชม.เลย)
แต่ผมว่าการเล่าประสบการณ์คงมีประโยชน์ให้กับคนที่อยากเก็งกำไรแน่นอนครับ :D

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 8:22 pm
โดย BHT
ผมคิดว่าเหมือนไปเดินห้าง ติดป้ายลดราคาสัก 15% ก็เริ่มสนใจซื้อแล้ว

ไม่ก็ถ้ามากองๆแล้วลด 50% แบบนี้ เห็นสาวๆรุมกันเพียบ โดยเฉพาะสินค้าสำหรับสาวๆโดยตรง

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 10:28 pm
โดย javoel
ของผม เเบบส่วนตัวนะครับ  อย่างน้อย (ที่สุด) 15 เปอร์เซนต์ ครับ

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 11:24 pm
โดย Blueblood
เวลาหาหุ้นแต่ละครั้งผมจะหวังผลไม่ต่ำกว่า 50% ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ดังนั้นผมชอบตัวเลข 30% ครับ เพราะเมื่อรวมปันผลแล้วอัตราหวังผลจะประมาณ 50% พอดีเลย :P

ส่วนจะทำได้จริงเท่าไหร่ก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆและการวิเคราะห์ว่าจะถูกต้องมากแค่ไหนครับ :)

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2007 11:30 pm
โดย MarginofSafety
หุ้นดีจริงๆ ยอมซื้อที่ Fair Price ครับ
ถ้าลงมาก็ซื้อต่อ
ลงทุนแบบเฉลี่ยโอกาส ...  :lol:

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 08, 2007 6:48 am
โดย thawattt
คุณ HVI
ลงทุนแบบเฉลี่ยโอกาส ...

แล้วไม่เฉลี่ยความเสี่ยงด้วยหรือครับ เออ แล้วจะเฉลี่ยความเสี่ยงอย่างไรดีหละครับ อิ อิ

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 10, 2007 9:52 am
โดย adi
ไม่เคยใช้ margin of safety ในลักษณะเป็นเปอร์เซนต์แบบนี้ แต่จะใส่ assumption แบบ pessimistic เพื่อหาจุดซื้อมากกว่า

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 10, 2007 2:14 pm
โดย javoel
แต่จะใส่ assumption แบบ pessimistic เพื่อหาจุดซื้อมากกว่า
คืออะไรเอ่ย ช่วยชี้เเนะด้วยครับ

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 10, 2007 3:23 pm
โดย CK
หุ้นดีๆ ก็เหมือนกับสาวๆ สวยๆ ระดับดาวคณะ
ถ้ามัวแต่รีรอให้ดอกฟ้าโน้มลงมาหาเอง ไม่ลงทุนเลย
จะพาลโดนหนุ่มอื่นๆ เก็บไปซะหมด ได้แต่แห้วไปกิน

ส่วนหุ้นไม่ดี ก็เหมือนสาวประเภทสอง ดูเหมือนสาวสวย
ถ้าไม่ใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ ผลีผลามเข้าไปจีบ
เผลอได้ติดมือมา พบความจริงทีหลัง จะช้ำใจ
จะบอกเลิกกลับยากกว่าตอนจีบเสียอีก :lol:

สรุปว่า ขึ้นกับหุ้นครับ ไม่ได้ขึ้นกับ "ตัวเลข"

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 10, 2007 3:56 pm
โดย naris
:shock: ชัดเจนมากๆครับพี่ หยั่งงี้เวลาจีบๆบ.ไหนแล้วชอบมากๆอยากจะรวบรัดอย่างรวดเร็ว ก็ต้องถามตรงๆเลยซิครับว่า
"เธอ พี่ขออะไรซักหน่อยได้ไหมจ๊ะ พี่ขอจับxxดูหน่อยซิว่า เธอติดแต๊ปไว้หรือเปล่า" :lol: (ถูกแบนไหมเนี่ย)

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 10, 2007 4:18 pm
โดย javidol
^
^
^
^
^
:la:  :la:  :la:

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 10, 2007 4:52 pm
โดย adi
javoel เขียน: คืออะไรเอ่ย ช่วยชี้เเนะด้วยครับ
คือใส่สมมุติฐานตอนคำนวณมูลค่าให้เซฟๆเข้าไว้ เช่น sales growth, operating margin, chg WC, inc. capex etc....

เช่น ปกติคาดว่า ยอดขายเติบโตปีละ 15% แต่ถ้าเลวร้ายที่สุดน่าจะประมาณ 5% ก็ใส่ไป 5%

+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 10, 2007 5:13 pm
โดย thawattt
คุณนริศ
ชัดเจนมากๆครับพี่ หยั่งงี้เวลาจีบๆบ.ไหนแล้วชอบมากๆอยากจะรวบรัดอย่างรวดเร็ว ก็ต้องถามตรงๆเลยซิครับว่า
"เธอ พี่ขออะไรซักหน่อยได้ไหมจ๊ะ พี่ขอจับxxดูหน่อยซิว่า เธอติดแต๊ปไว้หรือเปล่า"
ระวังนะครับ เดี๋ยวนี้ เทคโนโลยี สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างนะครับ ขนาดเห็นด้วยตาก็แล้ว สัมผัสก็แล้ว ยังเป็นของปลอมได้เลยครับ

ผมว่าต้องใช้ต้องสติ ปัญญา ของเรานี่แหละครับ  และทำการบ้านเชิงลึกแบบที่คุณนริศทำนั่นแหละครับ ถึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลลึก ๆ เด็ด ๆ ได้ครับ แล้วเราถึงจะสามารถจำแนกบริษัทที่ดีได้ครับ

สัมผัสผิวเผินในยุคนี้ค่อนข้างเสี่ยงมาก ๆ ทีเดียวครับ รุ่นพี่ ๆ ทั้งหลายเขาถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้าคิดจะเป็น VI แท้ต้องให้เวลาและหัดทำการบ้านอย่างเป็นจริงเป็นจังให้มาก ๆ และหาประสบการณ์เรียนรู้จนทำให้เรามั่นใจจริง ๆ เท่านั้นครับ ต้องรู้ขนาดที่ว่า มีใครถามคำถามเกี่ยวกับธุรกิจที่เราลงทุนนั้น เราต้องสามารถตอบได้ทุกคำถามด้วย เพราะผ่านการกลั่นกรองข้อมูลที่สำคัญอย่างรอบคอบเป็นอย่างดีครับ ถึงเรียกว่าเราลงทุนให้เหมือนเป็นเจ้าของกิจการจริง ๆ ครับ

ดูชาว VI เห็นลงทนแล้วไม่ต้อง Trade บ่อย ๆ นึกว่าง่ายดีครับ แต่กว่าจะถึงขั้นตอนตรงนั้นครับ ต้องผ่านการพิจารณาและทำการบ้านมาไม่ใช่น้อยเลยครับ ผมอ่านหลาย ๆ ท่านที่เขียนให้ความเห็นไว้ทำให้เห็นภาพเลยว่า นักลงทุนแบบมืออาชีพเขาต้องระมัดระวังและเลือกลงทุนให้รอบคอบอย่างไรครับ

หุ้นธรรมดามีมาก แต่หุ้น Superstock และราคาไม่แพงนั้น ต้องอาศัยเวลาค้นหากันหน่อยครับ ขนาด ฟิชเชอร์ ยังต้องให้เวลากับหุ้นที่เลือก แถมเลือกได้แล้วยังให้เวลากับบริษัทนั้น ๆ ถึง 3 ปี เพื่อให้แสดงผลงานตามศักยภาพที่เขามองเห็นได้อีกหุ หุ ของเราแค่ไตรมาสเดียว ปีเดียว  ก็แย่แล้ว นั้นมองทะลุไป 3 ปี บัฟเฟทมองทะลุเป็น 10 ปีครับ

แล้วไปถามตรง ๆ แบบคุณนริศ สงสัยจะยากจะได้คำตอบมั้งครับ สาวคนนั้นคงไม่ยอมบอกความจริงแน่ ๆ  5555555  :lol: