หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ขออาจหาญ สรุปภาพรวมความคิดปรมาจารย์การลงทุน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 23, 2007 8:14 pm
โดย GrahamDodd
ถ้าเคยอ่าน The intelligent investor เราจะรู้ว่า เกรแฮมต้องการวางหลักและทัศนคติให้กับนักลงทุนทั่วๆ ไป ที่ไม่ใช่นักธุรกิจ โดยเกรแฮมเน้นไปที่ตัวเลขเชิงปริมาณอย่างมาก เพราะเชื่อว่าถ้าผู้บริหารเก่ง ตัวเลขต้องสะท้อนออกมาอย่างแน่นอน

หลักสำคัญคือ 1. Margin of safety 2. Diversification 3. Mr.Market

สังเกตว่า เบนไม่ได้เน้นแค่ค่า P/E, P/BV ที่ต่ำ แต่เน้นไปที่ Diversification ด้วย เพราะเบนคิดว่า ธุรกิจนั้นสำหรับนักลงทุนภายนอกย่อมไม่สามารถคาดเดาอะไรได้มาก จึงต้องป้องกันความผิดพลาด

ดังนั้น เวลาลงทุน ถ้าคิดเพียงว่า ไอ้นี้ P/E ต่ำ ดังนั้น คือ ปลอดภัย หรือ คุ้มค่า นี่อันตราย เพราะถ้าศึกษาประวัติของบริษัทอื่น ๆ จะพบว่ามีหลายบริษัทที่แต่ก่อน P/E ต่ำ แต่ต่อมาขาดทุนทำให้ P/E สูงมหาศาลตามมาด้วยการลดลงของ P/BV จนต่ำกว่า 1 (เช่น Grammy)

ดังนั้น ก่อนจะเชื่อมั่นอะไรมาก ๆ โดยเฉพาะกับหุ้นที่ P/BV หรือ P/E สูง ต้องศึกษาอย่างค่อนข้างละเอียดทีเดียว เพื่อมั่นใจว่า เราไม่ได้ซื้อแพงเกินไป
ซึ่งก็โยงไปถึง Warren Buffett

วอร์เรนบอกว่า การลงทุนไม่เกี่ยวข้องกับ Ratio พวกนี้เลย มันสำคัญแค่ว่า กระแสเงินสดสำหรับเจ้าของกิจการตลอดอายุธุรกิจเมื่อ discounted แล้ว มันคุ้มหรือเปล่าสำหรับเราที่จะซื้อ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า โมเดลที่วอร์เรนใช้ในปัจจุบันคือ Discounted Cash Flow นั่นเอง

เพียงแต่สำหรับวอร์เรน เขามีการนิยามตัวแปรบางอย่างที่แตกต่างไปจากคนอื่นคือ

1. กระแสเงินสด= net income + depreciation&amortization - Capital Expenditure

2. Discount Rate วอร์เรนใช้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลซึ่งเป็นอัตราที่เรียกว่า Risk Free

ดังนั้น การใช้โมเดลนี้ จึงต้องมั่นใจพอสมควรว่า  ธุรกิจนั้นไม่ผันผวน มีความสม่ำเสมอในการเติบโต กิจการไม่มีการแข่งขันที่จะบังคับให้ต้องแทนที่เครื่องจักรซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้เราคาดเดากระแสเงินสดได้โดยผิดเพี้ยนน้อย

พอพูดถึงโมเดล ก็ต้องพูดถึง Charlie T. Munger เพราะนายคนนี้บอกมาว่า A man with a hammer tends to look at every problem like a nail....คนที่มีค้อนมองทุกปัญหาเป็นตะปูไปหมด ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงของมนุษย์เลยทีเดียว เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ปัญหาทุกปัญหาไม่ได้เหมือนกันหมด ดังนั้นการเอาวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่งไปใช้กับอีกปัญหาหนึ่งจึงทำให้แก้ปัญหาใหม่ไม่ได้หรือไม่ได้ผลดี

ทีนี้ จะทำอย่างไร ไม่ให้มีแต่ค้อนล่ะ นายชาร์ลีก็บอกว่า ต้องมี Tool Box. ซึ่งมันก็คือ mental model

mental model คืออะไร ถ้าเคยลองอ่านเรื่อง only the paranoid survive ซึ่งนายชาร์ลีแนะนำไว้ จะพบโมเดลอย่างน้อยสองแบบ คือ 1. Six-Force Model ซึ่งดัดแปลงจาก Five-force model ของไมเคิล อี พอร์เตอร์ 2. Radar Model คือ ผู้บริหารต้องทำตัวเหมือนเรดาห์ คอยรับรู้ข่าวสารจากคนที่อยู่ในสนามรบ มีสัญญาณกระพริบต้องคอยมอง คอยพิจารณา ห้ามด่วนสรุป

โมเดลอีกอย่างหนึ่งคือ pilot model. เป็นการจำลองเสมือนนักบินที่ก่อนจะเอาเครื่องขึ้นต้องตรวจสอบว่าทุกอย่างไม่มีปัญหาตาม Checklist เช่นเดียวกับการลงทุน ที่จะต้องมี Checklist สำหรับบริษัทที่มีลักษณะต่าง ๆ กันก่อนจะลงทุนเพื่อป้องกันจุดบอดที่ตัวเองอาจคิดไม่ถึง

นอกจากนี้ ชาร์ลียังช่วยให้เราพบว่า เราต้องมีโครงคอนเซปท์ของวิชาการพื้นฐาน 5 อย่างอันได้แก่ ฟิสิกส์ เลข เคมี ชีววิทยา จิตวิทยา อยู่ในหัว แล้วจัดข้อเท็จจริงที่ได้อ่านเจอที่อื่น ๆ โดยเอามันไปแขวนไปตามโครงที่เรามีในหัว เราก็จะมีความรู้ที่เป็นระเบียบสามารถคิดต่อไปได้ ถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เวลาวิเคราะห์ธุรกิจ เราสามารถมองเห็นโอกาสและหายนะได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ถ้าเพียงแต่อ่านข้อมูลแล้วจำเข้าไป มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

หมายเหตุ ถ้าบทความนี้ เสนอสิ่งที่ผิดพลาด ขอให้บอกด้วยครับ

Re: ขออาจหาญ สรุปภาพรวมความคิดปรมาจารย์การลงทุน

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 23, 2007 8:43 pm
โดย energizer
[/quote]1. กระแสเงินสด= net income + depreciation&amortization - Capital Expenditure
[/quote]


แล้วต้อง +- ด้วย change in working capital ด้วยรึเปล่าอะครับ