(จะ) ทำเงินให้งอกเงยได้อย่างไร ยามดอกเบี้ย (ขา) ลง
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 12, 2007 11:56 am
เห็นว่าเงียบๆกันครับ วันก่อนดูรายการน่าสนใจดี เลยเอามาให้ดูจาก moneychannel คับ
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า แนวโน้มดอกเบี้ยปีนี้ ทั้งเงินฝาก และเงินกู้ มีโอกาสจะปรับอ่อนตัวลงไปจากที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อีก ดังนั้น เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้นักลงทุนรายย่อย ที่มีฐานการเงินไม่แข็งแกร่งเท่ากองทุน กองบรรณาธิการ M&W จึงได้จัดสัมมนา ในหัวข้อ ทำเงินให้งอกเงยในภาวะดอกเบี้ยขาลง เพื่อแนะนำเทคนิคเพิ่มค่าเงินออมขึ้นมา และโชคดีที่งานสัมมนาคร้งล่าสุดนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากร 4 ท่าน ครอบคลุมทั้งผู้จัดการกองทุน นักลงทุนรายใหญ่ และผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน
โดยตัวแทนจากปีกผู้จัดการกองทุน คือกรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง พี่ตู่ วรวรรณ ธาราภูมิ ส่วนตัวแทนจากปีกผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ได้ ซีอีโอ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) คุณสมบัติ อนันตรัมพร หรือ น้าบัติ ขวัญใจมหาชน ขณะที่ตัวแทนจากปีกนักลงทุนรายใหญ่ มีอาจารย์ทรงเดช ประดิษฐสมานนท์ กูรูด้านบัญชีแนวหน้าของเมืองไทย ที่ทุกวันนี้ ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ด้วยกำไรไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ทั้งที่เริ่มลงทุนได้แค่ 4 เดือน
และท่านสุดท้าย เป็นนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีพอร์ตการลงทุนเป็นหลัก 100 ล้านบาท คุณหมอบุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลปิยะเวท ซึ่งได้รับสมญานามทุกวันนี้ว่า เจ้าพ่อโรงพยาบาล เพราะมีหุ้นในโรงพยาบาลไทยไม่ต่ำกว่า 18 แห่ง เช่น บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) โรงพยาบาลธนบุรี แถมในวันนี้ ยังมีการลงทุนในโรงพยาบาลต่างประเทศอีก 2 แห่ง ในจีน และดูไบ มาตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับช่องทางการเพิ่มค่าเงินอย่างละเอียด จนเรียกได้ว่า เปิดอกคุยกัน
ดอกเบี้ยลดแน่ 1.0 - 1.5%
งานสัมมนาวันนั้น เปิดฉากขึ้นเมื่อพิธีกรสาวใหญ่ เนาวรัตน์ ถามนำว่า ทิศทางดอกเบี้ยในประเทศเริ่มเป็นขาลงจริงหรือไม่ ซึ่ง 3 เซียน ประกอบไปด้วย คุณหมอบุญ อาจารย์ทรงเดช และพี่ตู่ ตอบตรงกันว่า จริง โดยให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กับการแข็งค่าของเงินบาท ขณะที่การบริโภค และการลงทุนของภาคธุรกิจ ก็ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
นอกจากนั้น ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และผลกระทบของมาตรการ เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะมาตรการกันสำรองเงินทุนในอัตรา 30% ก็มีผลให้เงินลงทุนจากต่างประเทศยิ่งชะลอตัวลงไปอีก และมีส่วนต่างระหว่างค่าเงินบาทที่ซื้อขายในประเทศ (On Shore) และค่าเงินบาทที่ซื้อขายในต่างประเทศ (Off Shore) สูงเกิน 1 บาท ดังนั้น หากไม่มีการใช้นโยบายดอกเบี้ย เงินบาทที่ซื้อขายในประเทศก็จะแข็งค่าขึ้น กดดันการส่งออก และเร่งอัตราการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะกระทบต่อการจ้างงาน รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันตามมาได้ จึงมีผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน ตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมนัดแรกของปีทันที ส่งสัญญาณว่าต้องการใช้มาตรการดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ทำให้มีการคาดหมายกันแล้วว่า ทั้งปีนี้ น่าจะได้เห็นดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลดลงได้ถึง 1.0 - 1.5%
อย่างไรก็ดี กว่าจะเห็นดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบธนาคารพาณิชย์ปรับลดลง ก็ต้องรอไตรมาสสองเป็นต้นไป เพราะตามธรรมเนียมปฏิบัติ ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์มักลดดอกเบี้ยเงินกู้ หลังจากลดดอกเบี้ยเงินฝากแล้วอย่างน้อย 3 เดือน เพราะธนาคารพาณิชย์ต้องใช้เวลาบริหารต้นทุนทางการเงินให้สอดคล้องกับสภาพคล่องภายใน และเตรียมกลยุทธ์ขยายสินเชื่อ เพื่อสร้างกำไร
ดอกเบี้ยลด ... แต่ไม่ช่วยการลงทุนมาก
ถึงแม้ดอกเบี้ยลดจะเอื้อประโยชน์ให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง และยกระดับความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย แต่ในทางปฏิบัติ ปัจจัยดังกล่าวกลับไม่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนมากเท่าภาพลักษณ์ของรัฐบาลปัจจุบัน และแนวโน้มการเมืองในระยะต่อไป
เหตุการณ์เหนือความคาดหมาย (Big Surprise) 3 อย่างที่เกิดในช่วง 23 เดือนที่ผ่านมา ทั้งการประกาศมาตรการกันสำรองเงินทุนในอัตรา 30% การกำหนดนิยามการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และการประกาศเพิกถอนสิทธิบัตรยารักษาโรคเอดส์สหรัฐ มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมาก จากที่ผมได้พูดคุยกับนักธุรกิจข้ามชาติหลายกลุ่ม มีเสียงติงว่านโยบายของรัฐบาลสุดโต่งเกินไป ทั้งที่สามารถผ่อนคลายได้มากกว่านี้ และภาพลักษณ์อันนี้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกังวล และไม่กล้าลงทุน เพราะมีความเสี่ยงในการลงทุนสูงขึ้น และเมื่อนำมาประเมินเข้าด้วยกันกับกระบวนการทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ซึ่งยังไม่มีความแน่นอน ก็ทำให้เกิดการโยกเงินไปลงทุนในตลาดการเงินอื่นๆ แทนตลาดการเงินไทย ลุงหมอ อธิบาย
ขณะที่อาจารย์ทรงเดช บอกว่า Surprise เหล่านี้ไม่น่าวิตกเท่าเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ ทั้งการป้องกันเหตุวางระเบิด อย่างที่เกิดในคืนส่งท้ายปีเก่า รับปีใหม่ และการทำหน้าที่ของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้มีภาพความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลชุดที่แล้ว ปรากฏออกมาจากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับนโยบาย การโต้วาที หรือการตรวจสอบทุจริต และยิ่งรัฐบาลอ่อนการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจจากการประกาศมาตรการก่อนหน้านี้ ทั้งมาตรการกันสำรองเงินทุน การกำหนดนิยามการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และการประกาศเพิกถอนสิทธิบัตรยารักษาโรคเอดส์สหรัฐ ก็ยิ่งสร้างคำถามตามมาว่า กระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะโปร่งใสและดำเนินการได้ภายในปีนี้จริงหรือไม่ ดังนั้น บรรยากาศการลงทุนคงไม่สดใส จนกว่ามีความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งใหม่
ดอกเบี้ยลด ... แต่ธุรกิจแข่งขันดุ
ถึงตรงนี้ เนาวรัตน์ หันไปซักคุณวรวรรณ และคุณสมบัติ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารธุรกิจว่า บรรยากาศการลงทุนที่ไม่เอื้ออำนวยจะมีผลต่อการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง 2 ผู้บริหาร ตอบคล้ายๆ กันว่า นักธุรกิจสามารถปรับตัวเองให้สามารถแข่งขันและเอาตัวรอดได้ดีขึ้น หลังจากต้องฝ่าฟันปัจจัยลบที่รุมกระหน่ำติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2547 เรื่อยมา ไล่ตั้งแต่เหตุการณ์ธรณีพิบัติ (คลื่นซึนามิ) ไข้หวัดนก ปัญหาการก่อการร้าย 3 จังหวัดภาคใต้ วิกฤตราคาน้ำมัน และวิกฤตการเมือง ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์ในปีนี้ คงไม่มีปัจจัยลบเหล่านี้เข้ามากระทบอีก ทำให้สามารถทำกำไรได้ต่อจากปีก่อน แต่อัตราการเติบโตของกำไรอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจ และกลยุทธ์ของแต่ละบริษัท
ความยากลำบากในการทำธุรกิจปีนี้ อยู่ที่การวางแผนระยะยาว ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้ว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้จะมีอะไรบ้าง และรัฐบาลชุดใหม่จะมีนโยบายอย่างไร ดังนั้น การปรับตัวเองก็คือ การวางกลยุทธ์ในระยะสั้นให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ อย่าง ILINK เรามีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 ตัว เพื่อเพิ่มมูลค่าตลาด โดยหากกระแสตอบรับในผลิตภัณฑ์มีเพียงตัวเดียว ก็ถือว่าเท่าทุน แต่ถ้าทำตลาดได้ทั้ง 2 ตัวก็กำไร แต่หากทำได้ครบทั้ง 3 ตัว ก็ถือว่าถูกหวย สำหรับเป้าหมายปีนี้ ผมตั้งเป้าโตจากปีที่แล้วไม่น้อยกว่า 25% ซึ่งมั่นใจว่าสามารถทำได้แน่ น้าสมบัติ อธิบายรายละเอียดอย่างชัดเจน
ส่วนคุณตู่ ยกตัวอย่างกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ (FIF) มาอธิบายให้เห็นภาพว่า เราเน้นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะกับนักลงทุนให้ได้ครบทุกประเภท อย่างปีนี้ตั้งใจว่าจะออกกองทุน FIF 3 กองทุนด้วยกัน ประเดิมด้วยกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ช่วงเดือนมีนาคม และภายในเดือนเมษายน หรือเดือนพฤษภาคม น่าจะคลอดกองทุนที่เน้นคุ้มครองเงินต้น ซึ่งจะมีการลงทุนทั้งในหุ้น และตราสารหนี้ต่างประเทศ สำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง ส่วนครึ่งปีหลัง คาดว่าจะออกกองทุน FIF ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า 2 กองแรก เพราะจะเน้นลงทุนหุ้น แต่จำกัดในบางกลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การออกกองทุน FIF ทั้ง 3 กองนี้ จะต้องดูภาวะตลาดประกอบด้วย กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง ถือโอกาสประชาสัมพันธ์เล็กๆ
โอกาสลงทุนปีหมู ยังเปิดกว้าง แต่ต้องกระจายความเสี่ยง และเลือกหุ้นรายตัว
เมื่อได้ภาพรวมของบรรยากาศการลงทุน และความพร้อมในการทำกำไรทางธุรกิจ เจ้าสาวคนล่าสุดของวงการโทรทัศน์เมืองไทย เริ่มลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนปีนี้ทันทีว่า เปิดกว้างแค่ไหน และควรจัดพอร์ตลงทุนอย่างไร ถึงจะทำเงินให้งอกเงย
เซียนทรงเดช ชี้ว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมาตรการกันสำรองเงินทุนมากขึ้น ขณะที่การกำหนดนิยามการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติก็มีความชัดเจนว่า ยกเว้นสำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ส่วนการประกาศเพิกถอนสิทธิบัตรยา เป็นไปตามกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) และมีผลแค่ทำให้นานาชาติตื่นตะลึงกับความใจกล้าของรัฐบาลไทย สวนทางหลายประเทศที่ไม่กล้าแสดงออก แม้จะไม่พอใจกับการกำหนดราคายารักษาโรคเอดส์ของสหรัฐเช่นกัน ดังนั้น เงินทุนจากต่างชาติจึงยังไม่ไหลออกจากตลาดการเงินไทย และน่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอีก หากธนาคารแห่งประเทศไทยยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุน
ยิ่งไปกว่านั้น หากเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้เกิน 4.0% ซึ่งเป็นอัตราเฉลี่ยที่สถาบันวิจัย ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนประเมินไว้ และรัฐบาลสามารถจัดการเลือกตั้งใหม่ได้ภายในปีนี้จริงๆ โอกาสที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวทะลุ 700 จุด ก็จะมีความเป็นไปได้มากขึ้น แต่กำไรที่จะได้จากตลาดหลักทรัพย์จะไม่มากเท่าการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) หากคาดการณ์ถูก
ส่วนเซียนตู่ และเซียนบุญ บอกว่า ในระหว่างที่ยังมีความไม่ชัดเจนจากมาตรการของรัฐบาล และการเลือกตั้ง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็คงจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ไม่เกิน 700 จุด ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนออกไปในตราสารหนี้ หรือลงทุนต่างประเทศ จะทำให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนคุ้มค่า แต่หากต้องการลงทุนหุ้นจริงๆ ต้องซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี หรือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง แล้วถือระยะยาว (1 ปีขึ้นไป) แต่หากมีปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาจขายทำกำไรก่อนได้
สำหรับเซียนสมบัติ เชิญชวนให้แบ่งเงินลงทุนในกองทุนรวม และลงทุนเองในบริษัทที่นักลงทุนมีความเข้าใจเรื่องธุรกิจนั้นๆ เป็นพื้นฐาน และให้ความสำคัญกับแนวโน้มการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง กับทีมผู้บริหารที่เชื่อถือได้ ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ด้วย เพราะหุ้นในตลาด mai ทุกวันนี้ มีธรรมาภิบาลดีหลายบริษัทด้วยกัน แถมยังมีอัตราการเติบโตสูง เข้าข่าย Growth Stock
แต่ทั้งนี้ 4 เซียน ทิ้งท้ายตรงกันด้วยว่า เงินที่จะนำมาลงทุน จะต้องเป็นเงินที่แยกออกมาจากเงินออม และเผื่อสำรองใช้ยามฉุกเฉิน
ส่วนจังหวะเวลาในการลงทุนนั้น เซียนบุญ และเซียนทรงเดช แนะนำตรงกันว่า เพราะการลงทุนในโลกปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับข้อมูลข่าวสาร ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้การลงทุนมีความเสี่ยงจำกัดลงไป
ทั้งนี้ การใส่ใจข้อมูลข่าวสาร จะต้องเน้นไปที่ข่าวสารในต่างประเทศ อย่างนโยบายเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน หรือสหภาพยุโรป รวมถึงภาวะอุตสาหกรรม ตลอดจนภาวะตลาดหุ้นในภูมิภาค ส่วนข่าวสารในประเทศ ควรเน้นข่าวสารจากปาก 3 ผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจและการเงินขณะนี้ คุณชายปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยสตรีคนแรก กับคุณการุญ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์
ขณะที่จังหวะเวลาในการซื้อหุ้น ควรซื้อเมื่อมีข่าวกระทบ จนราคาหุ้นปัจจัยพื้นฐานปรับลดลงแรงเกินเหตุ และอาจทยอยซื้อเพิ่มเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงเกิน 10% ซึ่งตรงนี้ นักลงทุนสามารถซื้อสะสมได้ตามฐานะทางการเงินของตัวเอง เช่น อาจซื้อเพิ่มเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลงไปจากเดิม 15 - 20%
และเพื่อให้นักลงทุน ทั้งมือใหม่ และมือเก่า มีแนวคิดในการลงทุนที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารเงินของแต่ละคน เนาวรัตน์ เริ่มเจาะสไตล์การลงทุนของเซียนแต่ละคน ประเดิมด้วยลุงหมอ เจ้าพ่อธุรกิจโรงพยาบาล
สูตรลงทุน สไตล์หมอบุญ
เนื่องจากหมอบุญมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากความร่ำรวยที่ดิน และการทำธุรกิจโรงพยาบาล และโรงแรม โดยมีพันธมิตรต่างชาติช่วยสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ทำให้ลุงหมอมีความรอบรู้เรื่องการลงทุนในต่างประเทศมาก ดังนั้น การลงทุนในหุ้นของลุงหมอจึงเน้นไปที่การลงทุนในต่างประเทศ มากกว่าการลงทุนในประเทศ
และเนื่องจากตลาดการเงินในต่างประเทศมีตราสารทางการเงินที่หลากหลายกว่าในบ้านเรา ดังนั้น ลุงหมอจึงมีพอร์ตการลงทุนกระจายไปในหุ้น ตราสารหนี้ และโภคภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการลงทุนต่างประเทศ ลุงหมอจะเลือกลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งลงทุนแบบเก็งกำไรตามจังหวะเวลา หรือโอกาสทำกำไร เพื่อความบันเทิงและบริหารสมอง
สำหรับเทคนิคในการลงทุน คุณหมอจะเลือกซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานการทำกำไรสูง และจ่ายปันผลงาม ในแต่ละตลาดหุ้น 23 ตัว อย่างในญี่ปุ่น จะถือหุ้น Toyota และ Sumitomo Group หรืออย่างในจีน จะลงทุนใน China Petrochemical กับ China Mobile แล้วถือเอาไว้ระยะยาว บางตัวซื้อเก็บเอาไว้หวังเป็นมรดกตกทอดให้กับทายาท (ในงานสัมมนาวันนั้น คุณหมอพูดชัดเลยว่า ลูกสาว ทำให้หลายคนสนใจแล้วล่ะซิว่า ทายาทคุณหมอเป็นใคร อยู่ที่ไหน โสดหรือเปล่า ฯลฯ หยุดคิดนอกเรื่องครับ...กลับมาเข้าประเด็นกันต่อ...ที่รู้ก็เพราะผมเองก็คิดก่อนหน้านี้แล้ว...ฮิ...ฮิ...) และหุ้นเหล่านั้น ให้ผลตอบแทนเฉพาะส่วนต่างจากราคาไม่ต่ำกว่า 200% แล้ว
สำหรับการลงทุนเพื่อเก็งกำไรนั้น ลุงหมอบอกว่าจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ้งก่อนตัดสินใจลงทุน แต่มีเทคนิคอันหนึ่งที่คุณหมอประสบความสำเร็จ และเต็มใจจะถ่ายทอดให้เป็นวิทยาทานก็คือ การเลือกซื้อในเวลาที่ราคาของตราสารการเงินนั้นๆ ทรุดตัว อันเนื่องมาจากความตื่นตกใจ
ผมยกตัวอย่าง กรณีการปฏิวัติครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 19 กันยายนปีที่แล้ว ซึ่งนักลงทุนต่างชาติตกใจ ปรับพอร์ตการลงทุนทันที ทำให้หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีหลายตัวราคาตกกว่า 10% และคุณหมอก็เข้าไปซื้อหุ้นหลายตัวในวันนั้น คิดแล้ว 100200 ล้านบาท ผลก็คือ หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติหายตกใจ ในสัปดาห์ถัดมา ผมได้กำไรจากการลงทุนวันนั้น เฉลี่ยแล้วประมาณ 17% เฉพาะหุ้น บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กำไรมากที่สุด 26% หรืออย่างวันที่รัฐบาลประกาศมาตรการกันสำรองเงินทุนในอัตรา 30% ซึ่งหุ้นไทยทรุดตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุน ถึง 108 จุด และตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้มาตรการ Circuit Breaker เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ ผมเข้าซื้อหลายตัวเหมือนกัน มาวันนี้ ได้กำไรแล้วไม่น้อยกว่า 20% บางตัวมากกว่า 40% ด้วยซ้ำไป หมอบุญ ยกตัวอย่างประกอบ ก่อนแนะเพิ่มเติมว่า ในปีหนึ่งๆ จะมีจังหวะเวลาคล้ายๆ ตัวอย่างที่เล่าให้ฟัง เกิดเสมอ อย่างน้อย 2 ครั้ง ถ้าใครอ่านขาด โอกาสทำกำไรจะเปิดกว้างทันที
สูตรลงทุน สไตล์อาจารย์ทรงเดช
เพราะอาจารย์ทรงเดชให้ความสำคัญกับผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น อาจารย์จะจัดสรรเงินออมเอาไว้ในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ แทนการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ และกันเงินอีกส่วนหนึ่งลงทุนในหุ้น จะเน้นไปที่หุ้นที่จ่ายปันผลดี หรือมีพื้นฐานที่น่าสนใจ ซึ่งจากการติดตามข้อมูล และตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานของบริษัท อาจารย์ทรงเดช แบ่งหุ้นลงทุนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มเป้าหมาย (Target List) เลือกจังหวะลงทุน ส่วนกลุ่มที่สอง รอจังหวะเวลาลงทุน (Watch List)
โดยหุ้นในกลุ่ม Target List จะมีอยู่ 15 ตัว ประกอบด้วย บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCOMP) บมจ.อะโรเมติกส์ ประเทศไทย (ATC) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บมจ.บางกอก เชน ฮอลปิทอล (KH) บมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.การบินไทย (THAI) บมจ.แอ็ดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) กองทุนอสังหาริมทรัพย์เซ็นทรัลรีเทลโกรท (CPNRF) กองทุนอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย (SPF) ที่เหลือเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง ซึ่งอาจารย์ไม่ยอมเปิดโผรายชื่อให้ทราบ เพราะปัจจุบันถืออยู่
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน อาจารย์ทรงเดช จะพิจารณาจากราคาหุ้น ภาวะอุตสาหกรรมเหล่านี้ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนข่าวคราวของบริษัทเหล่านั้น จากนั้นเลือกลงทุนเป็นรายตัวไป และปรับพอร์ตภายในหุ้น 15 ตัวนี้ หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง หรือได้กำไรอย่างที่พอใจ แต่หากไม่มีข่าวร้าย อาจารย์ก็พร้อมลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ซึ่งกลยุทธ์อันนี้ก็เหมือนกับการลงทุนของผู้จัดการกองทุนหุ้นทั่วๆ ไป
ส่วนหุ้นในกลุ่ม Watch List อาจารย์ให้ความสนใจ แต่จะลงทุนก็ต่อเมื่อข่าวร้ายที่เข้ามากระทบกับหุ้นเริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ จะประกอบไปด้วย บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งยังมีประเด็นคาใจเกี่ยวกับการวิจิฉัยของศาลว่า ต้องเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า บมจ.ไอทีวี (ITV) กับ บมจ.ชิน แซทเทิ่ลไลท์ (SATTEL) ซึ่งยังมีปัญหากี่ยวกับเรื่องสัมปทาน บมจ.อสมท.(MCOT) ซึ่งมีข่าวร้ายเรื่องการปรับผังรายการใหม่ ทดแทนการย้ายวิกของผู้ดำเนินรายการข่าวหมายเลข 1 เวลานี้ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ซึ่งมีผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ที่มีข่าวคาวเรื่องทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ จนทำให้ต้องหวนกลับไปใช้สนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่สอง
แต่การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Watch List นี้ อาจารย์ยอมรับว่า ต้องการความตื่นเต้นในการลงทุนมากกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น การลงทุนจะต้องถือยาวมากๆ กว่าจะออกตัวได้ แต่เมื่อออกตัวได้ ก็จะได้กำไรจากหุ้นกลุ่มนี้สูงมาก
นอกจากนั้น อาจารย์ทรงเดช ยังกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปใน SET50 Index Futures ในตลาดอนุพันธ์ด้วย เพราะสามารถทำกำไรได้ง่าย และเป็นกอบเป็นกำ หากคาดการณ์แนวโน้มการปรับตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และดัชนี SET50 ได้ถูก และบังเอิญที่อาจารย์คาดการณ์ถูกมากกว่าผิด เพราะจากสถิติ อาจารย์ลงทุน 20 ครั้ง คาดการณ์ถูกถึง 15 ครั้ง
ซึ่งการลงทุนในตลาดอนุพันธ์นี้ อาจารย์ทรงเดช แนะนำกลยุทธ์ในการลงทุนไว้ว่า จะต้องหมั่นติดตามภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นโลก และคำกล่าวของ 3 ผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลชุดนี้ ควบคู่ไปกับการอ่านข่าว และตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด
สูตรลงทุน สไตล์สมบัติ
คุณสมบัติ ออกตัวก่อนว่า การเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ทำให้ต้องจริงจังกับการบริหารธุรกิจมากกว่าสนใจลงทุน เพราะมีภาระหน้าที่สร้างกำไรคืนกลับให้ผู้ถือหุ้น ILINK แต่เนื่องจากบุคลิกส่วนตัวเป็นคนเคารพความคิดเห็นของภรรยาสูง ทำให้มีการจัดสรรเงินออมส่วนหนึ่งมาลงทุน โดยเงินลงทุนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งลงทุนในเงินฝากประจำ และซื้อกองทุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนที่ลงทุนต่างประเทศ (FIF) หรือกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ (RMF)
สำหรับอีกส่วนหนึ่ง จะลงทุนในหุ้น ทั้งการเป็นหุ้นส่วนในบริษัทเพื่อน และซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยเลือกหุ้นที่มีตนเองเข้าใจธุรกิจ มีแนวโน้มการทำกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีผู้บริหารที่ไว้วางใจได้ แล้วถือลงทุนยาว หรือขายออกบ้างเมื่อมีความจำเป็น
บทสรุป สูตรลงทุนที่ดี ต้องกระจายความเสี่ยง
ถึงตรงนี้ เนาวรัตน์ พิธีกรที่กำลังอยู๋ในช่วงวาบหวาม และเปล่งปลั่งเกินปกติ ยิงคำถามสุดท้ายไปที่พี่ตู่ เพื่อให้แนะนำทิ้งท้ายว่า มีความเห็นอย่างไรกับสูตรลงทุนของ 3 หนุ่ม 3 มุม
พี่ตู่ สรุปแบบสั้นๆ และตรงประเด็นว่า สูตรลงทุนของทั้ง 3 หนุ่ม 3 วัย มีหลักการเหมือนกันหมด คือ การนำเงินออมบางส่วนมาลงทุน โดยกระจายความเสี่ยง (Asset Allocation) ออกไปในตราสารทางการเงินที่หลากหลาย ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกันกับวิธีบริหารพอร์ตการเงินของบรรดากูรูทางด้านการเงิน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ทั้ง 3 หนุ่ม ให้น้ำหนักกับตราสารทางการเงินแตกต่างกันไปตามความถนัด ภาระหน้าที่ และพื้นฐานทางการเงินของแต่ละคน และที่สำคัญก็คือ ทุกคนพร้อมลงทุนระยะยาว ซึ่งถือว่ายอมรับได้ทุกแบบ
อย่างไรก็ตาม คุณวรวรรณ ได้ฝากข้อคิดเตือนใจเพิ่มอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ควรจะวางแผนการออมเงินตั้งแต่วันนี้ โดยสูตรง่ายๆ ที่สามารถทำกันได้ก็คือ จัดสรรเงินออมทุกเดือน ลงทุนในตราสารทางการเงินที่นักลงทุนแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจดีเป็นลำดับแรก หรือใช้กลไกของกองทุนรวมก่อน และเมื่อมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น จึงค่อยๆ กระจายพอร์ตการลงทุนให้มีความหลากหลายขึ้น แต่ถ้ายังคิดไม่ตกหรือยังไม่มั่นใจ ก็หาข้อมูลได้จาก M&W (พี่ตู่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้) .... ผมไม่ได้เชียร์เองนะขอรับ
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า แนวโน้มดอกเบี้ยปีนี้ ทั้งเงินฝาก และเงินกู้ มีโอกาสจะปรับอ่อนตัวลงไปจากที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อีก ดังนั้น เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้นักลงทุนรายย่อย ที่มีฐานการเงินไม่แข็งแกร่งเท่ากองทุน กองบรรณาธิการ M&W จึงได้จัดสัมมนา ในหัวข้อ ทำเงินให้งอกเงยในภาวะดอกเบี้ยขาลง เพื่อแนะนำเทคนิคเพิ่มค่าเงินออมขึ้นมา และโชคดีที่งานสัมมนาคร้งล่าสุดนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากร 4 ท่าน ครอบคลุมทั้งผู้จัดการกองทุน นักลงทุนรายใหญ่ และผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน
โดยตัวแทนจากปีกผู้จัดการกองทุน คือกรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง พี่ตู่ วรวรรณ ธาราภูมิ ส่วนตัวแทนจากปีกผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ได้ ซีอีโอ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) คุณสมบัติ อนันตรัมพร หรือ น้าบัติ ขวัญใจมหาชน ขณะที่ตัวแทนจากปีกนักลงทุนรายใหญ่ มีอาจารย์ทรงเดช ประดิษฐสมานนท์ กูรูด้านบัญชีแนวหน้าของเมืองไทย ที่ทุกวันนี้ ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ด้วยกำไรไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ทั้งที่เริ่มลงทุนได้แค่ 4 เดือน
และท่านสุดท้าย เป็นนักลงทุนรายใหญ่ ที่มีพอร์ตการลงทุนเป็นหลัก 100 ล้านบาท คุณหมอบุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลปิยะเวท ซึ่งได้รับสมญานามทุกวันนี้ว่า เจ้าพ่อโรงพยาบาล เพราะมีหุ้นในโรงพยาบาลไทยไม่ต่ำกว่า 18 แห่ง เช่น บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) โรงพยาบาลธนบุรี แถมในวันนี้ ยังมีการลงทุนในโรงพยาบาลต่างประเทศอีก 2 แห่ง ในจีน และดูไบ มาตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับช่องทางการเพิ่มค่าเงินอย่างละเอียด จนเรียกได้ว่า เปิดอกคุยกัน
ดอกเบี้ยลดแน่ 1.0 - 1.5%
งานสัมมนาวันนั้น เปิดฉากขึ้นเมื่อพิธีกรสาวใหญ่ เนาวรัตน์ ถามนำว่า ทิศทางดอกเบี้ยในประเทศเริ่มเป็นขาลงจริงหรือไม่ ซึ่ง 3 เซียน ประกอบไปด้วย คุณหมอบุญ อาจารย์ทรงเดช และพี่ตู่ ตอบตรงกันว่า จริง โดยให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กับการแข็งค่าของเงินบาท ขณะที่การบริโภค และการลงทุนของภาคธุรกิจ ก็ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่แรงกดดันจากเงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
นอกจากนั้น ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และผลกระทบของมาตรการ เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะมาตรการกันสำรองเงินทุนในอัตรา 30% ก็มีผลให้เงินลงทุนจากต่างประเทศยิ่งชะลอตัวลงไปอีก และมีส่วนต่างระหว่างค่าเงินบาทที่ซื้อขายในประเทศ (On Shore) และค่าเงินบาทที่ซื้อขายในต่างประเทศ (Off Shore) สูงเกิน 1 บาท ดังนั้น หากไม่มีการใช้นโยบายดอกเบี้ย เงินบาทที่ซื้อขายในประเทศก็จะแข็งค่าขึ้น กดดันการส่งออก และเร่งอัตราการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะกระทบต่อการจ้างงาน รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันตามมาได้ จึงมีผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน ตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมนัดแรกของปีทันที ส่งสัญญาณว่าต้องการใช้มาตรการดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ทำให้มีการคาดหมายกันแล้วว่า ทั้งปีนี้ น่าจะได้เห็นดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลดลงได้ถึง 1.0 - 1.5%
อย่างไรก็ดี กว่าจะเห็นดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบธนาคารพาณิชย์ปรับลดลง ก็ต้องรอไตรมาสสองเป็นต้นไป เพราะตามธรรมเนียมปฏิบัติ ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์มักลดดอกเบี้ยเงินกู้ หลังจากลดดอกเบี้ยเงินฝากแล้วอย่างน้อย 3 เดือน เพราะธนาคารพาณิชย์ต้องใช้เวลาบริหารต้นทุนทางการเงินให้สอดคล้องกับสภาพคล่องภายใน และเตรียมกลยุทธ์ขยายสินเชื่อ เพื่อสร้างกำไร
ดอกเบี้ยลด ... แต่ไม่ช่วยการลงทุนมาก
ถึงแม้ดอกเบี้ยลดจะเอื้อประโยชน์ให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง และยกระดับความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย แต่ในทางปฏิบัติ ปัจจัยดังกล่าวกลับไม่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุนมากเท่าภาพลักษณ์ของรัฐบาลปัจจุบัน และแนวโน้มการเมืองในระยะต่อไป
เหตุการณ์เหนือความคาดหมาย (Big Surprise) 3 อย่างที่เกิดในช่วง 23 เดือนที่ผ่านมา ทั้งการประกาศมาตรการกันสำรองเงินทุนในอัตรา 30% การกำหนดนิยามการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และการประกาศเพิกถอนสิทธิบัตรยารักษาโรคเอดส์สหรัฐ มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างมาก จากที่ผมได้พูดคุยกับนักธุรกิจข้ามชาติหลายกลุ่ม มีเสียงติงว่านโยบายของรัฐบาลสุดโต่งเกินไป ทั้งที่สามารถผ่อนคลายได้มากกว่านี้ และภาพลักษณ์อันนี้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกังวล และไม่กล้าลงทุน เพราะมีความเสี่ยงในการลงทุนสูงขึ้น และเมื่อนำมาประเมินเข้าด้วยกันกับกระบวนการทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ซึ่งยังไม่มีความแน่นอน ก็ทำให้เกิดการโยกเงินไปลงทุนในตลาดการเงินอื่นๆ แทนตลาดการเงินไทย ลุงหมอ อธิบาย
ขณะที่อาจารย์ทรงเดช บอกว่า Surprise เหล่านี้ไม่น่าวิตกเท่าเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ ทั้งการป้องกันเหตุวางระเบิด อย่างที่เกิดในคืนส่งท้ายปีเก่า รับปีใหม่ และการทำหน้าที่ของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้มีภาพความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลชุดที่แล้ว ปรากฏออกมาจากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับนโยบาย การโต้วาที หรือการตรวจสอบทุจริต และยิ่งรัฐบาลอ่อนการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจจากการประกาศมาตรการก่อนหน้านี้ ทั้งมาตรการกันสำรองเงินทุน การกำหนดนิยามการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และการประกาศเพิกถอนสิทธิบัตรยารักษาโรคเอดส์สหรัฐ ก็ยิ่งสร้างคำถามตามมาว่า กระบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะโปร่งใสและดำเนินการได้ภายในปีนี้จริงหรือไม่ ดังนั้น บรรยากาศการลงทุนคงไม่สดใส จนกว่ามีความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งใหม่
ดอกเบี้ยลด ... แต่ธุรกิจแข่งขันดุ
ถึงตรงนี้ เนาวรัตน์ หันไปซักคุณวรวรรณ และคุณสมบัติ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารธุรกิจว่า บรรยากาศการลงทุนที่ไม่เอื้ออำนวยจะมีผลต่อการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง 2 ผู้บริหาร ตอบคล้ายๆ กันว่า นักธุรกิจสามารถปรับตัวเองให้สามารถแข่งขันและเอาตัวรอดได้ดีขึ้น หลังจากต้องฝ่าฟันปัจจัยลบที่รุมกระหน่ำติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2547 เรื่อยมา ไล่ตั้งแต่เหตุการณ์ธรณีพิบัติ (คลื่นซึนามิ) ไข้หวัดนก ปัญหาการก่อการร้าย 3 จังหวัดภาคใต้ วิกฤตราคาน้ำมัน และวิกฤตการเมือง ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์ในปีนี้ คงไม่มีปัจจัยลบเหล่านี้เข้ามากระทบอีก ทำให้สามารถทำกำไรได้ต่อจากปีก่อน แต่อัตราการเติบโตของกำไรอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจ และกลยุทธ์ของแต่ละบริษัท
ความยากลำบากในการทำธุรกิจปีนี้ อยู่ที่การวางแผนระยะยาว ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้ว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้จะมีอะไรบ้าง และรัฐบาลชุดใหม่จะมีนโยบายอย่างไร ดังนั้น การปรับตัวเองก็คือ การวางกลยุทธ์ในระยะสั้นให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ อย่าง ILINK เรามีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 ตัว เพื่อเพิ่มมูลค่าตลาด โดยหากกระแสตอบรับในผลิตภัณฑ์มีเพียงตัวเดียว ก็ถือว่าเท่าทุน แต่ถ้าทำตลาดได้ทั้ง 2 ตัวก็กำไร แต่หากทำได้ครบทั้ง 3 ตัว ก็ถือว่าถูกหวย สำหรับเป้าหมายปีนี้ ผมตั้งเป้าโตจากปีที่แล้วไม่น้อยกว่า 25% ซึ่งมั่นใจว่าสามารถทำได้แน่ น้าสมบัติ อธิบายรายละเอียดอย่างชัดเจน
ส่วนคุณตู่ ยกตัวอย่างกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ (FIF) มาอธิบายให้เห็นภาพว่า เราเน้นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะกับนักลงทุนให้ได้ครบทุกประเภท อย่างปีนี้ตั้งใจว่าจะออกกองทุน FIF 3 กองทุนด้วยกัน ประเดิมด้วยกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ช่วงเดือนมีนาคม และภายในเดือนเมษายน หรือเดือนพฤษภาคม น่าจะคลอดกองทุนที่เน้นคุ้มครองเงินต้น ซึ่งจะมีการลงทุนทั้งในหุ้น และตราสารหนี้ต่างประเทศ สำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง ส่วนครึ่งปีหลัง คาดว่าจะออกกองทุน FIF ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า 2 กองแรก เพราะจะเน้นลงทุนหุ้น แต่จำกัดในบางกลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การออกกองทุน FIF ทั้ง 3 กองนี้ จะต้องดูภาวะตลาดประกอบด้วย กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง ถือโอกาสประชาสัมพันธ์เล็กๆ
โอกาสลงทุนปีหมู ยังเปิดกว้าง แต่ต้องกระจายความเสี่ยง และเลือกหุ้นรายตัว
เมื่อได้ภาพรวมของบรรยากาศการลงทุน และความพร้อมในการทำกำไรทางธุรกิจ เจ้าสาวคนล่าสุดของวงการโทรทัศน์เมืองไทย เริ่มลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนปีนี้ทันทีว่า เปิดกว้างแค่ไหน และควรจัดพอร์ตลงทุนอย่างไร ถึงจะทำเงินให้งอกเงย
เซียนทรงเดช ชี้ว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมาตรการกันสำรองเงินทุนมากขึ้น ขณะที่การกำหนดนิยามการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติก็มีความชัดเจนว่า ยกเว้นสำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ส่วนการประกาศเพิกถอนสิทธิบัตรยา เป็นไปตามกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) และมีผลแค่ทำให้นานาชาติตื่นตะลึงกับความใจกล้าของรัฐบาลไทย สวนทางหลายประเทศที่ไม่กล้าแสดงออก แม้จะไม่พอใจกับการกำหนดราคายารักษาโรคเอดส์ของสหรัฐเช่นกัน ดังนั้น เงินทุนจากต่างชาติจึงยังไม่ไหลออกจากตลาดการเงินไทย และน่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นอีก หากธนาคารแห่งประเทศไทยยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุน
ยิ่งไปกว่านั้น หากเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้เกิน 4.0% ซึ่งเป็นอัตราเฉลี่ยที่สถาบันวิจัย ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนประเมินไว้ และรัฐบาลสามารถจัดการเลือกตั้งใหม่ได้ภายในปีนี้จริงๆ โอกาสที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวทะลุ 700 จุด ก็จะมีความเป็นไปได้มากขึ้น แต่กำไรที่จะได้จากตลาดหลักทรัพย์จะไม่มากเท่าการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) หากคาดการณ์ถูก
ส่วนเซียนตู่ และเซียนบุญ บอกว่า ในระหว่างที่ยังมีความไม่ชัดเจนจากมาตรการของรัฐบาล และการเลือกตั้ง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็คงจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ไม่เกิน 700 จุด ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนออกไปในตราสารหนี้ หรือลงทุนต่างประเทศ จะทำให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนคุ้มค่า แต่หากต้องการลงทุนหุ้นจริงๆ ต้องซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี หรือหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง แล้วถือระยะยาว (1 ปีขึ้นไป) แต่หากมีปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาจขายทำกำไรก่อนได้
สำหรับเซียนสมบัติ เชิญชวนให้แบ่งเงินลงทุนในกองทุนรวม และลงทุนเองในบริษัทที่นักลงทุนมีความเข้าใจเรื่องธุรกิจนั้นๆ เป็นพื้นฐาน และให้ความสำคัญกับแนวโน้มการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง กับทีมผู้บริหารที่เชื่อถือได้ ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ด้วย เพราะหุ้นในตลาด mai ทุกวันนี้ มีธรรมาภิบาลดีหลายบริษัทด้วยกัน แถมยังมีอัตราการเติบโตสูง เข้าข่าย Growth Stock
แต่ทั้งนี้ 4 เซียน ทิ้งท้ายตรงกันด้วยว่า เงินที่จะนำมาลงทุน จะต้องเป็นเงินที่แยกออกมาจากเงินออม และเผื่อสำรองใช้ยามฉุกเฉิน
ส่วนจังหวะเวลาในการลงทุนนั้น เซียนบุญ และเซียนทรงเดช แนะนำตรงกันว่า เพราะการลงทุนในโลกปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับข้อมูลข่าวสาร ดังนั้น การติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้การลงทุนมีความเสี่ยงจำกัดลงไป
ทั้งนี้ การใส่ใจข้อมูลข่าวสาร จะต้องเน้นไปที่ข่าวสารในต่างประเทศ อย่างนโยบายเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน หรือสหภาพยุโรป รวมถึงภาวะอุตสาหกรรม ตลอดจนภาวะตลาดหุ้นในภูมิภาค ส่วนข่าวสารในประเทศ ควรเน้นข่าวสารจากปาก 3 ผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจและการเงินขณะนี้ คุณชายปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยสตรีคนแรก กับคุณการุญ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์
ขณะที่จังหวะเวลาในการซื้อหุ้น ควรซื้อเมื่อมีข่าวกระทบ จนราคาหุ้นปัจจัยพื้นฐานปรับลดลงแรงเกินเหตุ และอาจทยอยซื้อเพิ่มเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงเกิน 10% ซึ่งตรงนี้ นักลงทุนสามารถซื้อสะสมได้ตามฐานะทางการเงินของตัวเอง เช่น อาจซื้อเพิ่มเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลงไปจากเดิม 15 - 20%
และเพื่อให้นักลงทุน ทั้งมือใหม่ และมือเก่า มีแนวคิดในการลงทุนที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารเงินของแต่ละคน เนาวรัตน์ เริ่มเจาะสไตล์การลงทุนของเซียนแต่ละคน ประเดิมด้วยลุงหมอ เจ้าพ่อธุรกิจโรงพยาบาล
สูตรลงทุน สไตล์หมอบุญ
เนื่องจากหมอบุญมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากความร่ำรวยที่ดิน และการทำธุรกิจโรงพยาบาล และโรงแรม โดยมีพันธมิตรต่างชาติช่วยสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ทำให้ลุงหมอมีความรอบรู้เรื่องการลงทุนในต่างประเทศมาก ดังนั้น การลงทุนในหุ้นของลุงหมอจึงเน้นไปที่การลงทุนในต่างประเทศ มากกว่าการลงทุนในประเทศ
และเนื่องจากตลาดการเงินในต่างประเทศมีตราสารทางการเงินที่หลากหลายกว่าในบ้านเรา ดังนั้น ลุงหมอจึงมีพอร์ตการลงทุนกระจายไปในหุ้น ตราสารหนี้ และโภคภัณฑ์ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการลงทุนต่างประเทศ ลุงหมอจะเลือกลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งลงทุนแบบเก็งกำไรตามจังหวะเวลา หรือโอกาสทำกำไร เพื่อความบันเทิงและบริหารสมอง
สำหรับเทคนิคในการลงทุน คุณหมอจะเลือกซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานการทำกำไรสูง และจ่ายปันผลงาม ในแต่ละตลาดหุ้น 23 ตัว อย่างในญี่ปุ่น จะถือหุ้น Toyota และ Sumitomo Group หรืออย่างในจีน จะลงทุนใน China Petrochemical กับ China Mobile แล้วถือเอาไว้ระยะยาว บางตัวซื้อเก็บเอาไว้หวังเป็นมรดกตกทอดให้กับทายาท (ในงานสัมมนาวันนั้น คุณหมอพูดชัดเลยว่า ลูกสาว ทำให้หลายคนสนใจแล้วล่ะซิว่า ทายาทคุณหมอเป็นใคร อยู่ที่ไหน โสดหรือเปล่า ฯลฯ หยุดคิดนอกเรื่องครับ...กลับมาเข้าประเด็นกันต่อ...ที่รู้ก็เพราะผมเองก็คิดก่อนหน้านี้แล้ว...ฮิ...ฮิ...) และหุ้นเหล่านั้น ให้ผลตอบแทนเฉพาะส่วนต่างจากราคาไม่ต่ำกว่า 200% แล้ว
สำหรับการลงทุนเพื่อเก็งกำไรนั้น ลุงหมอบอกว่าจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ้งก่อนตัดสินใจลงทุน แต่มีเทคนิคอันหนึ่งที่คุณหมอประสบความสำเร็จ และเต็มใจจะถ่ายทอดให้เป็นวิทยาทานก็คือ การเลือกซื้อในเวลาที่ราคาของตราสารการเงินนั้นๆ ทรุดตัว อันเนื่องมาจากความตื่นตกใจ
ผมยกตัวอย่าง กรณีการปฏิวัติครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 19 กันยายนปีที่แล้ว ซึ่งนักลงทุนต่างชาติตกใจ ปรับพอร์ตการลงทุนทันที ทำให้หุ้นปัจจัยพื้นฐานดีหลายตัวราคาตกกว่า 10% และคุณหมอก็เข้าไปซื้อหุ้นหลายตัวในวันนั้น คิดแล้ว 100200 ล้านบาท ผลก็คือ หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติหายตกใจ ในสัปดาห์ถัดมา ผมได้กำไรจากการลงทุนวันนั้น เฉลี่ยแล้วประมาณ 17% เฉพาะหุ้น บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กำไรมากที่สุด 26% หรืออย่างวันที่รัฐบาลประกาศมาตรการกันสำรองเงินทุนในอัตรา 30% ซึ่งหุ้นไทยทรุดตัวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดทุน ถึง 108 จุด และตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้มาตรการ Circuit Breaker เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ ผมเข้าซื้อหลายตัวเหมือนกัน มาวันนี้ ได้กำไรแล้วไม่น้อยกว่า 20% บางตัวมากกว่า 40% ด้วยซ้ำไป หมอบุญ ยกตัวอย่างประกอบ ก่อนแนะเพิ่มเติมว่า ในปีหนึ่งๆ จะมีจังหวะเวลาคล้ายๆ ตัวอย่างที่เล่าให้ฟัง เกิดเสมอ อย่างน้อย 2 ครั้ง ถ้าใครอ่านขาด โอกาสทำกำไรจะเปิดกว้างทันที
สูตรลงทุน สไตล์อาจารย์ทรงเดช
เพราะอาจารย์ทรงเดชให้ความสำคัญกับผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น อาจารย์จะจัดสรรเงินออมเอาไว้ในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ แทนการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ และกันเงินอีกส่วนหนึ่งลงทุนในหุ้น จะเน้นไปที่หุ้นที่จ่ายปันผลดี หรือมีพื้นฐานที่น่าสนใจ ซึ่งจากการติดตามข้อมูล และตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานของบริษัท อาจารย์ทรงเดช แบ่งหุ้นลงทุนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มเป้าหมาย (Target List) เลือกจังหวะลงทุน ส่วนกลุ่มที่สอง รอจังหวะเวลาลงทุน (Watch List)
โดยหุ้นในกลุ่ม Target List จะมีอยู่ 15 ตัว ประกอบด้วย บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCOMP) บมจ.อะโรเมติกส์ ประเทศไทย (ATC) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บมจ.บางกอก เชน ฮอลปิทอล (KH) บมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.การบินไทย (THAI) บมจ.แอ็ดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) กองทุนอสังหาริมทรัพย์เซ็นทรัลรีเทลโกรท (CPNRF) กองทุนอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย (SPF) ที่เหลือเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง ซึ่งอาจารย์ไม่ยอมเปิดโผรายชื่อให้ทราบ เพราะปัจจุบันถืออยู่
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน อาจารย์ทรงเดช จะพิจารณาจากราคาหุ้น ภาวะอุตสาหกรรมเหล่านี้ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนข่าวคราวของบริษัทเหล่านั้น จากนั้นเลือกลงทุนเป็นรายตัวไป และปรับพอร์ตภายในหุ้น 15 ตัวนี้ หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลง หรือได้กำไรอย่างที่พอใจ แต่หากไม่มีข่าวร้าย อาจารย์ก็พร้อมลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ซึ่งกลยุทธ์อันนี้ก็เหมือนกับการลงทุนของผู้จัดการกองทุนหุ้นทั่วๆ ไป
ส่วนหุ้นในกลุ่ม Watch List อาจารย์ให้ความสนใจ แต่จะลงทุนก็ต่อเมื่อข่าวร้ายที่เข้ามากระทบกับหุ้นเริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ จะประกอบไปด้วย บมจ.ปตท.(PTT) ซึ่งยังมีประเด็นคาใจเกี่ยวกับการวิจิฉัยของศาลว่า ต้องเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่า บมจ.ไอทีวี (ITV) กับ บมจ.ชิน แซทเทิ่ลไลท์ (SATTEL) ซึ่งยังมีปัญหากี่ยวกับเรื่องสัมปทาน บมจ.อสมท.(MCOT) ซึ่งมีข่าวร้ายเรื่องการปรับผังรายการใหม่ ทดแทนการย้ายวิกของผู้ดำเนินรายการข่าวหมายเลข 1 เวลานี้ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ซึ่งมีผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ที่มีข่าวคาวเรื่องทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ จนทำให้ต้องหวนกลับไปใช้สนามบินดอนเมืองเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่สอง
แต่การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Watch List นี้ อาจารย์ยอมรับว่า ต้องการความตื่นเต้นในการลงทุนมากกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น การลงทุนจะต้องถือยาวมากๆ กว่าจะออกตัวได้ แต่เมื่อออกตัวได้ ก็จะได้กำไรจากหุ้นกลุ่มนี้สูงมาก
นอกจากนั้น อาจารย์ทรงเดช ยังกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปใน SET50 Index Futures ในตลาดอนุพันธ์ด้วย เพราะสามารถทำกำไรได้ง่าย และเป็นกอบเป็นกำ หากคาดการณ์แนวโน้มการปรับตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และดัชนี SET50 ได้ถูก และบังเอิญที่อาจารย์คาดการณ์ถูกมากกว่าผิด เพราะจากสถิติ อาจารย์ลงทุน 20 ครั้ง คาดการณ์ถูกถึง 15 ครั้ง
ซึ่งการลงทุนในตลาดอนุพันธ์นี้ อาจารย์ทรงเดช แนะนำกลยุทธ์ในการลงทุนไว้ว่า จะต้องหมั่นติดตามภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นโลก และคำกล่าวของ 3 ผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลชุดนี้ ควบคู่ไปกับการอ่านข่าว และตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด
สูตรลงทุน สไตล์สมบัติ
คุณสมบัติ ออกตัวก่อนว่า การเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ทำให้ต้องจริงจังกับการบริหารธุรกิจมากกว่าสนใจลงทุน เพราะมีภาระหน้าที่สร้างกำไรคืนกลับให้ผู้ถือหุ้น ILINK แต่เนื่องจากบุคลิกส่วนตัวเป็นคนเคารพความคิดเห็นของภรรยาสูง ทำให้มีการจัดสรรเงินออมส่วนหนึ่งมาลงทุน โดยเงินลงทุนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งลงทุนในเงินฝากประจำ และซื้อกองทุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนที่ลงทุนต่างประเทศ (FIF) หรือกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ (RMF)
สำหรับอีกส่วนหนึ่ง จะลงทุนในหุ้น ทั้งการเป็นหุ้นส่วนในบริษัทเพื่อน และซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยเลือกหุ้นที่มีตนเองเข้าใจธุรกิจ มีแนวโน้มการทำกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีผู้บริหารที่ไว้วางใจได้ แล้วถือลงทุนยาว หรือขายออกบ้างเมื่อมีความจำเป็น
บทสรุป สูตรลงทุนที่ดี ต้องกระจายความเสี่ยง
ถึงตรงนี้ เนาวรัตน์ พิธีกรที่กำลังอยู๋ในช่วงวาบหวาม และเปล่งปลั่งเกินปกติ ยิงคำถามสุดท้ายไปที่พี่ตู่ เพื่อให้แนะนำทิ้งท้ายว่า มีความเห็นอย่างไรกับสูตรลงทุนของ 3 หนุ่ม 3 มุม
พี่ตู่ สรุปแบบสั้นๆ และตรงประเด็นว่า สูตรลงทุนของทั้ง 3 หนุ่ม 3 วัย มีหลักการเหมือนกันหมด คือ การนำเงินออมบางส่วนมาลงทุน โดยกระจายความเสี่ยง (Asset Allocation) ออกไปในตราสารทางการเงินที่หลากหลาย ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกันกับวิธีบริหารพอร์ตการเงินของบรรดากูรูทางด้านการเงิน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ทั้ง 3 หนุ่ม ให้น้ำหนักกับตราสารทางการเงินแตกต่างกันไปตามความถนัด ภาระหน้าที่ และพื้นฐานทางการเงินของแต่ละคน และที่สำคัญก็คือ ทุกคนพร้อมลงทุนระยะยาว ซึ่งถือว่ายอมรับได้ทุกแบบ
อย่างไรก็ตาม คุณวรวรรณ ได้ฝากข้อคิดเตือนใจเพิ่มอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ควรจะวางแผนการออมเงินตั้งแต่วันนี้ โดยสูตรง่ายๆ ที่สามารถทำกันได้ก็คือ จัดสรรเงินออมทุกเดือน ลงทุนในตราสารทางการเงินที่นักลงทุนแต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจดีเป็นลำดับแรก หรือใช้กลไกของกองทุนรวมก่อน และเมื่อมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น จึงค่อยๆ กระจายพอร์ตการลงทุนให้มีความหลากหลายขึ้น แต่ถ้ายังคิดไม่ตกหรือยังไม่มั่นใจ ก็หาข้อมูลได้จาก M&W (พี่ตู่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้) .... ผมไม่ได้เชียร์เองนะขอรับ