เงินออมของผม 100% อยู่ในตลาดหุ้น
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ เม.ย. 01, 2007 7:56 pm
คัดลอกจาก Biz Week Web Site, Business and General news in Thai language
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2550
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2550
นานๆจะมีคนที่สนับสนุนให้ลงทุนในตลาดหุ้น 100% ครับเงินออมของผม 100% อยู่ในตลาดหุ้น
หากจะนำประสบการณ์การออมและการลงทุน
ของผู้บริหารสถาบันการเงินอย่าง "ธีระ ภู่ตระกูล" ผู้บริหาร บลจ.ฟินันซ่า
มาเป็นแนวทางเก็บออมและลงทุนให้กับมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไป
ก็คงไม่เหมาะเจาะสักเท่าไหร่ แต่มีบางประเด็นที่ "ธีระ ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจ
เขาบอกว่า แม้จะเริ่มต้นด้วยเงินเดือน 14,000 บาท เมื่ออายุ 21 ปี ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับสูง
และจนถึงขณะนี้กินเงินเดือนผู้บริหารระดับสูง
แต่ถ้านับลำพังเงินออมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จนถึงวันนี้
เขายังมีไม่ถึง 10 ล้านบาท
"ผมเริ่มลงทุนจากเงินเดือนทำงานครั้งแรกหมื่นสี่พันบาท ก็เริ่มต้นจากตรงนั้น
ปัจจุบันถ้าคิดผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ยังมีไม่ถึง 10 ล้านบาท"
ธีระบอกว่า ลำพังผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ไม่มีทางเก็บออมได้ถึง 10 ล้านบาทอย่างแน่นอนเนื่องจากนโยบายการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
จะเน้นลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ เป็นหลักจึงทำให้เงินที่ถูกหักจากเงินเดือนไม่เติบโต
แต่การนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างหาก ที่ทำให้การลงทุนของเขาบรรลุเป้าหมายในระยะยาว
ปัจจุบันเงินลงทุนส่วนตัวของธีระ 100% อยู่ในตลาดหุ้น
โดยเฉพาะในตลาดหุ้นต่างประเทศ เขาให้น้ำหนักลงทุนมากถึง 80%
"เงินลงทุนส่วนตัวของผมส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดหุ้น
แม้หลายคนจะมองว่ามีความเสี่ยงสูง แต่ตอนนี้ตลาดเปิดกว้างขึ้น
การนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์
จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียว
ขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะเอาความปลอดภัยไว้ก่อน
จึงลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เงินฝาก เมื่อผลตอบแทนสุทธิระยะยาว
(หลังหักเงินเฟ้อ) จะได้ผลตอบแทนที่ต่ำมากเพียง 0-3%
เพราะเงินเฟ้อกินหมด แต่ถ้าลงทุนในหุ้นจะได้ผลตอบแทนสุทธิสูงถึง
5-9% ต่อปี"
ธีระบอกว่า จุดดีของการกระจายความเสี่ยงในหลายประเทศ
ก็จะช่วยกระจายความเสี่ยงออกไป อีกประเด็นคือ
เป็นการลงทุนระยะยาว เพราะเงินก้อนนี้ไม่ได้ใช้
"ตอนนี้ผมอายุ 44 ปี ก็คาดว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 40 ปี
ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นที่ผ่านมาของผม ทำได้ราว 10%
ต่อปี ซึ่งเชื่อว่าระยะยาวไม่น่าหนีไปจากนี้เท่าไร
ถ้าหากเงินเฟ้อยังอยู่ระดับนี้"
"หลักการ Asset Allocation ของพอร์ตผม ยังไม่เปลี่ยน
เพราะเราลงทุนระยะยาว ไม่จำเป็นต้องปรับพอร์ตบ่อย
อย่างลงทุนในหุ้น 100% ก็ยังลงทุนต่อไป
ยิ่งตลาดหุ้นปรับตัวลงมาอย่างนี้ยิ่งน่าสนใจ
ขณะที่ผมจะลงทุนในตราสารหนี้ส่วนน้อยมาก รวมถึงอสังหาริมทรัพย์
ที่ผมติงว่าสภาพคล่องมีน้อย"
สำหรับการวางเป้าหมายมีเงิน 10 ล้านบาท ก่อน 60 ปี
สำหรับคนที่ต้องการเกษียณอย่างเพียงพอนั้น
ธีระมั่นใจว่าทุกคนสามารถทำได้ถึงเป้าหมายนี้
"ผมรับประกันได้ว่า คนอายุ 30 ปี ปัจจุบันมีเงินเดือน 3 หมื่นบาท
สามารถบรรลุเป้าหมายมีเงิน 10 ล้านบาทเมื่อเกษียณแน่นอน เช่น
แบ่งเงินลงทุนเดือนละ 1 หมื่นบาท และทำให้ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี
ก็จะได้ 17 ล้านบาทตอนเกษียณ
แต่ผลตอบแทนที่ได้จะขึ้นกับผลตอบแทนและระยะเวลา
ตลอดจนขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้ด้วย
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่จะเอาผลตอบแทน 8-10% ต่อปี
จากแหล่งลงทุนไหน ที่แน่ๆ ไม่ใช่การฝากเงินหรือลงทุนพันธบัตร
แต่ต้องกระจายลงทุนไปยังตลาดหุ้น ตราสารโภคภัณฑ์
หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ธีระทิ้งท้ายว่า เหตุที่คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึงดวงดาว
เพราะมัวแต่ฝากเงินกินดอกเบี้ย เขายกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ
อย่างกรณี กองทุน กบข.ของข้าราชการทั้งประเทศ ที่ปีที่แล้ว
(2549) ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน 3.6% ต่อปี ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 4%
"คิดดูว่า เป้าหมายการเงินในอนาคตของข้าราชการเมืองไทยจะเป็นอย่างไร
ที่เงินเกษียณผูกติดอยู่กับนโยบายการลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้เป็นหลัก"
ธีระกล่าว